แชร์

บทที่ 2

ผู้เขียน: ดอกถังร่วงหล่น
หลังได้ยินเสียงดังกล่าว เสียงเซ็งแซ่วุ่นวายภายในห้องก็กลายเป็นความเงียบสงัดในพริบตา สายตาของคนทั้งหมดหันมองไปทางประตูบานนั้น

เฟิ่งชูอิ่งก็สงสัยใคร่รู้มิใช่น้อย นางอยากจะเห็นด้วยตาตัวเองว่าจอมวายร้ายที่ปั่นหัวคู่พระนางจนแทบเป็นบ้า ซึ่งนักเขียนบรรยายเอาไว้ว่ารูปโฉมดุจเซียนผู้ร่วงหล่นสุราลัย ทว่านิสัยใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตผู้นั้น แท้จริงแล้วมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร

ทว่าเมื่อนางมองเห็นจิ่งโม่เยี่ยเจ้าของบรรดาศักดิ์ฉู่อ๋อง ก็ถึงกับตกตะลึงตาค้างไปเลย

ยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว เขากลับสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาว องคาพยพทั้งห้าถูกสรรสร้างมาอย่างพิถีพิถัน นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นเป็นสีดำขลับ งามจนแยกมิออกเลยว่าเป็นบุรุษหรืออิสตรี

ในมือของเขาถือคัมภีร์พระไตรปิฎก มุมปากประดับรอยยิ้มจางๆ ให้บรรยากาศงามสง่าหลุดพ้นจากโลกีย์ทั้งปวง เหมือนเทพเซียนที่พลัดหลงจากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์โดยแท้

เพียงแต่สีหน้าของเขาออกจะซีดเซียวเล็กน้อย ท่าทางคล้ายคนป่วยไข้อยู่หลายส่วน ทว่าท่าทางอ่อนแอนั้นกลับทำให้คนรู้สึกอยากจะปกป้องทะนุถนอมอย่างบอกไม่ถูก

เฟิ่งชูอิ่งสรุปได้ว่า นี่มันปีศาจ[footnoteRef:1]ชัดๆ! [1: ปีศาจ=เยาเนี่ย ใช้กล่าวถึงคนที่มีหน้าตางดงาม/หล่อเหลาราวกับปีศาจจำแลงกายมา]

ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาหรือออร่อที่เปล่งประกายของเขา หากอยู่ในวงการบันเทิงเมื่อชาติที่แล้วละก็ จะต้องถีบดารานักแสดงชั้นนำทั้งหลายจนตกกระป๋อง และช่วงชิงหัวใจของสาวๆ ได้ภายในเสี้ยววินาที

ภาพลักษณ์ของเขาดูเป็นคนอบอุ่นมากเกินไป ขัดกับบทบาทตัวร้ายอย่างสิ้นเชิง

เรื่องราวที่ผิดวิสัยเช่นนี้ จะต้องมีอะไรในก่อไผ่แน่นอน นางจึงตั้งท่าระแวงไว้ก่อน

จิ่งโม่เยี่ยใช้สายตาไล่มองคนทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างช้าๆ ทว่าทุกคนที่โดนสายตาของเขากวาดผ่าน กลับรู้สึกสราญใจดังต้องสายลมในยามวสันต์

จนกระทั่งสายตาของเขาหยุดที่เฟิ่งชูอิ่ง นางก็รีบก้มหน้างุดลงทันที ก่อนจะกลาวอย่างขัดเขินว่า “ท่านอ๋องย่อมมิใช่คนขี้โรคเพคะ

“ในสายตาของข้า ท่านอ๋องเป็นดั่งเทวดาบนสรวงสวรรค์”

จิ่งโม่เยี่ยมองนางและกล่าวว่า “เจ้าเป็นใคร?”

เฟิ่งชูอิ่งก้มหน้าตอบกลับ “ข้าคือว่าที่พระชายาของท่านอ๋อง เฟิ่งชูอิ่งเพคะ”

ดวงตาดอกท้อของจิ่งโม่เยี่ยเหลือบขึ้นเล็กน้อย ยกพัดด้ามจิ้วในมือเชยปลายคางของนาง จนนางต้องแหงนหน้าขึ้นมามองเขา

ยามนี้ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก เพียงเฟิ่งชูอิ่งเงยหน้าขึ้นมาก็มองเห็นนัยน์ดำขลับทั้งสองของเขาทันที ทำเอานางตัวแข็งไปครู่หนึ่ง

แม้ใบหน้าเขาจะยิ้มแย้ม แต่ดวงตาของเขากลับเย็นเยียบเหมือนสวนร้างที่ถูกแช่แข็งมาหลายพันปี สัมผัสความอบอุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว

นางเผลอตรวจโหงวเฮ้งของเขาอย่างลืมตัว แต่กลับพบว่าทั้งตัวของเขาเหมือนภูเขาหิมะที่มีน้ำแข็งปกคลุมหมื่นลี้ จนมองอะไรไม่เห็นสักอย่าง

เพียงแต่จุดระหว่างคิ้วของเขามีไอสีดำประหลาดล่องลอยออกมา ดูแปลกพิกลอย่างมาก

ในใจของนางรับรู้ถึงสัญญาณอันตรายได้ จึงเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่ากลับได้ยินเสียงของเขาดังขึ้นเสียก่อน “อัปลักษณ์จริง”

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

ชาติก่อนนางถูกเรียกว่าสาวงามอันดับหนึ่งของวงการศาสตร์ลี้ลับเลยนะ จะอัปลักษณ์ได้อย่างไร?

เขากล่าวจบก็หันไปถามเฉินเยี่ยนเซิง “แล้วเจ้าเป็นใคร?”

ตอนแรกเฉินเยี่ยนเซิงยังนึกกลัวฐานะของจิ่งโม่เยี่ยอยู่บ้าง แต่เมื่อได้เห็นท่าทางอบอุ่นอ่อนโยนของเขา ความกลัวก็มลายหายทันที

ความคิดชั่วร้ายพลันผุดขึ้นในใจ เขาแสยะยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าคือเฉินเยี่ยนเซิง คนรักของเฟิ่งชูอิ่ง ว่าที่พระชายาของท่านอย่างไรละ

“นางรังเกียจเดียดฉันท์ท่านอ๋อง ก็เลยหอบสมบัติทั้งหมดมาที่นี่เพื่อหนีตามข้า

“อย่างไรเสียพระวรกายของท่านอ๋องก็ไม่ค่อยดี แล้วยังคิดว่าเฟิ่งชูอิ่งอัปลักษณ์อีก มิสู้ยกนางให้ข้าเล่า?”

เฟิ่งชูอิ่งหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เจ้าบุรุษปากปีจอคนนี้อยากตายก็แล้วไปเถิด แต่อย่าลากนางไปเอี่ยวได้ไหมเล่า!

จิ่งโม่เยี่ยแย้มยิ้มอ่อนโยน ใช้ดวงตาดอกท้อมองไปทางเฟิ่งชูอิ่ง

นางรู้สึกราวกับตกลงไปในเหวน้ำแข็ง รีบอธิบายทันที “ท่านอ๋องอย่าไปฟังเรื่องเหลวไหลของเขานะเพคะ มันไม่เคยมีเรื่องหนีตามกันอะไรทั้งนั้น!”

“ตั้งแต่ข้าทราบว่าจะได้แต่งงานกับท่านอ๋อง ข้าก็ดีใจจนไม่รู้จะบรรยายออกมาอย่างไรเลยเพคะ!”

จิ่งโม่เยี่ยเลิกคิ้วโก่งเล็กน้อย “งั้นหรือ?”

หลินหว่านถิงกระชากย่ามสะพายของเฟิ่งชูอิ่งคล้ายไม่ได้ตั้งใจ ก้อนตำลึงเงินและเครื่องประดับมีค่าทั้งหมดจึงร่วงลงมา

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

นางมองออกแล้วละ หลินหว่านถิงกับเฉินเยี่ยนเซิงคิดจะฆ่านางให้ตาย

ของมีค่าพวกนี้เป็นสมบัติที่นางขนมาเพื่อหนีตามชายชู้จริงๆ นางควรจะอธิบายอย่างไรดีล่ะ?

หลินหว่านถิงเอ่ยด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “น้องสาว ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้เลย”

นางเอ่ยขอโทษจบก็กล่าวด้วยท่าทางสงสัยเต็มประดา “เพียงแต่ น้องสาวเดินทางมาเพื่อจุดธูปขอพรมิใช่หรือ ทำไมต้องพกของมีค่ามาเยอะแยะขนาดนี้ละ? หรือว่า...”

นางพลันอุทานด้วยความตกใจ “หรือว่าที่คุณชายเฉินพูดมาจะเป็นเรื่องจริง เจ้าต้องการหนีตามเขา?

“น้องสาว เจ้าทำแบบนี้ จะให้ท่านอ๋องหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ?”

ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองของเฟิ่งชูอิ่ง ในใจของนางมีแผนการรับมือเอาไว้แล้ว

นางกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “พี่สาว เฉินเยี่ยนเซิงจะใส่ร้ายข้าก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ทำไมท่านถึงคิดจะใส่ความข้าด้วยอีกคนล่ะ?”

“ตำลึงเงินพวกนี้เป็นเงินที่ข้าเก็บสะสมเอาไว้ สาเหตุที่นำติดตัวมาทั้งหมด ก็เพราะว่า...”

เฟิ่งชูอิ่งเหลือบมองจิ่งโม่เยี่ยแวบหนึ่งด้วยท่าทางเขินอาย “เพราะข้าได้ยินว่าพระวรกายของท่านอ๋องมิสู้ดีนัก ก็เลยอยากจะทำบุญขอพรให้เขา

“ข้ายินดีจะเสียสละทุกอย่างที่มี แลกกับการให้ท่านอ๋องมีพระพลานามัยแข็งแรง โรคภัยไม่กล้ำกลาย!”

หลินหว่านถิง “......”

เฉินเยี่ยนเซิง “......”

หากสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ใช่แผนการที่พวกเขาวางเอาไว้ เกรงว่าพวกเขาคงจะเชื่อนางไปแล้ว!

เฉินเยี่ยนเซิงสบถอย่างไม่พอใจ “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าเลิกเสแสร้งได้แล้ว เจ้าไม่เคยชอบอ๋องฉู่ขี้โรคคนนั้นสักนิด...”

ทว่าพูดยังไม่ทันจบประโยค เสียงของเขาก็ขาดหายไปกลางคัน เพราะมีมีดเล่มหนึ่งแทงเข้าไปในปากของเขา ตัดลิ้นเขาจนขาดกระเด็น

หลินหว่านถิงตกใจกลัวจนหน้าซีด

เฟิ่งชูอิ่งคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจิ่งโม่เยี่ยจะลงมือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แต่ภายในใจกลับรู้สึกว่า ‘ว่าแล้วเชียวต้องเป็นแบบนี้’ เสียอย่างนั้น

จิ่งโม่เยี่ยดึงมีดกลับมาด้วยจังหวะไม่เร็วและไม่ช้าจนเกินไป ก่อนจะใช้ชายอาภรณ์ของเฉินเยี่ยนเซิงเช็ดเลือดที่เปื้อนมีดอย่างพิถีพิถัน “เจ้าหนวกหูเกินไป”

เฉินเยี่ยนเซิงมองอีกฝ่ายคล้ายไม่อยากเชื่อ เตรียมจะอ้าปากพูดบางอย่าง ทว่ายังไม่ทันจะได้เปล่งเสียงออกมา เลือดก็ไหลทะลักจากปากเขาแล้ว

จิ่งโม่เยี่ยสะบัดมือกางพัดด้ามจิ้วในมือออก เลือดเหล่านั้นจึงกระเซ็นลงบนพัด ไม่เปรอะเปื้อนอาภรณ์สีขาวของเขาเลยแม้แต่หยดเดียว

เขาปรายตามองเฉินเยี่ยนเซิงที่มีเลือดเปรอะทั่วตัวอย่างรังเกียจ นัยน์ตาทอประกายเยือกเย็น แต่กลับเอ่ยถามทหารองครักษ์ด้านหลังด้วยเสียงอ่อนโยน “ล่วงเกินเชื้อพระวงศ์ มีโทษสถานใด?”

ทหารองครักษ์ตอบ “พันมีดหมื่นแล่[footnoteRef:2]พะย่ะค่ะ” [2: เป็นวิธีการลงโทษของจีนในสมัยก่อน โดยการใช้มีดแล่เนื้อออกเป็นชิ้นบางๆ จนกว่านักโทษจะตาย]

จิ่งโม่เยี่ยใช้ปลายนิ้วหมุนควงมีดเล่มเล็กที่แสบคมกริบ ก่อนจะเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ถ้างั้นก็จัดการเถิด”

ทหารองครักษ์รับบัญชา จับกุมตัวเฉินเยี่ยนเซิงมามัดด้วยความว่องไว ก่อนจะนำตาข่ายขนาดเล็กมาพันตัวเขาอีกรอบ

เนื้อหนังของเฉินเยี่ยนเซิงถูกช่องตาข่ายกดทับจนนูนเด่น ทหารองครักษ์จึงใช้มีดเล่มเล็กเฉือนเนื้อบริเวณนั้นทันที

หากใช้วิธีการเฉือนแบบนี้ เกรงว่าจะต้องเฉือนหลายพันครั้งคนถึงจะตาย

เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกขยะแขยงเล็กน้อย ก่อนจะแอบทอดถอนใจ สมกับเป็นตัวร้ายโรคจิตในนิยายที่สร้างปัญหาให้พระเอกนางเอกหัวหมุนได้ แม่งโรคจิตเข้าขั้นจริงๆ!

นางคำนวณได้ว่าเฉินเยี่ยนเซิงจะต้องตาย แต่ไม่คิดว่าเขาจะตายด้วยวิธีนี้!

เฉินเยี่ยนเซิงเจ็บปวดจนตัวชักกระตุก อยากจะแหกปากร้องลั่น ทว่าลิ้นของเขาถูกตัด จึงเปล่งได้แค่เสียง ‘อื้อ อื้อ’ เท่านั้น

จิ่งโม่เยี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย “หนวกหูชะมัด”

ทหารองครักษ์ชักดาบออกมา กระชากของเฉินเยี่ยนเซิงให้อ้าออกแล้วสอดดาบเข้าไปในลำคอของเขา จัดการตัดเส้นเสียงของเขาทิ้ง ทำให้เขาส่งเสียงออกมาไม่ได้แม้แต่แอะเดียว

แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ทว่าเพิ่งจะมากลัวเอาป่านนี้มันก็สายเกินไปเสียแล้ว

จิ่งโม่เยี่ยเอียงศีรษะไปมองเฟิ่งชูอิ่ง “เจ้าคิดจะหนีตามเขา?”

เฟิ่งชูอิ่งเย็นวาบไปทั้งตัว รีบปฏิเสธทันควัน “ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนั้น เมื่อครู่นี้ท่านอ๋องน่าจะได้ยินเรื่องราวทุกอย่างจากห้องข้างๆ แล้ว เขาตั้งใจจะข่มเหงข้าต่างหากละ!”

จิ่งโม่เยี่ยมองนางด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “แน่ใจหรือ? ทำไมข้ารู้สึกว่าได้ยินมากกว่านั้นนะ?”

เฟิ่งชูอิ่งมองสบตานัยน์ตาเย็นเยียบดุจน้ำแข็งของเขาแล้วพลันนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ พลันรู้สึกขนหัวลุกทันที

ก่อนนางจะทะลุมิติมาที่นี่ ร่างเดิมตั้งใจจะหนีตามเฉินเยี่ยนเซิงไปจริงๆ ตอนนั้นดูเหมือนว่าทั้งคู่จะกำลังวางแผนหาวิธีการหนีออกจากเมืองหลวงอยู่ในห้อง...

เขาคงไม่ได้ยินเรื่องพวกนั้นด้วยกระมัง?
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 997

    เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 996

    ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 995

    สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 994

    แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 993

    ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 992

    หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status