ค่ำคืนอันเป็นมงคลภายในห้องสีแดงสด
ฟงชินหยางนอนหันหลังให้เจ้าสาวของเขาบนเตียงนอนด้วยอารมณ์ที่เดือดพล่านยากเก็บอาการในขณะที่หลิงเวยกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิมด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองไม่ต่างกันแต่ต้องเก็บข่มไว้อย่างนั้นจนกลายเป็นเย็นยะเยือกไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย
เพียงครู่ต่อมาหญิงสาวในอาภรณ์เจ้าสาวจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ เกรงคนบนเตียงจะได้ยินก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินมาก้มหน้าหยิบชุดสีแดงบนพื้นห้องที่ถูกเจ้าบ่าวถอดแล้วโยนทิ้งเอาไว้อย่างไม่ไยดีเมื่อครู่มาถือเอาไว้ก่อนจะพับให้อย่างเรียบร้อยแล้วนำไปวางเอาไว้ที่โต๊ะข้างตู้เสื้อผ้าอย่างเป็นระเบียบ
ตามมาด้วยถอดชุดเจ้าสาวของตนออกแล้วพับเอาไว้เสียด้วยกัน นางพยายามปลดเครื่องประดับต่างๆ บนศีรษะด้วยตนเองอยู่ครู่ใหญ่แล้ววางเอาไว้ด้วยกันตรงนั้นทั้งหมด
งานแต่งของนางไม่มีอันใดตรงตามธรรมเนียมสักอย่าง
หลิงเวยถอนหายใจออกมาอีกคราพลางพยายามมองหาโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อที่จะได้จัดการกับผมของตนเอง แต่ทว่านางมองหาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ ห้องนี้ไม่มีโต๊ะเครื่องแป้งสำหรับสตรี
เมียงมองอยู่เป็นนานนางจึงพอจะเข้าใจ ภายในห้องบุรุษอย่างนี้จะมีโต๊ะเครื่องแป้งได้อย่างไร คันฉ่องก็คงไม่มีเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าเจ้าบ่าวของนางก็คงไม่คิดจะเตรียมการหามาไว้ให้
หญิงสาวถอนหายใจออกมาเบาๆ อีกหนึ่งทีก่อนจะเริ่มสางผมยาวสยายของตนด้วยปลายนิ้วเรียวเล็กตามอัตภาพ
นางค่อยๆ เดินกลับมานั่งที่โต๊ะกลางห้องก่อนจะหมอบหลับที่โต๊ะตัวนั้นไปอย่างเงียบเชียบไร้การร่ำร้องใดๆ ต่อเจ้าบ่าวของตน
ฟงชินหยางที่นอนหรี่ตามองเจ้าสาวของตนอยู่บนเตียงนอนถึงกับรู้สึกคันยุบยิบแปลกๆ ที่เห็นเจ้าสาวของตนทำท่าทางอย่างนั้น
แต่นั่นมันก็สมควรแล้วกับสตรีที่บังอาจมาวางยาใส่เขา!
ชายหนุ่มยังคงนอนอยู่นิ่งๆ อยู่บนเตียงนอนคล้ายกับว่าหลับใหลไปแล้วแต่ทว่ายังคงรู้สึกแปลกๆ อยู่ดี เขานอนนิ่งอยู่อย่างนั้นอีกครู่หนึ่งจึงเริ่มคันตามลำตัวหนักมากกว่าเดิม
เขาควรจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ ชายหนุ่มคิดอย่างนั้น
เมื่อคิดได้แล้วก็ลุกขึ้นมานั่งแล้วถอนหายใจหนักหน่วงเสียงดังแสดงออกชัดเจนถึงความหงุดหงิดมากมายที่กำลังเกิดขึ้นทำเอาเจ้าสาวที่นั่งหมอบอยู่กับโต๊ะถึงกับสะดุ้งตกใจจนต้องตื่นลืมตาขึ้นก่อนจะยืดลำตัวให้นั่งตรงๆ แล้วมองมายังเจ้าบ่าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ฟงชินหยางนั่งเป็นหุ่นไม้ขนาดใหญ่อยู่บนเตียงนอนจ้องมองสตรีผู้เป็นเจ้าสาวนิ่งๆ
เขาพิศมองนางที่กำลังอยู่ในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ปล่อยผมยาวสยายไปตามแผ่นหลังบอบบางและปรกอยู่ตามวงหน้าสะคราญเปล่งปลั่งนวลเนียน นางนั่งมองเขาด้วยแววตาใสซื่อขบเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นและนั่งถูฝ่ามือน้อยๆ ไปมาเบาๆ
นางหนาวหรือไร ทำไมเขาร้อน?
ชายหนุ่มบนเตียงนอนเริ่มร้อนมากยิ่งขึ้นผิดกับอากาศตามฤดูกาลจนเริ่มจะทนไม่ไหว เขาจึงรีบลุกขึ้นยืนเพื่อเดินออกไปทางห้องอาบน้ำแล้วหายเข้าไปในห้องนั้นทันที
หลิงเวยได้แต่มองตามร่างสูงที่ทำท่าทางดุดันน่ากลัวตลอดเวลาแบบนั้นอย่างจนใจ นางรู้ว่าเขาไม่ชอบนาง เพราะว่านางเองก็ไม่ชอบเขาเช่นเดียวกัน
แต่ที่พวกเราต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้นั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากความโง่เขลาเบาปัญญาของนาง หากจะโทษก็ต้องโทษที่ตัวนางเอง
หญิงสาวก้มหน้าครุ่นคิดแบบนั้นพลางเมียงมองไปทางเตียงตั่งและผ้าห่มผืนหนาที่พับเอาไว้บนนั้น ช่วงนี้ใกล้เข้าวันตังโจ่ย(ใกล้สิ้นปี)เต็มที อากาศในยามค่ำคืนจึงหนาวเย็นมากนัก
หญิงสาวนั่งถูฝ่ามือไปมาแล้วยกขึ้นเป่าลมปากใส่เป็นระยะๆ อีกครู่หนึ่งจึงเริ่มมองไปทางห้องอาบน้ำ นางเห็นเจ้าบ่าวของนางหายเข้าไปในห้องนั้นเป็นนานแล้ว เขาคงอาบน้ำอยู่กระมัง เขาเป็นคนอาบน้ำนานปานนี้เชียว หรือว่าหลับอยู่ในถังอาบน้ำเสียแล้ว หากว่าเขาเมาจนหลับไปในนั้นก็คงดี นางจะได้ยึดเตียงนอนเสียเลย
หลิงเวยคิดอย่างนั้นพลางเมียงมองไปทางห้องอาบน้ำสลับกับเตียงนอน
ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจ
นางค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วแอบเดินแบบย่องเบาไปทางเตียงนอน นางหนาวเต็มทีขอนอนห่มผ้าบนเตียงจะเป็นไร นางจะทำตัวให้เล็กที่สุดบนเตียงนอนเผื่อว่าเขากลับออกมาจากอาบน้ำจะได้มีที่ว่างมากพอให้เขาได้นอนร่วม
นางกับเขาเคยมีสัมพันธ์กันแล้วเช่นนั้นแล้วไม่นับว่าเป็นอันใดหากจะนอนเตียงเดียวกัน และมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะว่าเราแต่งงานกันแล้ว
หลิงเวยคิดด้วยเหตุผลที่พึงมียามเมื่อล้มตัวลงนอนบนเตียงหนานุ่มแล้วห่มผ้าเอาไว้จนถึงลำคอ นางพยายามขยับกายให้ชิดกับผนังห้องข้างเตียงนอนให้ลำตัวแนบกับผนังห้องตรงฝั่งเตียงนอนด้านในให้ลึกที่สุดเท่าที่จะลึกได้แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจที่ตื่นเต้นเหลือเกินหมายให้เจือจางลงไป
นางกำลังรู้สึกว่าเป็นขโมยก็มิปาน ช่างลุ้นระทึกยิ่งนัก
เพียงครู่ต่อมาจากลมหายใจที่หอบลึกเล็กน้อยด้วยอาการตื่นเต้นเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นลมหายใจสม่ำเสมอ
หลิงเวยหลับใหลไปในเวลาต่อมา
นางเหน็ดเหนื่อยกับงานแต่งงานที่รวบรัดและเหนื่อยมาตลอดสามวันที่ผ่านมาและยิ่งเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าที่ต้องนั่งเกี๊ยวเจ้าสาวมาจนตลอดทางกระทั่งถึงจวนของเจ้าบ่าวแห่งนี้
นางจึงหลับใหลไปอย่างง่ายดาย
นางหลับไปทั้งอย่างนั้น
ภายในห้องพักอีกห้องหนึ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับห้องพักห้องแรกที่มีสตรีนางหนึ่งนอนติดเตียงด้วยอาการบาดเจ็บตามเรือนร่าง “นางจำสิ่งใดไม่ได้รึ? ก็ดี! ต่อไปนี้ให้นางเป็นบ่าวไพร่ คอยรับใช้เพื่อทดแทนคุณ” เสียงทุ้มห้าวดังมาจากบุรุษที่มีบาดแผลจนเต็มตัว พันด้วยผ้าสีขาวจนเต็มพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นแผงอกตึงแน่น ลำแขนกำยำ กระทั่งเอวสอบและโคนขาล่ำสัน ทุกสัดส่วนแห่งเรือนกายใหญ่หนานั้น เต็มไปด้วยบาดแผลน่าเกลียดน่ากลัว เขาเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกับสตรีโง่งมที่กระโดดลงหน้าผาทั้งๆ ที่เขาฆ่าเจ้านั่นจนตายไปแล้ว ทำให้เขาต้องกระโดดหน้าผาตามนางลงไปจนเนื้อตัวได้เลือดอาบร่าง ฮึ่ม!“ใจเย็นนะ จินหมิง” หลิงเวยรีบเอ่ยอย่างขอลุแก่โทษแทนหลี่ลี่เหมย เมื่อนางเห็นริ้วโทสะของน้องสามีทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่เขาได้ฟังข่าวจากนางว่าหลี่ลี่เหมยฟื้นแล้วแต่กลับจำสิ่งใดๆ ไม่ได้เลย นางเพียรพยายามแนะนำว่านางเป็นใคร และบอกนามของทุกคนให้ลี่เหมยฟังแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนที่ช่วยนางชื่อจินหมิง สามีของนางและลูกๆ ของนางชื่ออันใด แต่ลี่เหมยก็ยังเงียบงัน นัยน์ตาสั่นเทา ไร้วี่แววของความร้ายกาจเฉกเช่นวันวาน เห็นได้ชัดว่าลี่เหมยไม่เหม
ดวงตาเรียวสวยร้ายกาจบนใบหน้างามซีดเผือด เริ่มกะพริบตาขึ้นลงเบาๆ เพื่อสู้แสงตะวันที่สาดส่องลอดช่องเล็กแคบของหน้าต่างที่ปิดสนิท ในโรงเตี้ยมทรุดโทรมอันห่างไกลความเจริญ บนทางเชื่อมต่อระหว่างแคว้นเฉินและแคว้นเป่ยฉีบนเตียงนอนไม้เก่าๆ ที่คลุมด้วยผ้าปูเตียงสีหมองปรากฏร่างระหงงดงามของหญิงสาวในอาภรณ์เนื้อหยาบสีหม่นผู้เป็นเจ้าของดวงตาเรียวสวยร้ายกาจนางเริ่มระลึกได้ ถึงภาพเหตุการณ์ในวันที่นางอยู่ใต้ต้นของดอกกุ้ยฮวา แล้วถูกไล่ล่าจากพี่ชายของสหาย ผู้ถูกชักใยโดยเชื้อพระวงศ์ในวันนั้นเป็นวันครบรอบวันตายครบสามปีของบิดามารดา นางจึงถือโอกาสขึ้นไปยังสถานที่เฉพาะของพวกเขา แต่แล้วพลันเกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญ จนนางต้องวิ่งหนีเอาตัวรอดแบบสุดกำลังเยี่ยงคนสิ้นคิด ทันใดนั้นเมื่อยามที่นางถูกดาบพาดบ่าหมายปาดคอ สติอันน้อยนิดของนางที่กำลังจมดิ่งสั่งให้นางหลับตายอมตายอย่างจำนนแต่ทว่าในขณะที่ความสิ้นหวังกำลังถาโถม อำนาจแห่งความกลัวตายกลับมีมากยิ่งกว่า นางยังไม่อยากตาย...ถึงแม้ว่าการมีชีวิตในวังหลวงจะเสี่ยงอันตรายแต่ความตายเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งกว่ามากนัก หากนางยอมตายง่ายๆ แล้วบิดามารดาที่สู้อุตส่าห์ให้ชีวิตแก
“ท่านคิดว่าคนที่หาศพตัวปลอมมาแอบอ้างเป็นใครกัน” หญิงสาวหน้าขาเอ่ยถามตามตรงอย่างใคร่รู้“อืม...เรื่องนี้ยังต้องสืบอีกมาก” ชายหนุ่มตอบคำตามตรงไม่มีปิดบัง “ศพตัวปลอมละม้ายคล้ายคลึงกับลี่เหมยมากหากคนของเจ้ามิได้ช่วยนางเอาไว้ได้ทันท่วงทีข้ายังคิดว่าศพนั้นเป็นลี่เหมยตัวจริง กระทั่งฝ่าบาทยังดูไม่ออก” “พวกเขาเป็นถึงคู่หมั้นกันอยู่วังเดียวกันประหนึ่งแต่งงานกันแล้วกระนั้น ทำไมถึงดูไม่ออก” เฉินลี่หลินขมวดคิ้วแปลกใจ“ถึงแม้ลี่เหมยจะมีตำแหน่งแลอำนาจมากล้น ทว่าพี่ชายของข้ากับลี่เหมยยังมิได้มีสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกัน เนื่องด้วยมีการไว้ทุกข์ของบิดามารดาขวางกั้น และอีกอย่างลี่เหมยตัวปลอมเหมือนลี่เหมยตัวจริงอยู่หลายส่วนคล้ายกับเป็นคนๆ เดียวกัน ทั้งยังมีบาดแผลฉกรรจ์มากมายจนเต็มใบหน้าและลำตัว การนอนหลับตาแน่นิ่งไร้ท่วงท่ากิริยาอันใดที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ในยามมีชีวิต นั่นยิ่งทำให้ไม่เห็นถึงความแตกต่าง” ชายหนุ่มอธิบายพลางก้มหน้าลงต่ำที่ซอกคอนางอย่างเนียนๆ นี่เขากำลังคุยกันถึงเรื่องเคร่งเครียดใช่หรือไม่?"อา...คนที่ทำเรื่องนี้ช่างน่ากลัวยิ่ง” เฉินลี่หลินถึงกับร้องครางเมื่อถูกริมฝีปากของใครบางคนดูดดันตรงซอกค
ภายในห้องบรรทมอันรโหฐานโอ่อ่ากว้างขวางมีเครื่องเรือนสูงค่ามากมายของเฉินลี่หลินหญิงสาวนั่งอ่านจดหมายที่ถูกส่งมาแบบลับๆ ของพี่ใหญ่ว่าด้วยเรื่องของหลี่ลี่เหมยที่ปลอดภัยดีหากแต่ความจำกลับลบเลือนไปจนสิ้นเฉินลี่หลินยิ้มบางเบาอย่างพึงพอใจกับข่าวที่ได้รับ ถึงแม้ว่าท่านหญิงผู้สูงศักดิ์จะมีสภาพไม่เหมือนเดิม แต่การเริ่มต้นใหม่ของหลี่ลี่เหมยที่เป็นเช่นนี้ย่อมนับว่าดีมากนักลืมเรื่องเก่าแสนเศร้าจำเรื่องใหม่แสนสุข...ในขณะที่หญิงสาวกำลังยกยิ้มพริ้มเพรายามเผากระดาษจดหมายกับเปลวเทียนร้อนแรงจนสิ้นแผ่นสีหมึกเหลือเพียงเศษเถ้าธุลี เสียงทุ้มนุ่มสุขุมพลันดัง “จะบอกความจริงกับข้าได้หรือไม่?”“...!?”ผู้กำลังเผากระดาษจดหมายอย่างอารมณ์ดีถึงกับสะดุ้งตกใจฉีเล่อพาวรกายงามสง่ามาลงนั่งเคียงข้างชายาหนึ่งเดียวของตนก่อนจับแก้มนวลบีบเบาๆ อย่างที่ชอบทำ“โอย...” เฉินลี่หลินถึงกับร้องครวญเจ้าของเรียวมือที่บีบแก้มนางจึงเปลี่ยนมาลูบแก้มนวลของนางอย่างรักใคร่พลางยกยิ้มตรงมุมปากสีแดงมากเสน่ห์ชวนหลงใหลพาใจของอิสตรีให้ถูกล่อลวง “บอกมาได้แล้ว”หญิงสาวย่นจมูกเล็กน้อยแล้วหลอกล่อเขาเพื่อหยั่งเชิงเรียกความเชื่อมั่นให้ศีรษะบนบ่า
ฉีเล่อเอ่ยอธิบาย "ทูลฝ่าบาท เรื่องการตายของลี่เหมยล้วนแล้วแต่เป็นแผนซ้อนแผนพ่ะย่ะค่ะ การที่องค์ชายสามใช้ท่านหญิงเป็นเครื่องมือแทนที่จะใช้แผนการอื่นกับพระองค์ ทั้งยังกระทำการอย่างโจ่งแจ้งที่เสี่ยงมาก ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มาจากการโยงใยของพระสนมไป๋"ฉีหย่งเหอถึงกับเลิกคิ้วแล้วถอนหายใจอย่างนึกเสียดายไม่สร่างซา ไป๋ฮวาเป็นสตรีงดงามมาก เนื้อนวลของนางช่างเย้ายวน ลีลาของนางช่างเหลือร้าย นางเป็นสนมที่เขาโปรดปรานเป็นอย่างมากฉีเล่อหรี่ตามองพี่ชายของตนตรงหน้าอย่างรู้ใจรู้ไส้รู้พุงแล้วเอ่ยต่อ "สนมไป๋กับองค์ชายสามแอบรักกันแอบมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง นางจึงร่วมมือกันวางแผนกับองค์ชายสาม เมื่อตำแหน่งฮองเฮาว่างลงสตรีที่เหมาะสมย่อมต้องเป็นคนจากตระกูลไป๋ และเมื่อพระสนมไป๋ได้เป็นฮองเฮา เมื่อนั้นฝ่าบาทย่อมถูกสั่นคลอน หากล้มฝ่าบาทลงได้ องค์ชายสามย่อมได้บัลลังก์มังกรเคียงคู่กับนาง แต่ในความเป็นจริงแล้ว องค์ชายสามยังมีสตรีอีกหนึ่งนางที่ทำสัญญาใจเคียงข้างยามเมื่อถึงฝั่งฝัน หาใช่พระสนมไป๋ไม่ และสตรีนางนั้นก็ตลบหลังพระสนมไป๋อีกทีหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ" ฮ่องเต้พยักพระพักตร์เป็นอันเข้าใจประโยคยาวเหยียดของฉีเล่อที่หมายเต
เวลาผ่านไปไม่นาน ความยิ่งใหญ่แห่งพิธีเถลิงราชสมบัติของฉีหย่งเหอจึงผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น คงเหลือเอาไว้เพียงพิธีพระราชทานพระราชอิสริยยศฮองเฮาที่ยังคงถูกทิ้งเอาไว้ให้ร้างหายเงียบงันภายในสุสานหลวงแห่งราชวงศ์ ปรากฏโลงไม้สลักลวดลายทองคำเลอค่า ที่ภายในโลงมีร่างไร้ลมหายใจของสตรีงดงามนางหนึ่ง ที่ดวงตาร้ายกาจของนางถูกปิดผนึกเอาไว้ด้วยเปลือกตาอย่างแนบแน่น ไร้วี่แววว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกต่อไป นางมีริ้วรอยของการถูกทำร้ายเป็นแผลฉกรรจ์ตามร่างกายหลายแห่ง ใบหน้าสวยงามซีดขาว ริมฝีปากที่มักเป็นสีแดงตลอดเวลาบัดนี้กลับซีดเซียวไร้สีสัน ลำคอผ่องผาดมีรอยปาดลากยาวจากคมดาบและลำตัวระหงมีบาดแผลจากการถูกทำร้ายจนฟกช้ำ ความงามของนางถูกลบเลือนไปจนสิ้นนางยังคงอยู่ในอาภรณ์สีเขียวอ่อนปักลายดอกมู่ตานสีชมพูจัดจ้านปิดทับด้วยเสื้อคลุมสีแดงขลิบชายผ้าโดบรอบเป็นสีขาวพองฟู ม้วนผมปักปิ่นทองคำแท้สลักลายฉลุฝังมุกเม็ดงามนี่คือชุดที่นางสั่งตัดเอาไว้นานแล้วเพื่อสวมใส่ในวันครบรอบการตายของบิดามารดา มิคาดว่านางจะสิ้นชีพลงในวันเดียวกันนางนอนตายอย่างเดียวดายบนหุบเขาที่อยู่ไม่ไกลจากต้นดอกกุ้ยฮวาอันเป็นสถานที่ระลึกถึงบิดามารดาของนา