ชายหนุ่มได้ฟังอย่างนั้นจึงหัวเราะเสียงเบาในลำคอ เขารู้สึกพึงพอใจ ถึงแม้น้ำเสียงของนางจะเสียดแทงแก้วหูหนักหนาเขายังคงกล่าวคำด้วยน้ำเสียงราบเรียบดุจเดิม "หากแต่งงานกัน ลูกๆ ก็จะเป็นเพียงสตรีสามัญชนคนธรรมดา""แต่หากว่าลูกๆ ต้องการสอบจอหงวนท่านก็อย่าห้ามเชียว" หญิงสาวขู่ออกมาก่อนนึกแปลกใจ แล้วเอ่ยเสียงเครียด "อืม...แต่ว่า ท่านจะมีลูกกี่คนกัน พูดลูกๆ แบบนี้หมายความว่าอย่างไร ข้ามิใช่แม่วัวนะ"ฟงจินหมิงได้ยินถึงกับหัวเราะออกมา "แน่นอนเจ้ามิใช่แม่วัว แต่เจ้าย่อมทำหน้าที่ได้ไม่ต่างกับแม่วัวพันธุ์ดี และข้าก็คือพ่อวัวพันธุ์ดีทำหน้าที่ส่งผลิตใส่เจ้า""..."หลี่ลี่เหมยรีบเงยหน้าขึ้นมาจากแผงอกหมายตวาดกลับอย่างไม่ยินยอมเป็นวัว แต่เมื่อสบตากับฟงจินหมิงที่ฉายแววเข้มข้นลึกล้ำแฝงความกังวลบางเบานางจึงนิ่งไปฟงจินหมิงก้มหน้ามองหญิงสาวในอ้อมแขนนิ่งๆ สายตาเรียวคมมองสบกับสายตาเรียวสวยในระยะที่ใกล้กันมาก ลมหายใจก็เช่นเดียวกัน เป่ารดหน้ากันจนคล้ายกับเป็นลมหายใจของกันเพียงหนึ่งเดียว"ท่านมีอะไรหรือ?" หญิงสาวถามออกมาอย่างห่วงใย นางมิได้มองผิดไป เขากำลังกังวล แต่มิรู้ได้ว่ากังวลเรื่องใด"เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าจะอ
ชายหนุ่มถึงกับคลี่ยิ้มออกมา เป็นยิ้มที่ห่างหายมานานนับตั้งแต่รู้เรื่องของฉีหย่งเหอจากวังชินอ๋อง“ข้าเชื่อเจ้า” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม แววตาคมปลาบฉายความอ่อนโยนมากกว่าที่เคย เขาก้มหน้ามองนางพลางกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกนิด แต่ความอุ่นซ่านกลับเพิ่มขึ้นทบทวีหลี่ลี่เหมยยกยิ้มชอบใจ นี่นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี นางรู้แล้วว่าเหตุใดก่อนหน้านี้เขาจึงดุร้ายกับนางนักหนา ที่แท้ก็เป็นเพราะว่านางทำตัวไม่เหมาะสมให้เขาต้องคอยห่วงนี่เอง“ข้าชอบท่าน” หญิงสาวเอ่ยออกมา นางเคยบอกเขาแล้วก่อนหน้าด้วยใจชอบเขาเพียงแปดส่วน แต่ยามนี้นางชอบเขาถึงสิบส่วนเลยเชียว นางชอบเขาหมดใจ“ข้ารักเจ้า”“...”จู่ๆ คนตรงหน้าพลันเอ่ยคำหาฟังยากหลี่ลี่เหมยถึงกับต้องกะพริบตาปริบๆ เงยหน้ามองคนพูดคอแทบหักเขาว่าอะไรนะ?ฟงจินหมิงยิ่งนึกขันเมื่อเห็นนางอ้าปากตาโตอย่างนั้น เขาก้มหน้าลงบดจมูกโด่งสันกับพวงแก้มนุ่มนิ่มอย่างนึกเข่นเขี้ยว"อื้อ! ข้าได้ยินไม่ชัด" หลี่ลี่เหมยเบี่ยงแก้มหลบปลายจมูกที่มีลมหายใจกรุ่นร้อนรินรด "ท่านว่าอะไรนะ?"“ของดีมีครั้งเดียว”“หา!”หลี่ลี่เหมยรู้สึกหัวใจเต้นรุนแรงจนคับแน่นอยู่ในอก นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีบุรุษมา
สตรีร่างระหงบอบบางนอนคว่ำหน้าเหยียดยาวอยู่บนเตียงตั่ง สายตาคู่งามเหม่อมองพื้นห้องข้างเตียงนอนอย่างเหม่อลอยเนื่องจากแผ่นหลังได้รับบาดเจ็บและกำลังอยู่ในช่วงพักฟื้นหลังทายารักษาบาดแผลมิให้เป็นแผลเป็น หลี่ลี่เหมยจึงต้องนอนคว่ำหน้ามองห้องพักของตนเองอยู่ครู่ใหญ่นางกำลังนึกถึงเหตุการณ์ในตลาดวันนั้น นางถูกทหารชั้นต่ำลากตัวไปเยี่ยงทาสนางหนึ่ง ทหารพวกนั้นลงทัณฑ์นางอย่างไร้ความปราณี พวกมันเฆี่ยนตีประจานนางจนหมดสติไป นางจำได้ว่ามันเจ็บมาก เจ็บร้าวไปหมดทั่วทั้งสรรพางค์กายนางเคยแต่สั่งโบยสั่งลงโทษผู้อื่นไม่เคยเลยสักครั้งที่จะถูกทำโทษอย่างต่ำต้อยเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าการมีอำนาจเป็นเรื่องที่ดีหากแต่กลับกัน การเป็นสตรีสามัญชนนั้นช่างลำบากยากเข็ญเมื่อกาลก่อนยามที่นางทำร้ายคนเหล่านั้น กี่คนกันที่นางเคยสั่งประหัตประหาร ทาสเหล่านั้นบางคนพิการปานขาดใจ บางคนก็ตายไปไร้ใครเหลียวแลเช่นนั้นแล้วที่นางโดนกระทำอย่างนี้เรียกว่ากรรมตามสนองได้หรือไม่?อา...นางควรลดความร้ายกาจลงเสียบ้างแล้ว...“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยคำขึ้นทำเอาหลี่ลี่เหมยพลันสะดุ้งเฮือกตกใจฟงจินหมิงถึงกับขมวดคิ้วมุ่นเมื่อหลี่ลี่เ
ทั้งๆ ที่องค์เหนือหัวทั้งสองคุยไปยิ้มไป แต่เมื่อชินอ๋องหันไปสบตากับฟงชินหยางและฟงจินหมิงที่ยืนอารักขาอยู่ในระดับหางตา บรรยากาศรอบกายพลันอึดอัดและเครียดตึงอย่างไม่น่าเป็นไปได้ โดยเฉพาะฟงจินหมิงที่มีสีหน้าราวกับสัตว์ป่าแสนดุร้าย มิรู้ได้ว่าอยากกัดใครเมื่อชินอ๋องหันมาสบตาสีดำรัตติกาลที่ลึกล้ำยากหยั่งถึงของฉีหย่งเหอก็ยิ่งให้รู้สึกประหลาดใจนัก จักรพรรดิพระองค์นี้จะเย็นชาอันใดกันนักกันหนา ประหนึ่งว่าพระองค์ไปพรากสตรีจากอ้อมอกเขามากระนั้น"ไม่ทราบว่าท่านหมายถึงใครกัน" เฉินจิ้นเหอตัดสินใจเอ่ยถามตามตรง "สตรีใดกันที่มีผลกับสัญญาของเรา" ฉีหย่งเหอยังคงหัวเราะในลำคอแผ่วเบาแต่สายตาและสีหน้ากลับเย็นเยียบมากกว่าเดิม "ว่าที่ฮองเฮาของข้า""หืม?" ชินอ๋องเลิกคิ้วขึ้นสูงมากกว่าเดิม หากสูงกว่านี้คงเคลื่อนที่ไปอยู่บนศีรษะ "ว่าที่ฮองเฮาของท่านจักมาอยู่ที่เมืองของเราได้อย่างไร"จักรพรรดิแห่งเป่ยฉีไม่ตอบคำอันใด เขายังคงหัวเราะเสียงเบาพลางยกจอกเหล้าขึ้นคลึงในมือ แต่ทว่าสายตาคมปลาบกลับชำเลืองมองไปทางฟงจินหมิงเฉินจิ้นเหอมองตามสายตาคู่นั้น พลันได้เห็นสายตาคมกริบของฟงจินหมิงก็มองตอบสบกับฉีหย่งเหอเช่นกัน สายตาค
สายตาเรียวคมของฟงจินหมิงพลันหรี่เล็กแคบ เมื่อระลึกถึงประโยคของหลี่ลี่เหมยแบบวนซ้ำไปมา ริมฝีปากได้รูปสีแดงพลันเม้มเป็นเส้นตรง ฝ่ามือหนาพลันกำเข้าหากันแน่น ใบหน้าคมคายฉายแววไม่ยินยอม เรือนร่างสูงสง่าในอาภรณ์ธรรมดาเริ่มแผ่กลิ่นอายไม่ดำทะมึนข่มขวัญออกมาคล้ายกับฟงชินหยางจะรับรู้ได้ถึงไอสังหารดำทมิฬเข้มข้นของน้องชาย เขาจึงเอ่ยเนิบนาบโดยที่สายตาคู่คมยังคงจับจ้องที่องค์จักรพรรดิแห่งเป่ยฉี “ที่เจ้าคิดเอาไว้ย่อมไม่ผิดแม้เพียงครึ่ง ฉีหย่งเหอรู้แล้วว่าลี่เหมยอยู่ที่นี่" ฟงชินหยางกล่าวคำเรียบเรื่อยน้ำเสียงคล้ายกังวล "และอยู่กับเจ้า..."“...”ผู้เป็นพี่ชายเห็นน้องชายชะงักไปดังคาดอย่างนั้น เขาจึงนิ่งเงียบเสียสองพี่น้องจึงยืนนิ่งขึงเป็นแท่งศิลาอยู่บนหอบัญชาการแน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาระดับแคว้นเลยทีเดียว ข่าวว่าฉีหย่งเหอรับรู้แล้วถึงการมีตัวตนของหลี่ลี่เหมย ว่าที่ฮองเฮาเพียงหนึ่งเดียวแห่งพระองค์...ยังไม่ตายและมีชายลึกลับลักพาตัวนางมาอยู่ที่นี่เดิมทีฉีเล่อจะเดินทางมาด้วย เขาเป็นคนเดียวที่จะช่วยคลี่คลายและแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ หากแต่ก่อนเดินทางหมอหลวงพลันแจ้งข่าวถึงการตั้งครรภ์ของลี่หล
ฟงชินหยางประสานมือทำความเคารพบุรุษสูงศักดิ์บนแท่นประทับก่อนรายงานด้วยเสียงทุ้มห้าวหนักแน่น “ทูลท่านอ๋อง ขบวณเดินทางของเป่ยฉีใกล้มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ครานี้มิได้มาเพียงท่านทูตเชื่อมสัมพันธ์หากแต่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันก็เสด็จมาด้วยองค์เองพ่ะย่ะค่ะ”จบคำของฟงชินหยาง ฟงจินหมิงพลันเข้าใจความหมายสายตาแวบหนึ่งของพี่ชายในทันทีจักรพรรดิองค์ปัจจุบันแห่งเป่ยฉีฉีหย่งเหอ…ขบวนพยุหยาตราอันยิ่งใหญ่แห่งเป่ยฉีเคลื่อนตัวจากประตูเมืองจนถึงหน้าประตูวังชินอ๋องในรถม้าคันใหญ่ลากด้วยขุนศึกอาชาไนยมากกว่าสิบตัวล้อมรอบด้วยทหารราชองครักษ์นับร้อยชีวิตในรถม้านั้นมีบุรุษหนุ่มรูปงามในอาภรณ์สีทองอร่ามลวดลายมังกรเหินเมฆานั่งอย่างงามสง่าแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์ไม่ธรรมดาเขาคือจักรพรรดิฉีหย่งเหอแห่งเป่ยฉี...บนหอบัญชาการเหนือประตูวังชินอ๋อง...ฟงชินหยางยืนควบคุมลูกน้องตามหน้าที่ เพื่อมอบหมายงานให้เหล่าทหารในอาณัติคอยดูแลอารักขาอาคันตุกะผู้สูงส่งยิ่งใหญ่ ให้อยู่ในความเป็นระเบียบเรียบร้อยและปลอดภัยฟงจินหมิงในอาภรณ์สีเขียวอ่อนเผยความสง่างามดั่งคุณชายธรรมดาผู้หนึ่งยืนขนาบข้างอยู่กับฟงชินหยาง เขายืนมองขบวนพยุหยาตราหรูหรานั้นด้ว