หลังจากที่สะดุ้งตื่นกลางดึกอยู่บ่อยครั้งเช้านี้ก็เป็นอีกครั้งที่นรินทร์สะดุ้งตื่นจากความฝันที่เสมือนจริง เหตุการณ์เลือนรางไปบางช่วงตอนตื่น และก็ต้องหยุดชะงักกลางคันมันเสียตลอด แต่สำหรับเช้าวันใหม่นี้กลับสะดุ้งถึงสองครั้งสองหน แถมยังฝันเรื่องเดิมและมันดันเป็นเรื่องที่ปะติดปะต่อกันเหมือนได้เห็นเหตุการณ์ในโลกนิทานอย่างไรอย่างนั้น
ร่างอรชรลุกขึ้นจากเตียงใหญ่ด้วยความเมื่อยล้าร่าง แต่ในหัวกลับมีเรื่องที่ฝันเมื่อสักครู่วนเวียนอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เลือกที่จะต้องดำเนินชีวิตต่อและคิดว่าอย่างไรมันก็แค่ความฝัน หญิงสาวเดินเข้าไปอาบน้ำและทำกิจวัตรประจำวันเหมือนอย่างเคย มันแตกต่างจากทุกวันก็ตรงที่เธออยู่คนเดียวแล้วนับตั้งแต่เมื่อวานนี้
ร่างโปร่งแสงมองเธอว้าวุ่นไปมาด้วยรอยยิ้มบางๆ แม้เธออาจจะมองไม่เห็นการมีอยู่ของเขาก็ตาม แต่ภายในใจของชายหนุ่มนั้นกลับเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขที่ได้หวนกลับมาพบเจอดวงจิตของผู้เป็นที่รักยิ่งที่เขาเฝ้ารอและตามหามานานนับพันปี เขาได้เฝ้าตามคอยดูแลเธอมาตลอดเท่าอายุของเธอในปัจจุบัน
...ประเดี๋ยวเราก็จักได้พานพบกันแล้ว นรินธรา...
เสียงกล่าวบอกในอากาศ ไม่อาจทำให้หญิงสาวอันเป็นที่รักรับรู้ได้ นรินทร์ยังคงดื่มกาแฟในตอนเช้าตามวิสัยปกติโดยไม่รับรู้เรื่องราว เธอทำได้เพียงยืนคิดถึงชายในฝันนั้นและยิ้มออกมากับตัวเองเท่านั้น
...ด้วยคิดถึง ตรึงจิต ของเราสอง...ไม่อาจมอง หาเห็น เป็นอยู่ได้...
...พี่คำนึง ถึงนวลน้อง มิรู้คลาย...มิหนีหาย ลบเลือน ไปตามกาล...
...เวลาผัน ผ่านเนิ่นนาน นับพันปี...ตัวพี่นี้ อาภัพ อับวาสนา...
...แม้จักเป็น ทวยเทพ จอมนาคา...กลับสิ้นท่า ความรัก ปักฤทัย...
“นี่ๆ พี่นรินทร์ พี่รู้หรือยังว่าเราต้องไปเขียนเรื่องวิถีพื้นบ้านในหมู่บ้านบูรบุรี แทนที่จะได้ไปงานเลี้ยงบริษัทที่ญี่ปุ่น” ไม่ทันที่นรินทร์จะเข้าไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตนก็มีรุ่นน้องสาวที่อยู่ทีมเดียวกับเธอเดินเข้ามาหาพร้อมบอกข่าวอย่างหน้าตาตื่น
นรินทร์หันไปมองรุ่นน้องสาวที่สนิทที่สุดของตนก่อนจะทำหน้าตาสงสัยไม่น้อย เธอทำงานอยู่ที่สำนักพิมพ์แห่งหนึ่งในเมืองใหญ่ แผนกนิตยสาร Local ที่เผยแพร่วิถีชีวิต ความเชื่อ วัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่อย่างตรงไปตรงมาและสัตย์จริงอิงกับความคิดในยุคใหม่และวิทยาศาสตร์เป็นหลัก
“ฮะ? บก.ไม่เห็นบอกกับพี่เรื่องนี้เลย”
“ฉันก็พึ่งรู้เหมือนกันพี่นรินทร์ ฉันแอบไปได้ยินบก. คุยกับพี่ภากรณ์มาว่าจะส่งทีมเราไปต่างจังหวัดแทน”
“ต่างจังหวัดเนี่ยนะ ปกติเราไปต่างประเทศไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ ตอนแรกเราจะได้ไปญี่ปุ่นกันยกออฟฟิศ แต่บก. ส่งทีมเราไปหมู่บ้านบูรบุรีแทน พี่ไม่คิดว่ามันเป็นเพราะพี่ภากรณ์ไปพูดอะไรกับบก.เหรอ?”
นรินทร์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธเคืองที่อดีตสามีหนุ่มที่พึ่งหย่ากับเธอไปเมื่อวานได้เริ่มทำสงครามประสาทส่งเธอและคนรอบข้างไปบ้านป่าแทนที่จะได้ไปงานเลี้ยงแต่งตัวสวยๆ ถึงภากรณ์จะเป็นลูกชายบก.แต่มันก็เกินไปหน่อยที่จะต้องทำให้ทั้งทีมของเธอพลอยลำบากไปด้วย นรินทร์คิดว่าไม่สมเหตุสมผลจึงเตรียมตัวที่จะไปโต้แย้งในที่ประชุมอย่างมาดมั่น
“ฉันไม่อยากไปเลยพี่ ถึงมันจะติดกับทะเลก็เถอะ อยากไปญี่ปุ่นมากกว่าวางแผนเที่ยวต่อของทีมเราเสร็จแล้วด้วย”
“ใจเย็นก่อนมินตรา เดี๋ยวเจ้จัดการเอง”
“นี่สิหัวหน้าทีมของ Local Trend”
มินตรารุ่นน้องทีมงานคนสนิทเอ่ยพร้อมกับทำท่าทางภูมิใจในตัวของหัวหน้าทีมอย่างนรินทร์ คนในทีมรู้ดีว่าเธอมักจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับเท่าไหร่นัก จะเชื่อไปในทางวิทยาศาสตร์เสียมากกว่า แต่สำหรับตอนนี้นรินทร์เองก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองยังคงไม่เชื่อเรื่องลี้ลับเหล่านั้นอยู่หรือไม่ ถึงเธอจะไม่เชื่อแต่ก็ไม่เคยลบหลู่เลยสักครั้ง ยังคงกราบไหว้ปกติเพื่อความสบายใจและขอเลขเด็ดเท่านั้น
“สวัสดีครับ หัวหน้า!”
เทวินเดินเข้ามาทักทายนรินทร์ด้วยรอยยิ้มร่าโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้หญิงสาวถึงกลับสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะตามมาด้วยนิลนนท์ชายหนุ่มอีกคนในทีมที่รุ่นราวคราวเดียวกับเธอ
“วันนี้มึงมาเช้ากว่าปกตินะนรินทร์”
นิลนนท์ยิ้มทักทายนรินทร์ก่อนจะยิ้มค้างไปครู่หนึ่งแล้วโค้งศีรษะลงเล็กน้อยเหมือนเช่นเคยจึงไม่มีใครสังเกตเห็น ก่อนที่ทุกคนจะคุยกันเล็กน้อยและเตรียมตัวที่จะเข้าประชุมในช่วงสาย สายตาของชายหนุ่มคนหนึ่งมองไปยังหญิงสาวที่กำลังคุยและหัวเราะในกลุ่มเพื่อนๆ เหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในชีวิต ซ้ำยังมีหนุ่มหล่อถึงสองคนรายล้อมเธอไม่ห่าง
ภากรณ์ยืนจ้องนรินทร์อยู่ไม่ไกลนักอย่างโกรธเคืองที่เธอไม่รู้สึกเสียใจเลยกับการหย่าร้างกับเขาทั้งที่เธอควรจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่กลับยังยิ้มหน้าระรื่นอยู่กับชายอื่นอย่างเริงร่า การที่เขาเห็นอย่างนั้นกลับทำให้ภากรณ์รู้สึกคับข้องใจไม่น้อยและไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก เขาจึงเดินเข้าไปหาอดีตภรรยาเพื่อขัดบทสนทนาของเธอและคนในทีม
“ไม่ว่าจะไปที่ไหนถ้ามีหัวหน้าอยู่ผมก็ยอมไป” เทวินกล่าว
“ว้าว...พึ่งหย่ากับสามีไปเมื่อวานก็มีคนมาขายขนมจีบเลยหรือเนี่ย”
นรินทร์หันหน้าไปตามเสียงที่พูดขึ้นก่อนจะมองเขาด้วยสายตาคาดขวาง ภากรณ์มองหน้าเธอพร้อมยกยิ้มที่ยั่วยุหญิงสาวตรงหน้าได้ นรินทร์ละสายตาจากอดีตสามีแล้วหันไปหยิบเอกสารเตรียมการประชุม
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นจิตใจของนรินทร์ก็ไม่เคยสงบยังคงนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบางครั้งก็เหม่อลอยอยู่นานไม่ได้สติ เธอแทบไม่มีสมาธิในการทำงาน แม้ว่าสภาพร่างกายของนรินทร์จะฟื้นตัวจนเกือบจะหายดี แต่สภาพจิตใจของนรินทร์ไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อยยังคงเซื่องซึมหวาดผวาทุกครั้งที่ได้ยินเสียงดังตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเธอพยายามทุกวิถีทางที่จะหาเขาให้เจอแม้กระทั่งเดินทางไปยังหมู่บ้านบูรบุรีทุกๆสุดสัปดาห์แต่ทว่าทางที่เธอเคยไปกลับไม่มีอยู่ ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่สามารถไปถึงที่นั่นได้เธอพยายามติดต่อพชรและแสงศรทั้งข้อความทั้งโทรศัพท์แต่สิ่งที่ได้ยินคือไม่มีเลขหมายที่เธอต้องการติดต่อ นรินทร์พยายามหาข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเชื่อมโยงกับพชรแต่ก็ไม่คืบหน้าเลยเหมือนเธอกำลังวนอยู่ในอ่าง ตั้งแต่วันนั้นนรินทร์ไม่เคยได้พบพชรหรือแสงศรอีกเลยราวกับว่าพวกเขาไม่เคยเดินเข้ามาในชีวิตเธอ แต่รอยแผลบนตัวเธอยังคงย้ำเตือนว่าเรื่องราววันนั้นมันเกิดขึ้นจริงๆเขามีตัวตนจริงๆ ‘ฮือ...ทำยังไงฉันถึงจะติดต่อคุณได้คะพชร ฉันคิดถึงคุ
“ข้ามิได้มาเพื่อเข่นฆ่าผู้ใด ท่านจงวางใจในข้า” พญานกเอ่ย ก่อนจะกระพือปีกสีน้ำเงินนั้นพัดเข้าหาพญานาคทั้งสองมีเพียงมันตราที่กระเด็นกลิ้งออกไปตามแรงพัดนั้น มิอาจต้านแรงพญาครุฑาได้ พญาเพชรแก้วเหลียวมองพญานกนั้นก่อน พญาทศยันต์จ้องมองพญาเพชรแก้วก่อนจะเอ่ยขึ้น“ข้าจักจัดการนางเอง” ว่าแล้วก็กระพือปีกบินขึ้นสง โฉบเฉี่ยวคว้าร่างของนาคีสีเขียวตองอ่อนนั้นขึ้นสู่น่านฟ้า มุ่งหน้าไปยังอีกฝากฝั่งของมหานทีพระครูบามันที่เห็นว่าเรื่องราวสงบลงแล้ว ท่านจึงเดินเข้ามาหาพญาเพชรแก้วที่กลับร่างกายหยาบเป็นพชรด้วยท่าทีสงบนิ่ง มองดูจ้าวจอมผู้เป็นใหญ่ช้อนกอดร่างของนางอันเป็นที่รักร่ำไห้ปานจะขาดใจอย่างเวทนาสงสาร“นางยังมิสิ้นใจหรอกท่าน…จิตของนางยังคงช่วยค้ำยันชีวิตและร่างกายนี้เอาไว้อยู่” พระครูบามันเอ่ยว่าแล้วร่างโปร่งใสของนรินธราก็ปรากฏอยู่ต่อหน้าเขา ร่ำไห้นั่งลงเคียงข้างพชร พลางเอื้อมมือไปจับมือหนาของเขาที่กำลังพยายามช่วยชีวิตของนรินทร์ พลังเหนือธรรมชาติของทั้งสองดวงจิตผสมผสานกันเพื่อช่วยหญิงสาวตรงหน้า&l
“ข้าคอยตักเตือนเจ้าแล้ว…คีภัทรา!! แต่เจ้ากลับไม่มีทีท่าจักสำนึก!! จงกลับลงไปจมสู่ใต้ธาราชั่วนิรันดร์เสีย” ดวงตาสีน้ำผึ้งจ้องมองคีภัทราอย่างเกรี้ดกราด โกรธแค้นเคืองใจนางตรงหน้าที่เคยรักเหมือนดั่งพี่น้อง ค่อยวางร่างของนรินทร์ลงกับพื้นอย่างเบามือทั้งน้ำตา ลุกขึ้นมาหุนหันย่างก้าวเข้าหาพญานาคีห้าเศียรตรงด้วยโทสะ ดวงตาฉายแววอาฆาตต้องการจักปลิดชีพนางเสีย“หยุดก่อนท่าน…จงระงับโทสะแล้วไตร่ตรองดูเสียเถิดท่านพญานาคราชผู้ยิ่งใหญ่ หากท่านพลาดพลั้งไปสิ่งที่ท่านทำมามันก็สูญเปล่า…อย่าได้ต่อเวรต่อกรรมกันเลย ให้มันเป็นหน้าที่ของเวรกรรมที่นางจะต้องได้รับผลนั้นเองเสียเถิด”เสียงนุ่มเย็นดังขึ้นอยู่กึ่งกลางระหว่างทั้งสอง ก่อนจะปรากฏร่างของพระครูบามันเดินเข้ามาขวางทางทั้งคู่ด้วยท่าทีที่นิ่งสงบ พชรยังคงไม่คลายโทสะลงจ้องมองพระครูและคีภัทราสลับกันไปมา“มันมิใช่กิจของท่าน จงอย่าได้แส่!” คีภัทราเอ่ยขึ้นอย่างไม่เคารพ เวลานี้นางเองก็อยากจะทวงขอความรักจากชายตรงหน้าเช่นกัน หากมิได้ความรักก็ขอต่อเวรต่อกรรมจองจำพบเจอกันมันไปทุกภพทุกช
รถตู้หยุดอยู่ที่ขอบหน้าผาหมิ่นเหม่เหมือนจะตกลงไปอยู่รอมร่อ แต่เพราะลำกายของงูใหญ่นั้นพันเกี่ยวรถตู้เอาไว้ ชูคอหันหน้ามาทางรถที่พชรและนรินทร์นั่งอยู่ราวกับกำลังต่อรอง ท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความกลัวของคนในรถดังออกมาจนได้ยินชัดคนในรถต่างพากันหาที่ยึดเหนี่ยวไว้อีกฝั่งก็พญานาคอีกฝั่งก็หน้าผาทุกคนต่างเริ่มร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวมีเพียงนิลนนท์ที่พอจะมีสติแต่เขาเองก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ากลัวไม่ต่างกันสายตาของนิลนนท์มองไปรอบรถตู้อย่างน้อยน่าจะมีอะไรพอช่วยได้บ้างแต่ทว่ามีเพียงเข็มขัดนิรภัยเท่านั้นอย่างน้อยหากตกลงไปก็ยังพอมีโอกาสรอด“ทุกคนรัดเข็มขัด! ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นอย่าถอดออกเด็ดขาด” นิลนนท์พยายามทำเสียงแข็งทั้งที่ในใจหล่นวูบ“ฮืออ พี่นิลมินกลัวนี่มันฝันใช่ไหม” มินตราร้องไห้ด้วยความกลัว“กูอยู่นี่ไม่ต้องกลัว” เทวินปลอบมินตราก่อนจะรีบรัดเข็มขัดของตัวเองและหันไปสำรวจของมินตรา“นายท่านครับ…” แสงศรหันไปเรียกผู้เป็นเจ้านายด้วยสีหน้าจริงจัง พชรพยักหน้าก่อนที่แสงศรจะหักรถกลับไปยังที่เกิดเหตุ
ในคราวแรกความสัมพันธ์ของเธอและเขานั้นพึ่งจะได้ตกลงปลงใจกันได้เพียงวันเดียวก็เกิดเรื่อง เธอรับรู้ความจริงในตัวตนของเขาและปฏิเสธเขาด้วยความกลัวและเกรงขามในบทบาทที่เขาเป็น แต่คราวนี้เธอรับรู้ถึงตัวของเขาทั้งหมดและยอมรับมัน ยอมรับใจตัวเองที่หลงรักเขาไปแล้วตั้งแต่แรกเจอทั้งที่เธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนอีกทั้งเรื่องราวความสัมพันนธ์ของเธอและเขามันก็เลยเถิดมาถึงขนาดนี้แล้ว เธอก็อยากจะลองดูสักตั้งเหมือนกัน อยากมองเขาในฐานะผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ใช่สิ่งศักดิ์หรือสิ่งลี้ลับอะไรทำนองนั้นแม้ว่าเธอไม่รู้เลยว่า…อะไรจะเกิดขึ้นกับอนาคตความรักของเธอ…“เลิกหวานกันสักแป๊บได้ไหมคะ มินอิจฉาไปหมดแล้วเนี่ย” มินตราเอ่ย ขณะที่ทุกคนนั่งทานอาหารกันพร้อมหน้ารวมถึงภากรณ์และพนิตาที่ลอบมองพชรและนรินทร์เป็นระยะด้วยสีหน้าไม่พอใจเท่าไหร่นักที่เห็นทั้งสองคนตักอาหารให้กันไปมองตากันหวานเชื่อมโดยไม่สนใจคนรอบข้างราวกับว่าโลกทั้งใบมีแค่พวกเขา“ไม่กงไม่กินมันละ เลี่ยน!” พนิตาวางช้อนส้อมลงอย่างใส่อา
ภากรณ์ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเมื่อยล้าเขามองไปรอบๆห้องก็พบว่านี่คือห้องของเขาไม่ใช่ห้องของนรินทร์และคนที่นอนอยู่ข้างๆคือพนิตา“นิตา นิตา!”“อื้ม อะไรคะกรณ์เสียงดังจังเลย”“ทำไมคุณมาอยู่นี่ แล้วไอ้พชรล่ะ”“ไม่รู้สิคะ เมื่อคืนนิตาจำได้ว่าอยู่กับคุณพชร”พนิตารวบรวมสติพยายามนึกถึงเมื่อคืนเธอจำได้ว่าพชรกำลังจะจูบเธอแล้วแท้ๆ พนิตานึกเสียดายและมองไปที่ภากรณ์อย่างหัวเสีย “แล้วคุณล่ะ กลับมาตอนไหนเรื่องนรินทร์ล่ะว่าไง?” ภากรณ์ได้ยินอย่างนั้นก็ฉุกคิดในหัวพอตั้งสติได้ก็ไม่รอช้ารีบลุกพรวดออกไปยังห้องของนรินทร์ทันทีด้วยความหงุดหงิด ต้องเป็นพชรทุกทีที่เข้ามาได้ทันเวลามันเสียทุกครั้ง คิดๆแล้วก็เจ็บใจทางด้านมันตราได้แอบออกมาพบคีภัทราด้วยเส้นทางด้านหลังของคฤหาสน์ เห็นผู้มีพระคุณยืนรออยู่ก็รีบเข้าไปหาด้วยความดีอกดีใจ แต่ทว่านางตรงหน้าก