หนึ่งพันปีต่อมา
อรุณรุ่งบนยอดภูเขาสูงห่างไกลจากผู้คน ดอกท้อสีชมพูอ่อนหลายพันต้นผลิบานสะพรั่งไปทั่วบริเวณรับฤดูใบไม้ผลิ ใต้ต้นดอกท้อริมหน้าผามีชายหนุ่มผู้หนึ่งนอนหลับตาอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวขจี น้ำค้างยามเช้าค่อย ๆ ลู่ลงมาตามใบไม้พลันหยดลงที่หน้าผากอย่างแผ่วเบาปลุกเขาจากการหลับฝัน เขาลืมตาขึ้นมาช้า ๆ ยกมือขึ้นบังแสงแดดอ่อนที่กำลังแยงตา พักหนึ่งจึงลุกขึ้นยืนรับอากาศสดชื่นวันใหม่ สายลมพัดเรือนผมยาวสีเทาแกมชมพูปลิวไสว
หลินเซิน หมาป่าขนเทาอาศัยอยู่เพียงลำพังบนเขาลูกนี้มาเป็นเวลากว่าพันปีแล้ว ชีวิตของเขาเรียบง่าย ไร้เรื่องกังวลใด ๆ ราวกับคำอวยพรของดอกท้อแสนปีได้สัมฤทธิ์ผล เขาใช้เวลาทั้งวันกับการนั่งเล่น นอนเล่น โดยไม่สนเรื่องราวภายนอก หากแต่ยังสงสัยตนเองอยู่บ้างว่าทำไมหมาป่าอย่างเขาถึงกินผลไม้เป็นอาหาร ดื่มน้ำค้างยามเช้า เขาเคยมีความคิดว่า อาจจะเป็นเพราะเกิดมามีพลังเซียนจึงทำให้เขากลายพันธุ์ไป เลยไม่ได้สนใจที่มาของตนเอง อย่างไรเขาก็มีความสุขมากแล้ว
การมีพลังเซียนทำให้เขาไม่เคยต้องเหนื่อยใช้แรงงาน หากอยากดื่มน้ำค้าง ใบไม้เหล่านั้นก็จะคอยกักเก็บเอาไว้ให้ ยามอยากกินผลไม้ สิ่งนั้นก็ลอยมาหาเขาเอง แต่กระนั้นก็มีบางครั้งที่เขาลงมือทำด้วยตัวเอง อย่างเช่น กระท่อมไม้หลังน้อย เขาบรรจงตกแต่งด้วยดอกไม้รอบเรือนสวยงาม วันใดที่เบื่อ ๆ กับการบำเพ็ญตบะเซียนให้ครบเก้าขั้น เขาจะเข้าป่าไปขุดเห็ด หาโสมป่าหายากมาเก็บเอาไว้
ทุก ๆ หนึ่งร้อยปี หลินเซินจะลงจากเขาเข้าเมืองมนุษย์เพื่อดูความเป็นไปของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ บ้าง แน่นอนว่าเขาเป็นพวกที่ขาดของหวานไปไม่ได้ พอลงมาถึงด้านล่างก็ตรงดิ่งเข้าไปที่ตลาด มองซ้ายขวาอย่างรวดเร็วเก็บรายละเอียด จากนั้นเขาก็หายตัวไปอยู่ที่หน้าร้านถังหูลู่ หลินเซินจ้องพ่อค้าอย่างไม่วางตา
“ข้าอยากได้ถังหูลู่สองไม้” เขาพูดกับพ่อค้าแล้วยิ้มสดใสให้เขาเหมือนเด็กน้อยที่กำลังอยากได้ของเล่น
“คุณชาย สองไม้สองอีแปะ” พ่อค้าจัดแจงหยิบไม้ยื่นให้เขา อีกมือหนึ่งแบไว้รอรับเงินสองอีแปะ หากแต่ว่ารออยู่นานก็ไม่ได้รับของที่ว่าเสียทีจึงพูดย้ำอีกครั้ง “สองอีแปะขอรับ คุณชาย”
“ราคาขึ้นอีกแล้วหรือ เมื่อก่อนข้าซื้อทีห้าไม้แค่อีแปะเดียวเอง” หลินเซินทำหน้าสงสัย เอียงคอด้วยความสับสน แม้แต่ราคาของกินก็เปลี่ยนไปในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา
“คุณชาย ข้าขายราคานี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว หากท่านไม่ซื้อ ข้าจะเก็บคืนนะขอรับ” เขาเลิกคิ้วกำลังจะชักมือกลับ
“ซื้อสิ ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไร ขอสองไม้” หลินเซินจ้องไปที่ดวงตาของพ่อค้าอีกรอบ นั่นแหละ เขากำลังสะกดจิตพ่อค้าเพื่อถังหูลู่สองไม้ คงจะไม่แปลกอันใดหรอก เพราะหมาป่าอย่างเขาจะหาเงินจากที่ไหนมาให้ อยากได้อะไรแค่มองตาสะกดจิตก็ได้มาแล้ว จากนั้นไม่รอช้า หลินเซินมุ่งหน้าไปที่ร้านน้ำตาลปั้น สายไหม และผลไม้จากต่างเมือง ได้ของมากมายติดไม้ติดมือมา
หลังจากอิ่มหนำแล้ว เขาใช้เวลาเดินเที่ยวรอบ ๆ ตลาด ผ่านเข้าไปในเมือง ยามเดินผ่านไปที่ใดก็มีแต่สายตามองมาที่เขา ราวกับมีแสงรัศมีเปล่งรอบตัว ผู้ใดก็คิดว่าเขาเป็นคุณชายสูงศักดิ์ สตรีโฉมงามมองเขา ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แม้แต่บุรุษก็อดทึ่งในรูปโฉมของเขาไม่ได้ หลินเซินผู้นี้ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้เลย เขาเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อย ๆ ตามใจ จนได้เวลาที่แสงอาทิตย์กำลังจะลับตา
ระหว่างทางเดินกลับขึ้นเขา จู่ ๆ สายฝนก็เทลงมาห่าใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาเดือดร้อนอะไรนัก นานทีฤดูใบไม้ผลิจะมีฝนหลงฤดูมาบ้าง ถือเป็นเรื่องราวดี ๆ อย่างหนึ่ง เขาเดินตากฝนมาตลอดทาง เมื่อเจอแอ่งน้ำฝนก็จะกระโดดลงไปในหลุมให้น้ำกระเด็นขึ้นมา ทำให้แมวน้อยสีขาวตัวหนึ่งที่กำลังหลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ไม่เข้าใจเลยว่าสติเขายังดีอยู่หรือไม่ ฝนตกยามนี้ทั้งเปียกชื้นและเหน็บหนาว
เมื่อรู้สึกว่ามีสายตาหนึ่งกำลังมองมาที่ตนเอง หลินเซินจึงหยุดเล่นชั่วครู่ ค่อย ๆ เดินมาใต้ต้นไม้ใหญ่ เขามองแมวน้อยสีขาว ตาสีฟ้ากลมโตตัวนี้ด้วยความเอ็นดู ขนของแมวน้อยเปียกจนลีบติดตัวดูลักษณะไม่เหมือนแมว จากนั้นจึงร่ายเวทกันน้ำฝนให้เจ้าแมวตัวนี้
“เจ้าสัตว์ตัวน้อย เจ้าคือตัวอะไรหรือ มาทำอะไรอยู่ที่นี่ หรือว่าเจ้าติดฝนเลยกลับบ้านไม่ได้” เขาก้มลงพูดน้ำเสียงอ่อนโยน แม้จะไม่รู้ว่าสิ่งมีชีวิตที่เขาเห็นคืออะไร แต่หากเจ้าแมวสีขาวนี้พูดได้ คงจะต้องบ่นออกมาแน่ ๆ ว่าเขาซื่อบื้อเพียงใดถึงแยกไม่ออก พอเห็นว่าแมวน้อยตัวสั่นเทาด้วยความหนาวก็ร่ายเวทส่งความอบอุ่นไปให้ ยามที่ขนสีขาวแห้งขึ้นก็ฟูฟ่องสวยงาม
“เอ๊ะ! เจ้าเป็นแมวหรือนี่ ข้าไม่ยักจะเคยเห็นแมวน่ารักเช่นเจ้ามาก่อนเลย” หลินเซินนึกในใจ แถวกระท่อมเขาแทบไม่มีสัตว์อะไรอยู่เลยนี่นา ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด ไหน ๆ ก็ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว เขาจึงนั่งรอฝนหยุดตกเป็นเพื่อนแมวน้อยกว่าหนึ่งชั่วยาม
“ฝนหยุดแล้ว ทีนี้เจ้าก็กลับบ้านได้แล้วล่ะ” หลินเซินลูบหัว เกาคางแมวน้อยก่อนจะลุกขึ้นเพื่อกลับบ้านของตน
ครั้นเดินมาไม่ได้ไม่ถึงสิบก้าวก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังตามมา
“เจ้าเองหรอกหรือ ทำไมไม่กลับบ้านเล่า”
ถามออกไปก็เท่านั้น แมวน้อยไม่ตอบกลับมา เพียงส่งเสียงร้องเหมียว เหมียวให้เขาแล้วเดินมาคลอเคลียวนรอบข้อเท้าของเขาอย่างนุ่มนวล หลินเซินยกเท้าขึ้นก่อนจะย่องไปอีกทางหนึ่ง ฉวยโอกาสวิ่งหนีมาอีกทาง เอาขนมหวานมาหลอกล่อเจ้าแมวน้อยเพราะคิดว่ามันคงชอบเหมือนตนเอง ถึงอย่างนั้นก็หนีไม่รอด
ณ ตำหนักโคมดวงจิตเจียลี่นั่งรำลึกความหลังตอนที่นางเป็นเซียนน้อยดูแลตำหนัก แล้วชี้ให้หลินเซินดูว่าโคมดวงจิตของเขาเคยตั้งอยู่ตรงนี้“ข้าไม่นึกเลยว่าจะเป็นเจ้า” เจียลี่หันมามองหลินเซิน “ผู้เฒ่าหยางคงจะหมดห่วงแล้วล่ะ”“ข้าติดหนี้เจ้าแล้ว มากมายจนนับไม่ถ้วน หากไม่มีเจ้า จิตวิญญาณของข้าคงแตกสลายไป” น้ำเสียงของหลินเซินแผ่วเบา“ไม่มีทางยอมให้เป็นเช่นนั้นหรอก” เจียลี่ส่ายหน้า นางกุมมือเขาเอาไว้ ทำสีหน้าจริงจัง “ข้าจะปกป้องเจ้าเอง ไม่ว่าใครหน้าไหนกล้าทำร้ายเจ้าอีก ข้าไม่ปล่อยไว้แน่”หลินเซินเลิกคิ้วแล้วยิ้มให้นาง “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นถึงอดีตเทพสงคราม จะมีใครกล้าทำอะไรข้า”“นั่นสิเนอะ” เจียลี่หัวเราะกับคำตอบของเขา “หลินเซิน ไปดูก้อนเมฆสีรุ้งกันเถอะ ข้าไม่ได้เห็นนานแล้ว” นางเอ่ยปากชวนเขาไปที่ผาน้ำตกทั้งสองนั่งเล่นชมทิวทัศน์อยู่นานจนถึงเวลาพลบค่ำที่ตะวันเริ่มลาลับขอบฟ้า จู่ ๆ เจียลี่ก็นึกได้ว่าเวลาบนดินแดนสวรรค์กับดินแดนมนุษย์ไม่เหมือนกัน“ข้าว่ารีบกลับลงไปที่บ้านเถอะ ไม่รู้ป่านนี้เยี่ยนฟางกับหมิงเฟยจะเป็น
ช่วงสายของวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส หลินเซินนั่งกินถังหูลู่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมบ่อน้ำ เขาหันมามองเจียลี่ที่กำลังหัดร่ายเวทด้วยความจริงจังนึกขำในใจ“เจียลี่ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปเถิด เจ้าทำหน้าเครียดเกินไปแล้ว” นับตั้งแต่ที่เขาคืนพลังเซียนเพื่อฟื้นชีวิตนาง หลินเซินก็กลายเป็นชนเผ่าหมาป่าธรรมดาที่มีพลังเวทนิดหน่อย กระนั้นยังคงเป็นหมาป่ากินพืชเช่นเดิม“ข้าอยากเป็นเร็ว ๆ นี่ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะได้ช่วยพวกเจ้าได้” เจียลี่ยังคงพยายามจ้องไปที่มือข้างหนึ่งของนางที่มีพลังเซียนส่องแสงวิบวับ“เจ้าต้องผ่อนคลายให้มากกว่านี้แล้วเจ้าจะเข้าใจว่าต้องทำเช่นไร” หลินเซินให้กำลังใจ เขารินน้ำชาดอกท้อให้นาง “ดื่มก่อน”“อื้ม” เจียลี่พยักหน้า แล้วนึกถึงเรื่องที่นางมีความสุข พลันกลีบดอกท้อปรากฏขึ้นอยู่รอบตัวทั้งคู่ นางโบกมือไปทางซ้ายขวาบังคับสายลมพัดกลีบดอกท้อปลิวไสวไปทั่วทั้งป่า “ข้าเข้าใจแล้วหลินเซิน” นางยิ้มดีใจทั้งคู่พูดคุยกันกระหนุงกระหนิงทั้งวันจนตะวันลับฟ้าจึงพากันเดินกลับบ
เจียลี่ลุกขึ้นมานั่งร้องไห้เป็นเผาเต่าทันทีที่ฟื้นขึ้นมา นางไม่อยากให้หลินเซินต้องทำเช่นนี้ จนหมิงเฟยต้องเข้ามาปลอบใจ“ท่านพี่ ทำใจดี ๆ ไว้เถิด ถ้าเขาเห็นว่าท่านเป็นเช่นนี้ วิญญาณคงจะไม่สงบสุข” หมิงเฟยยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางซับน้ำตา“ข้าขออยู่คนเดียวได้หรือไม่” นางคงยังไม่อยากพูดกับใคร ในใจเศร้าสร้อยเกินจะคิดอะไร“ขอรับ” หมิงเฟยพยักหน้าแล้วเดินออกมานอกห้องในป่าลึกท้ายหมู่บ้าน เยี่ยนฟางกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ น้ำตานองหน้าเพราะนึกถึงสิ่งที่นางทำ ทั้งยังไม่กล้าสู้หน้าหมิงเฟยจึงหลบออกมานั่งคนเดียวครั้นเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ นางจึงเงยหน้ามองผู้มาเยือน“หลินเซินนนน” เยี่ยนฟางกลั้นใจไม่ไหว ร้องไห้โฮจนตัวโยนหลินเซินจึงนั่งลงข้าง ๆ ลูบหัวของนางเหมือนอย่างเคย “จำได้หรือไม่ วันแรกที่ข้าเจอเจ้า”“อื้ม”“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ อย่าโทษตัวเองนักเลย” หลินเซินยื่นขนมหวานให้นาง “หมิงเฟยตามหาเจ้าอยู่ ไม่อยากเ
เวลานี้ หลินเซินจำเรื่องราวในอดีตได้หมดทุกอย่างแล้ว พลังตบะเซียนและร่างกายของเขากลับมาเป็นเช่นเดิม เขาร่ายเวทก้าวเข้าสู่หุบเขากองกระดูกในทันทีการปรากฏตัวของเขาทำให้หมิงเฟยและพรรคพวกรู้สึกโล่งใจ ยามนี้เขาแทบจะทนแรงฟาดฟันของเยี่ยนฟางไม่ไหวแล้ว หลินเซินมองเห็นความโกลาหลที่พื้นเบื้องล่าง เขามองหาเยี่ยนฟางและหมิงเฟยเป็นลำดับแรก จากนั้นก็เคลื่อนที่มาหยุดตรงหน้านางในพริบตา“จงหลับ!” นิ้วชี้ของเขาจิ้มไปหว่างกลางหน้าผากของเยี่ยนฟาง เขาเอื้อมมือคว้าตัวนางเอาไว้ แล้วส่งให้หมิงเฟย จากนั้นตรงดิ่งไปที่ร่างของเจียลี่พูดกับหมิงเฟยว่า “พาคนออกไปจากที่นี่แล้วร่ายเวทหล่อเลี้ยงร่างของนางเอาไว้”หมิงเฟยพยักหน้ารับคำ ครั้นหลินเซินร่ายม่านเขตแดนของตนขึ้นมา หุบเขากองกระดูกที่แสนอึมครึมจึงมีโพรงแห่งแสงสว่างเล็ก ๆ ปรากฏขึ้น“เฉิงซาน ทางนี้” หมิงเฟยตะโกนบอกพรรคพวกเมื่อทุกคนในที่แห่งนี้มองเห็นทางออกต่างพยายามสลัดให้หลุดจากคู่ต่อสู้ของตนเองหลินเซินมองเห็นเทพมารลอยอยู่เหนือเทพอาวุโส กำลังจะร่ายเวทใส่ร่างของเขา เพียงแต่ได้ยินเสียงร้อ
“เทียนจวิน วันนี้มีเรื่องอะไรหรือถึงได้อารมณ์ดี” ซ่งเสวี่ยหยางถามเขา“แค่วันธรรมดาหนึ่งวันบนดินแดนสวรรค์ เห็นเจ้าเพิ่งกลับมาเลยอยากทวงของฝาก” ซ่งเทียนเย่ยิ้มแป้นให้เขา“ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้ไปเที่ยวเล่น ปราบปีศาจที่มีพลังมารก็ทำให้ข้าเหนื่อยไม่น้อย” เขาส่ายหน้าพลางเดินไปที่มุมหนึ่งของตำหนัก “แต่ก็เอาเถอะ ข้าได้ยินมนุษย์พูดกันว่าสุราแคว้นเป่ยรสชาติดีจึงได้ถือติดมือมาด้วย” เขายื่นสิ่งที่พอจะเรียกว่าของฝากให้ซ่งเทียนเย่“เจ้าช่างรู้ใจ ดื่มเป็นเพื่อนกันสักหน่อยดีหรือไม่”หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ออกไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่บนเกาะลอยฟ้าของตำหนักเทพสงคราม ดื่มสุรากันคนละจอกสองจอกพลางพูดคุยเรื่องที่ได้พบเจอในแต่ละวัน“ท่านอา” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยสองคนเรียกซ่งเสวี่ยหยาง เขาหันไปมองต้นเสียงแล้วพูดว่า “พวกเจ้าสองคน ช้า ๆ หน่อย” แต่เด็กทั้งสองกลับวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิมเพราะคิดถึงเขา“เฮ้อ ดูสิ บิดาของเขานั่งอยู่ตรงนี้แท้ ๆ” ซ่งเทียนเย่พูดหยอกผู้เป็นน้องชาย“ช่วยไม่ได้ ข้าไม่อยู่ตำหนักตั้งนาน เอ้า! นี่ของฝากพวกเจ้า” เขาร่ายเวทเรียกไข่ของวิหคเพลิงออก
TW: ความรุนแรง อดีตของหลินเซินและเจียลี่ราวกับเรื่องราวของเยว่เล่อกับนางยังไม่หนักหนาพอ ใต้เท้าหนุ่มเปิดประตูเข้ามาเห็นภาพที่นางกำลังนั่งกอดเขาอยู่บนเตียงจึงเกิดความเดือดดาล ปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อของเยว่เล่อแล้วออกหมัดใส่หน้าเขาไปหนึ่งทีนางรีบวิ่งเข้ามาประคองเขาพยายามห้ามไม่ให้เยว่เล่อโต้ตอบแต่กลับกลายเป็นว่าใต้เท้าหนุ่มยิ่งไม่พอใจที่ผู้หญิงของเขาทำเช่นนั้น“มันเป็นชู้รักของเจ้างั้นรึ” เขาตวาดเสียงดังก้องแล้วเข้าไปกระชากตัวนางจากเยว่เล่อ บีบข้อมือของนางแรงจนช้ำแดงเถือกเยว่เล่อไม่อาจทนเห็นใครทำร้ายนางได้อีก เขาขัดคำสัญญาของนางแล้วพุ่งตรงมาบีบคอของใต้เท้าหนุ่มในทันที เยว่เล่อกัดคอของเขาแล้วสูบเลือดที่มีจนหมดตัว ทิ้งร่างเหี่ยว ๆ กองไว้บนพื้นนางไม่เคยเห็นเขาในสภาพเช่นนี้มาก่อนจึงตกตะลึงไปชั่วขณะแต่แล้วก็เดินมากอดเขาเอาไว้“ไปจากที่นี่กันเถิดนะเยว่เล่อ” นางมองหน้าเขาสายตาอ้อนวอนทั้ง ๆ ที่บริเวณบ้านเงียบงันแต่กลับมีเสียงหนึ่งคล้ายเสียงของใต้เท้าหนุ่มตะโกนโวยวายไม่เป็นเรื่อง คนใช้ในจวนจึงรีบวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามาในห้อง ครั้นได้เห็นภาพเ