ยามตะวันคล้อยต่ำ แสงสีทองสาดส่องกระทบผืนน้ำในลำธารซีหลิน ทำให้ผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ดุจดวงดาวนับร้อยที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า
ตู้เยี่ยนอวี่ยืนอยู่ริมท่าน้ำ มือเรียวบางกำลังซักผ้าอย่างคล่องแคล่ว ท่ามกลางเสียงเจื้อยแจ้วของเหล่าสตรีในหมู่บ้านที่กำลังทำกิจวัตรประจำวัน การเรียนรู้งานบ้านงานเรือนเหล่านี้เป็นดั่งบทเรียนสำคัญที่ทำให้นางเข้าใจชีวิตของผู้คนในยุคสมัยนี้อย่างลึกซึ้งขึ้นทีละน้อย
“คุณหนูเยี่ยนอวี่ ช่างขยันขันแข็งยิ่งนัก” หญิงชราผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นขณะเดินผ่านไป นางมีใบหน้ายิ้มแย้ม และแววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
“ท่านป้ากล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่ตอบด้วยรอยยิ้มงดงาม ดุจดอกเหมยยามแรกแย้ม “ข้าเพียงช่วยแบ่งเบาภาระของท่านแม่เท่านั้นเจ้าค่ะ”
คำพูดของนางดูเป็นธรรมชาติยิ่งนัก ยากที่จะมีใครล่วงรู้ว่าเบื้องลึกในจิตใจของสตรีผู้นี้ ยังคงหลงเหลือเศษเสี้ยวความทรงจำจากโลกที่ห่างไกลออกไปนับพันปี
หลังจากกลับจากท่าน้ำเยี่ยนอวี่ก็ตรงไปยังห้องสมุดของตระกูลทันที ห้องสมุดแห่งนี้เปรียบเสมือนหลุมหลบภัยชั้นดีสำหรับนาง เป็นสถานที่ที่นางสามารถดำดิ่งลงไปในโลกที่เต็มไปด้วยความรู้ และค้นพบหนทางที่จะใช้ชีวิตในยุคสมัยนี้ได้อย่างมีคุณค่า
“ตำราเล่มนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก” นางพึมพำกับตนเอง ขณะหยิบม้วนคัมภีร์เก่าแก่เล่มหนึ่งออกจากชั้นวาง ม้วนคัมภีร์นั้นมีกลิ่นอายของกาลเวลา ห่อหุ้มด้วยผ้าไหมสีน้ำตาลที่ซีดจางลงไปตามกาลเวลา
นางคลี่ม้วนคัมภีร์ออกอย่างระมัดระวัง ภายในเป็นตัวอักษรโบราณที่เขียนด้วยพู่กันอย่างวิจิตรบรรจง ไม่ใช่ตำราปรัชญา ไม่ใช่ตำราประวัติศาสตร์ แต่เป็นตำราว่าด้วยการบำบัดรักษาโรคด้วยวิชาธาตุและเส้นลมปราณ
ตู้เยี่ยนอวี่ผู้ซึ่งเคยร่ำเรียนวิชาแพทย์แผนปัจจุบันมาอย่างเชี่ยวชาญ ถึงกับนิ่งงันไปชั่วขณะ
เมื่อพิจารณาเนื้อหาในตำราแล้ว นางก็พบว่าหลักการบางอย่างนั้นคล้ายคลึงกับหลักการทำงานของระบบประสาทและอวัยวะภายในของมนุษย์ที่นางเคยศึกษามา เพียงแต่ถูกอธิบายด้วยภาษาและแนวคิดที่แตกต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง
“ลมปราณ เส้นชีพจร ธาตุทั้งห้า...” นางไล่อ่านตัวอักษรเหล่านั้นช้า ๆ แต่ละคำเปรียบดั่งสถานที่ที่เต็มไปด้วยความรู้แปลกใหม่ “นี่อาจจะเป็นวิชาการแพทย์ในยุคนี้ก็เป็นได้”
จากความทรงจำเดิมของร่างนี้ที่เสี่ยวจูเล่าให้ฟัง ตู้เยี่ยนอวี่เจ้าของร่างคนเดิมนั้นเป็นเด็กที่ใฝ่รู้ และมักจะใช้เวลาในห้องสมุดอยู่เสมอ การที่นางสนใจตำราแพทย์จึงมิใช่เรื่องแปลกอันใด
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นอกจากกิจวัตรประจำวันที่นางต้องเรียนรู้แล้ว ตู้เยี่ยนอวี่ก็ได้เพิ่มการศึกษาตำราเล่มนี้เข้าไปด้วย นางจะจุดตะเกียงน้ำมันเบา ๆ และอ่านตำราเล่มนั้นอย่างตั้งใจ แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ทุกตัวอักษรก็เป็นดั่งเมล็ดพันธุ์ที่เพาะบ่มความรู้ในจิตใจของนาง
“ลมปราณแห่งชีวิต เปรียบดุจสายน้ำที่หล่อเลี้ยงสรรพสิ่งในร่าง” นางพึมพำกับตนเองขณะอ่านบทหนึ่งในตำรา “หากสายน้ำติดขัด ย่อมเกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นได้”
หลักการนี้คล้ายคลึงกับการไหลเวียนของโลหิตในร่างกายมนุษย์ที่นางเคยเรียนรู้มา ทำให้ตู้เยี่ยนอวี่รู้สึกตื่นเต้น
-
เดือนแปด รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบหก
ยามย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้ที่เคยเขียวชอุ่มก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองและแดงก่ำ ดุจภาพวาดที่งดงาม
ตู้เยี่ยนอวี่ใช้เวลาศึกษาตำราวิชาธาตุและเส้นลมปราณอย่างจริงจัง นางพยายามเชื่อมโยงความรู้ทางการแพทย์แผนปัจจุบันเข้ากับหลักการโบราณเหล่านี้ แม้จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ก็มีจุดร่วมบางอย่างที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้
วันหนึ่งขณะที่นางกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ในห้องสมุด เสียงร้องไห้คร่ำครวญก็ดังมาจากนอกเรือน ดุจเสียงกรีดร้องของวิญญาณที่ทุกข์ทรมาน เสี่ยวจูรีบวิ่งเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าที่ตื่นตระหนก
“คุณหนูแย่แล้วเจ้าค่ะ ! อาเหยาบุตรชายของป้าเหมยที่อยู่ท้ายหมู่บ้านล้มป่วยหนัก ตัวร้อนจัดจนชักเกร็งไปแล้วเจ้าค่ะ !”
ตู้เยี่ยนอวี่ได้ยินดังนั้นก็รีบผุดลุกขึ้นยืนทันทีด้วยความตกใจ “พาข้าไปดูเดี๋ยวนี้ !”
นางลืมไปเสียสิ้นว่าตนมิใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโลกเดิมอีกต่อไป หากแต่เป็นเพียงเด็กสาววัยสิบสี่ปีในยุคโบราณ แต่สัญชาตญาณของการเป็นผู้ช่วยเหลือชีวิตมิได้จางหายไปจากจิตใจของนางเลยแม้แต่น้อย
เมื่อมาถึงเรือนของป้าเหมยก็พบว่ามีชาวบ้านหลายคนยืนมุงดูด้วยความเป็นห่วง อาเหยานอนอยู่บนพื้น ตัวสั่นเทิ้ม ใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากเขียวคล้ำ ข้าง ๆ กันมีป้าเหมยที่กำลังนั่งร่ำไห้แทบขาดใจ
“คุณหนูตู้เยี่ยนอวี่มาแล้ว !” เสียงใครคนหนึ่งตะโกนขึ้น ทำให้ผู้คนหันมามองด้วยความหวัง
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้สนใจสายตาของใคร นางคุกเข่าลงข้างกายอาเหยาทันที มือเรียวบางสัมผัสหน้าผากที่ร้อนระอุของเด็กน้อย
“ตัวร้อนจัดจริง ๆ” นางพึมพำ “เสี่ยวจูเจ้าไปนำน้ำสะอาดกับผ้ามาให้ข้าเดี๋ยวนี้ !”
เสี่ยวจูรีบไปตามคำสั่ง ในขณะที่ตู้เยี่ยนอวี่ก็เริ่มตรวจดูอาการของอาเหยาอย่างละเอียด ดุจหมอผู้เชี่ยวชาญที่กำลังวินิจฉัยโรค นางจับชีพจร ตรวจดูลิ้น และพยายามฟังเสียงหายใจที่แผ่วเบาของเด็กน้อย
“อุณหภูมิกายสูงมาก ลมปราณติดขัด มีอาการชักเกร็ง” นางรำพึงกับตนเอง พร้อมกับนึกย้อนถึงตำราวิชาธาตุและเส้นลมปราณที่เพิ่งศึกษามา “ลมปราณของเขาถูกปิดกั้น ต้องทำการเปิดทางลมปราณ”
เมื่อได้น้ำและผ้าแล้ว ตู้เยี่ยนอวี่ก็ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้อาเหยาอย่างรวดเร็วและใจเย็น ก่อนที่นางจะหันไปหาป้าเหมย “ป้าเหมย ในเรือนมีขิงแห้งหรือไม่เจ้าคะ ?”
ป้าเหมยพยักหน้าทั้งน้ำตา “มีเจ้าค่ะ มีอยู่ในครัว”
“นำมาให้ข้าเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่กล่าว
เมื่อได้ขิงมาแล้ว ตู้เยี่ยนอวี่ก็ใช้มีดฝานขิงเป็นแผ่นบาง ๆ แล้ววางลงบนจุดชีพจรบางแห่งตามตำราที่ได้ศึกษามา พลางใช้ปลายนิ้วกดคลึงเบา ๆ
“คุณหนูจะทำอันใดเจ้าคะ ?” ป้าเหมยถามด้วยความสงสัยระคนกังวล
“ข้ากำลังจะช่วยเปิดทางลมปราณให้อาเหยาเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่ตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง ดวงตาฉายแววแน่วแน่ “เพื่อให้ความร้อนในกายของเขาคลายลง”
ชาวบ้านที่มุงดูต่างส่งเสียงซุบซิบนินทาดุจผึ้งที่แตกรัง หลายคนมิเข้าใจในสิ่งที่เยี่ยนอวี่กระทำ เพราะมิเคยเห็นการรักษาเยี่ยงนี้มาก่อน มีเพียงหมอหลี่ผู้ชราที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก กำลังมองเยี่ยนอวี่ด้วยแววตาครุ่นคิด
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้สนใจเสียงซุบซิบเหล่านั้น นางยังคงกดคลึงจุดชีพจรของอาเหยาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับท่องจำบทคัมภีร์ที่ได้ศึกษามาในใจ
ผ่านไปไม่นานอาการชักเกร็งของอาเหยาก็เริ่มทุเลาลง ใบหน้าของเด็กน้อยที่เคยซีดขาวก็เริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้นทีละน้อย
“คุณหนู ! อาการอาเหยาดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ !” เสี่ยวจูร้องอุทานด้วยความยินดี
ป้าเหมยถึงกับทรุดลงคุกเข่าต่อหน้าตู้เยี่ยนอวี่
“ขอบคุณคุณหนูยิ่งนักเจ้าค่ะ ! คุณหนูคือผู้มีพระคุณของข้าและบุตรชาย !”
ตู้เยี่ยนอวี่รีบพยุงป้าเหมยขึ้น “ป้าเหมยมิต้องทำเช่นนั้นเจ้าค่ะ ข้าเพียงทำตามหน้าที่ของมนุษย์เท่านั้น” นางหันไปหาชาวบ้านที่มุงดู “อาเหยายังต้องพักผ่อนให้มาก และดื่มน้ำขิงอุ่น ๆ เพื่อขับพิษไข้เจ้าค่ะ”
หมอหลี่ผู้ชราเดินเข้ามาใกล้ตู้เยี่ยนอวี่ เขามองนางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความทึ่ง
“แม่นางน้อยตู้ วิชาการแพทย์ของเจ้าช่างล้ำลึกยิ่งนัก ข้ามิเคยพบพานผู้ใดรักษาด้วยวิธีนี้มาก่อน”
ตู้เยี่ยนอวี่โค้งคำนับเล็กน้อย
“ข้าเพียงอาศัยความรู้ที่ได้ศึกษาจากตำราเก่าแก่ของตระกูลเจ้าค่ะ” นางมิอาจบอกความจริงได้ว่าความรู้บางส่วนนั้นมาจากโลกที่ไกลแสนไกล
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ชื่อเสียงของตู้เยี่ยนอวี่ก็เป็นที่เลื่องลือไปทั่วหมู่บ้านซีหลินและหมู่บ้านใกล้เคียง ดุจกระแสลมที่พัดพาลอยไปไกล ผู้คนต่างเรียกขานนางว่าหมอเทวดาตู้ แม้จะยังเด็กนัก แต่ความสามารถและจิตใจอันเมตตาของนางก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาผู้คน
ยามรัตติกาลอันเงียบสงัด ตู้เยี่ยนอวี่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง จ้องมองดวงจันทร์ที่ส่องสว่างบนฟากฟ้า เสียงแมลงครางระงม
ความสำเร็จในวันนี้ทำให้ใจนางเปี่ยมไปด้วยความสุข แต่ก็มิได้หลงระเริง
“การช่วยเหลือผู้อื่นช่างเป็นความรู้สึกที่วิเศษยิ่งนัก” นางพึมพำกับตนเอง “ไม่ว่าโลกนี้จะเป็นเช่นไร ขอเพียงได้ทำสิ่งที่ตนรัก ก็เพียงพอแล้ว”
ณ ลานฝึกยุทธ์ลับของสำนักพันเงาบรรยากาศอบอวลไปด้วยไอสังหารและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ จอมยุทธ์แห่งสำนักพันเงาแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือที่มีเพลงยุทธ์เฉพาะตัวที่ร้ายกาจ แต่การต่อสู้ของพวกเขานั้นเป็นไปในลักษณะฉายเดี่ยว ดุจพยัคฆ์ร้ายที่ล่าเหยื่อโดยลำพังกู้เหยียนหลงในฐานะอดีตแม่ทัพใหญ่ กำลังพยายามหลอมรวมคมดาบที่กระจัดกระจายเหล่านี้ให้กลายเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งและเป็นหนึ่งเดียว“เพลงยุทธ์ของพวกท่านร้ายกาจ แต่ขาดซึ่งการประสานงาน!” เขากล่าวเสียงดังฟังชัด “ในสนามรบที่แท้จริง การรบเพียงลำพังไม่ต่างอะไรกับการหาที่ตาย! พวกท่านต้องเรียนรู้ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนทัพ เป็นตาให้สหาย เป็นโล่ให้พวกพ้อง!”ในตอนแรก เหล่าจอมยุทธ์ผู้หยิ่งทระนงในฝีมือของตนต่างแสดงความไม่พอใจ แต่หลังจากที่ได้ประลองและพ่ายแพ้ให้แก่กลยุทธ์ทางการทหารอันเหนือชั้นของกู้เหยียนหลง พวกเขาก็ยอมรับในตัวบุรุษผู้นี้อย่างสุดหัวใจในขณะเดียวกัน ณ ห้องปรุงยาลับของสำนักนายหญิงแห่งเงาได้นำยอดพิษ และสมุนไพรหายากในยุทธภพที่นางรวบรวมไว้มามอบให้ตู้เยี่ยนอวี่ศึกษา ตู้เยี่ยนอวี
ภายในห้องโถงลับของสำนักพันเงา อากาศยังคงอบอวลไปด้วยความเงียบงัน นายหญิงแห่งเงาจ้องมองตู้เยี่ยนอวี่ด้วยสายตาที่ล้ำลึกดุจมหาสมุทร ยากที่จะหยั่งถึงความคิดของนาง“ข้อเสนอเป็นพันธมิตร ช่างเป็นวาจาที่อาจหาญยิ่งนัก จากดาวที่เคยเจิดจรัสอยู่บนฟากฟ้าของราชสำนัก แต่บัดนี้กลับร่วงหล่นลงมาสู่ดินโคลนแห่งนี้” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยตู้เยี่ยนอวี่มิได้สะทกสะท้าน“ดาวที่ร่วงหล่น หากยังคงมีแสงในตัวเอง ย่อมสามารถกลับไปส่องสว่างบนฟากฟ้าได้อีกครั้งเจ้าค่ะ” นางกล่าวตอบอย่างไม่ลดละ “พวกเรามิได้มาเพื่อขอความเมตตา แต่มาเพื่อเสนอความร่วมมือที่จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย”นางได้อธิบายถึงภัยคุกคามทั้งหมดที่แผ่นดินกำลังเผชิญ ทั้งแผนการควบคุมจิตใจขององค์ชายจ้าวเฟิง และความเหี้ยมโหดของพรรคเมฆาโลหิตที่กำลังแทรกซึมไปทั่วทุกหนแห่ง ส่วนกู้เหยียนหลงก็ได้ชี้ให้เห็นถึงภัยทางการทหาร หากรองแม่ทัพจ้าวคุนสามารถยึดอำนาจในกองทัพได้สำเร็จ ชายแดนของต้าเฉินก็จะเปิดอ้ารอรับการรุกรานจากแคว้นเวยทันทีนายหญิงแห่งเงารับฟังทั้งหมดอย่างตั้งใจ นานแสนนานที่นางนั
บรรยากาศตึงเครียดจนแทบระเบิด รองแม่ทัพจ้าวคุนยืนอยู่ที่ปากประตูด้วยรอยยิ้มแห่งผู้ชนะ สาส์นลับในมือของเขาเปรียบดั่งตราบาปที่ประทับลงบนชะตากรรมของคนทั้งสาม“ยอมจำนนเสียเถิดเหล่ากบฏ ! หลักฐานมัดตัวแน่นหนาถึงเพียงนี้ พวกเจ้ายังจะดิ้นรนไปไย !”กู้เหยียนหลงและจางอู๋จีชักอาวุธออกมาทันที แววตาของพวกเขาแน่วแน่และพร้อมที่จะสู้ตาย แม้จะรู้ว่านี่คือการต่อสู้ที่ไร้ซึ่งความหวังก็ตามทว่า ในขณะที่การปะทะกำลังจะเกิดขึ้น ตู้เยี่ยนอวี่กลับก้าวออกมาขวางคนทั้งสองไว้“รอก่อนเจ้าค่ะ !” นางกระซิบ “การต่อสู้ในยามนี้ คือสิ่งที่พวกมันต้องการที่สุด”นางล้วงหยิบเอาลูกกลอนกระเบื้องเคลือบขนาดเล็กออกมาจากแขนเสื้อ มันดูเป็นเพียงของประดับธรรมดาชิ้นหนึ่ง“สิ่งนี้... จะซื้อเวลาให้เราได้สามลมหายใจ”สิ้นคำพูด นางก็ขว้างลูกกลอนนั้นลงบนพื้นอย่างแรงเพล้ง !แทนที่จะเป็นควันพิษ สิ่งที่ระเบิดออกมากลับเป็นลำแสงสีขาวที่สว่างจ้าจนแสบตา พร้อมกับเสียงแหลมสูงที่กรีดลึกเข้าไปในโสตประสาท เหล่าองครักษ์และจ้าวคุนต่างยกมือขึ้นปิดตาและหูด้วยความเจ็บปวด โลกทั้งใบของพวกเขากลายเป็นสีขาวโพลนและเงียบงันไปชั่วขณะ“เร็วเข้า !”ในสามลมหายใจแห่งค
ช่วงเวลาหลายสัปดาห์ต่อมา บรรยากาศในวังหลวงสงบสุขลงอย่างเห็นได้ชัด ถุงหอมหนิงอันของตู้เยี่ยนอวี่ดูเหมือนจะได้ผลชะงัด เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์มีท่าทีที่ผ่อนคลายและจิตใจที่แจ่มใสขึ้น ความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ลดลงจนแทบไม่ปรากฏกู้เหยียนหลงเองก็ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนกำลังพล เขาสามารถโยกย้ายคนของรองแม่ทัพจ้าวคุนออกไปจากตำแหน่งสำคัญ และแทนที่ด้วยนายทหารรุ่นใหม่ที่มีความสามารถและภักดีได้อย่างราบรื่นดูเหมือนว่าฝ่ายของพวกเขาจะกุมชัยชนะและควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ทั้งหมด ทว่า นี่เป็นเพียงความสงบก่อนพายุจะโหมกระหน่ำอย่างแท้จริงหอเหมยแดงยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ภายใต้เสียงดนตรีอันไพเราะและกลิ่นกำยานหอมกรุ่น นักดนตรีขลุ่ยมายาในม่านลูกปัดกำลังสนทนากับนักปลอมแปลงเอกสารมือหนึ่งของยุทธภพ“ข้าต้องการสาส์นลับฉบับหนึ่ง ที่มีลายมือของจางอู๋จี แต่เนื้อความต้องเป็นบทเพลงที่พวกเราบรรเลง” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยียบเย็นแผนการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความระแวงได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเงียบงัน///ณ กระทรวงกลาโหมหลายวันต่อมา…
ในห้องประชุมลับใต้ดิน บรรยากาศเงียบสงัดจนได้ยินเสียงเปลวเทียนสั่นไหว ใบหน้าของกู้เหยียนหลงและจางอู๋จีเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากที่ตู้เยี่ยนอวี่ได้เปิดเผยความจริงอันน่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับเครื่องหอมในหอเหมยแดง“พวกมันมิได้ต้องการแค่ราชบัลลังก์ แต่ต้องการควบคุมวิญญาณของขุนนางทั้งแผ่นดิน” จางอู๋จีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “นี่คือแผนการที่ชั่วร้ายและทะเยอทะยานเกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดคิด”“การบุกทำลายหอเหมยแดงในยามนี้เป็นไปไม่ได้” กู้เหยียนหลงวิเคราะห์ “นั่นเท่ากับเป็นการเปิดศึกโดยตรง และจะทำให้องค์ชายจ้าวเฟิงมีข้ออ้างในการเคลื่อนไหวทางการทหารทันที”“ถูกต้องเจ้าค่ะ” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวขึ้น ดวงตาของนางสงบนิ่งดุจน้ำในบ่อลึก แต่กลับฉายประกายแห่งความเด็ดเดี่ยว “ในเมื่อพิษเข้าทางลมหายใจ ยาแก้ก็ต้องออกฤทธิ์ผ่านลมหายใจเช่นกัน”นางได้เสนอแผนการที่แยบยลและเหนือความคาดหมาย นั่นคือการสร้างยาถอนพิษที่มองไม่เห็นขึ้นมาต่อกรตู้เยี่ยนอวี่ใช้เวลาหลายวันขลุกตัวอยู่แต่ในห้องปรุงยา นางศึกษ
เงาจันทร์ทาบทาลงบนตรอกซอกซอยอันมืดมิดของเมืองหลวง ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงเร้นกายออกจากหอเหมยแดงอย่างเงียบเชียบ บรรยากาศที่เคยหรูหราฟู่ฟ่า บัดนี้กลับให้ความรู้สึกน่าขยะแขยงราวกับสุสานที่ประดับประดาอย่างงดงามแต่ซ่อนเร้นไว้ด้วยซากศพและความเน่าเฟะทั้งสองมิได้เอ่ยวาจาใด ๆ ตลอดทาง แต่ในใจกลับปั่นป่วนดุจพายุคลั่ง ภาพของรองแม่ทัพจ้าวคุนที่หายลับเข้าไปในประตูทางลับนั้น ยังคงติดตาตรึงใจราวกับถูกเหล็กร้อนนาบ///ณ ที่พำนักลับของจางอู๋จีบรรยากาศในห้องประชุมใต้ดินนั้นหนักอึ้งและเยียบเย็นยิ่งกว่าค่ำคืนในฤดูเหมันต์“รองแม่ทัพแห่งต้าเฉิน คือหนอนบ่อนไส้” กู้เหยียนหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำจนน่ากลัว กำปั้นของเขากำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ในฐานะแม่ทัพใหญ่ การมีผู้ทรยศอยู่ในตำแหน่งสูงถึงเพียงนี้ ถือเป็นความล้มเหลวและความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวงจางอู๋จีถอนหายใจยาว“ข้าเคยสงสัยในตัวจ้าวคุนมานานแล้ว” เขากล่าว “ฐานะทางการเงินของเขาเติบโตขึ้นอย่างผิดปกติในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ข้ามิเคยมีหลักฐานมัดตัวเขาได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว จนกระทั่งวัน