เช้าวันใหม่ในวังน้ำแข็งเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด แสงเงินบาง ๆ จากดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยส่องแรงเกินไปในดินแดนหิมะ ทอผ่านหน้าต่างน้ำแข็งหนาเป็นลำแสงอ่อน ๆ คลี่ตัวลงบนพื้นพรมขนสัตว์หนานุ่ม
ฉันขยับตัวใต้ผ้าห่มขนสัตว์ สูดกลิ่นอุ่น ๆ ของไฟเวทย์ที่ยังคงลุกโชนในเตาผิง
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นอย่างสุภาพ
“คุณผู้มาเยือน...”
เสียงอ่อนโยนของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากหลังบานประตู
“ข้ามีนามว่า เสี่ยวหนิง มาดูแลท่านตามบัญชาขององค์ชาย”
ฉันสะดุ้งเล็กน้อย รีบลุกขึ้นจากเตียง กอดผ้าห่มขนสัตว์แนบอกด้วยความเคยชินของคนแปลกที่
แล้วตอบเสียงเบา ๆ
“เข้ามาได้ค่ะ”
บานประตูเปิดออกเบา ๆ อย่างนุ่มนวล
หญิงสาวร่างเล็กในชุดสีขาวสะอาดก้าวเข้ามา
ใบหน้าของเธออ่อนหวาน ดวงตากลมโค้งรับรอยยิ้มสุภาพ ทำให้บรรยากาศแข็งกร้าวของวังน้ำแข็งดูนุ่มนวลลงทันทีที่เธอปรากฏตัว
“ข้ามีหน้าที่นำอาหาร เครื่องใช้ และช่วยดูแลท่านระหว่างที่พักอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”
เสี่ยวหนิงก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงเคารพ
ฉันยิ้มแหย ๆ ตอบกลับไป พลางกอดผ้าห่มแน่นกว่าเดิมเล็กน้อยด้วยความเก้อเขิน
“ขอบคุณนะคะ...เอ่อ...ฝากตัวด้วยค่ะ”
เสี่ยวหนิงยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะก้าวเท้าเบา ๆ ไปจัดเตรียมอาหารเช้าบนโต๊ะข้างเตาผิง
แม้จะเป็นวังน้ำแข็งที่โอบล้อมด้วยความหนาวเหน็บ แต่โต๊ะอาหารเล็ก ๆ นี้...กลับอบอุ่นกว่าที่ฉันคาดไว้
เสี่ยวหนิงจัดวางจานขนมปังนุ่ม ๆ ที่เพิ่งอบจนหอมกรุ่น แก้วชาร้อน ๆ ที่มีไออ่อน ๆ ลอยขึ้นมาแตะปลายจมูก และชามซุปใสร้อน ๆ ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลด้วยสมุนไพรอ่อน ๆ
กลิ่นนั้นอบอุ่น...ชวนให้หัวใจอ่อนแรงที่แข็งค้างจากความหนาวละลายลงอย่างช้า ๆ
ฉันหิวจนแทบจะกระโจนใส่โต๊ะ แต่ก็พยายามระงับสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดด้วยมารยาทอันบางเบา นั่งลงบนเก้าอี้ขนสัตว์นุ่ม ๆ ใช้ช้อนเงินตักซุปเข้าปากอย่างตั้งใจ
ซุปใสร้อน ๆ รสชาติอ่อนโยนไหลลงลำคออุ่นวาบ ราวกับละลายเศษเสี้ยวความเหน็บหนาวที่เกาะกุมอยู่ในใจมาตลอดสองวัน
'อย่างน้อย...ก็ไม่ต้องอดตายเพราะหนาวหรือหิว ในวังแห่งนี้'
ฉันคิดในใจ
พลางเหลือบมองเจ้าหยกหิมะที่ขดตัวในกรงน้ำแข็งอยู่ข้างเตาผิง ส่งเสียงหายใจเบา ๆ อย่างพอใจ
บรรยากาศเงียบสงบในห้องเล็ก ๆ นี้ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกโอบล้อมด้วยอ้อมแขนอ่อนโยนที่ไม่เคยคาดหวังจะได้รับจากวังเยือกแข็งแห่งนี้
เมื่อฉันทานอาหารไปได้ครึ่งหนึ่ง เสี่ยวหนิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ ด้วยท่าทางสำรวม รอจังหวะเหมาะสม เธอก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“หากท่านผู้มาเยือนต้องการสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า ยา หรือความช่วยเหลือ...”
เธอหยิบของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อของชุดขาว —
มันคือ ระฆังเล็ก ๆ สีเงินเรืองแสงจาง ๆ ขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย รูปทรงคล้ายดอกบัวตูม สลักลวดลายเกล็ดหิมะรอบขอบ
“เพียงเขย่าระฆังนี้เบา ๆ เจ้าค่ะ”
“เสียงจะส่งตรงถึงข้า ไม่ว่าข้าจะอยู่ส่วนไหนของวังน้ำแข็ง”
เธอยื่นระฆังนั้นมาให้ฉันอย่างทะนุถนอม ฉันรับมาด้วยความเกรงใจ แต่ก็อดยิ้มบาง ๆ ไม่ได้
“ขอบคุณนะคะ...มันสวยมากเลย”
เสี่ยวหนิงยิ้มรับ รอยยิ้มอ่อนโยนของเธอเหมือนแสงแดดอ่อน ๆ ท่ามกลางพายุหิมะ
“เป็นเวทเสียงเรียกของวังเก่าแก่เจ้าค่ะ… องค์ชายสั่งให้ข้านำมามอบให้ท่านโดยเฉพาะ”
ฉันชะงักเล็กน้อย
‘...องค์ชาย?’
คำเรียกนั้นทำให้หัวใจฉันเต้นสะดุดอย่างไม่รู้สาเหตุ
“ข้าจะรอรับใช้ท่านเสมอเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนิงพูดพร้อมก้มศีรษะอีกครั้ง
“และขอให้ท่านใช้เวลากับวังน้ำแข็งนี้...อย่างอุ่นใจที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
ฉันยิ้มรับเบา ๆ
กำระฆังเงินเล็ก ๆ ไว้แน่นในมืออย่างรู้สึกถึงความปลอดภัยแผ่วเบาที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ
หลังอาหารเช้า ฉันรีบกดเช็กนาฬิกา Omnibite ด้วยความหวังราง ๆ
[กำลังพยายามเชื่อมต่อ...]
จังหวะหัวใจของฉันเต้นเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
รอคอยอย่างกระวนกระวาย เหมือนคนที่เฝ้ารอโทรศัพท์จากบ้านเกิด
[Error: พลังงานยังไม่เสถียร โปรดลองใหม่อีกครั้งในภายหลัง]
“...เฮ้อ” ฉันถอนหายใจยาวเหยียดอย่างหมดแรง
“พี่ยำ...อย่าทิ้งฉันไว้ที่นี่สิ...”
ฉันพึมพำกับตัวเองเบา ๆ เสียงแหบพร่าเพราะอารมณ์ที่กดทับอยู่ในอก
เจ้าหยกหิมะในกรงน้ำแข็งข้างเตียงเหมือนจะรับรู้ถึงความหดหู่ของฉัน มันส่งเสียง “คิ๊ว~” อ่อนโยนในลำคอ ราวกับจะปลอบใจ
ฉันหัวเราะแห้ง ๆ แล้วก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ เมื่อความหวังริบหรี่ในการติดต่อกลับโลกเดิมเริ่มแผ่ขยายเต็มอก
ประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง
“ตามข้ามา” เสียงทุ้มเย็นเอ่ยขึ้น
ฉันเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจเล็กน้อย
หลงอวิ๋นยืนอยู่ที่ธรณีประตู เส้นผมยาวสีครามเข้มลู่ไหลลงบนไหล่ ชุดคลุมสีเงินเรืองแสงอ่อน ๆ ไหวเบา ๆ ตามแรงลมที่ลอดเข้ามาจากทางเดิน
ดวงตาสีฟ้าของเขาจับจ้องมาที่ฉัน —
นิ่งสงบ เยือกเย็น แต่ไม่แข็งกระด้างเท่าคืนแรกที่เราเจอกัน
ฉันรีบเก็บนาฬิกา Omnibite ใส่กระเป๋า กอดเจ้าหยกหิมะที่หลับปุ๋ยอยู่ในกรงแนบอก แล้วก้าวตามเขาออกไปอย่างรวดเร็ว
วังน้ำแข็งในยามกลางวัน...สวยงามจนน่าใจหาย
เสาหินน้ำแข็งสูงเสียดฟ้าถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง รูปสัตว์วิเศษ มังกร ลำน้ำ และหมู่ดาว พันร้อยเข้าหากันราวกับโลกทั้งใบถูกร้อยเรียงด้วยปลายนิ้วของเทพเจ้า
พื้นน้ำแข็งใต้เท้าใสสะท้อนแสงแดดอ่อน ๆ ที่ลอดผ่านกระจกน้ำแข็งหนา เกิดเป็นประกายระยิบระยับสีรุ้งที่เต้นระริกไล่ตามฝ่าเท้าไปทุกย่างก้าว
ห้องโถงกว้างใหญ่เต็มไปด้วยประติมากรรมน้ำแข็งรูปร่างแปลกตา —
บางตัวเหมือนนกฟีนิกซ์กำลังสยายปีก บางตัวเหมือนปลาวาฬยักษ์ล่องลอยอยู่เหนือพื้นดิน ทุกรูปปั้นละเอียดลออเสียจนเหมือนพวกมันจะขยับได้จริง ๆ
แสงที่ส่องลอดผ่านคริสตัลน้ำแข็งสูงเหนือหัวทำให้ทั้งวังดูเหมือนลอยอยู่ในความฝัน —
ระหว่างโลกของมนุษย์กับแดนสวรรค์ที่เย็นเยียบ
หลงอวิ๋นเดินนำฉันไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน ฝีเท้าของเขานุ่มนวลมั่นคง ทุกย่างก้าวมีจังหวะที่แน่วแน่เหมือนกับว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของวังน้ำแข็งนี้มาตั้งแต่ต้น
เขาไม่พูดอะไรเลย —
เพียงเดินอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้ฉันได้ซึมซับภาพทั้งหมดด้วยตัวเอง และฉันก็ไม่รู้ตัวเลย...ว่าความกังวล หวาดหวั่น และความเหงาที่เคยเกาะกุมหัวใจมาทั้งคืน เริ่มสลายไปทีละน้อย ราวกับถูกละลายด้วยแสงระยิบระยับของวังน้ำแข็งแห่งนี้
เราผ่าน ห้องบัลลังก์ —
โถงสูงตระหง่านที่เต็มไปด้วยแสงสะท้อนระยิบระยับของน้ำแข็งบริสุทธิ์
ตรงกลางห้อง...ตั้งตระหง่านอยู่คือ บัลลังก์น้ำแข็ง แกะสลักอย่างวิจิตรพิสดาร มังกรน้ำแข็งขนาดมหึมาโอบล้อมรอบบัลลังก์ ด้วยท่วงท่าเยือกเย็นและสง่างามเหมือนสิ่งมีชีวิตจริง
เพดานเบื้องบนประดับด้วย สายคริสตัลใส ร้อยเรียงเป็นเส้นสายละเอียดอ่อน เปล่งประกายแสงระยิบระยับเหมือนหมู่ดาวบนผืนฟ้ายามค่ำคืน
เมื่อมองขึ้นไป...ราวกับโลกทั้งใบกำลังแขวนอยู่เหนือหัว
โถงสีเงินสะท้อนแสงทุกฝีก้าวที่เราย่างผ่าน ความเงียบงันในที่แห่งนี้ ไม่ได้เย็นเพียงร่างกาย — แต่เย็นลึกถึงหัวใจ
ฉันย่างเท้าไปตามหลงอวิ๋นอย่างเงียบ ๆ แต่เมื่อเดินผ่านหนึ่งในเสาน้ำแข็งใสที่ประดับเรียงรายตามทางเดิน ฉันก็เผลอยกมือขึ้นแตะเบา ๆ อย่างไม่รู้ตัว
ปลายนิ้วสัมผัสกับความเย็นเฉียบ...
และทันใดนั้น—
ภาพบางอย่างพุ่งเข้าสู่หัวฉันอย่างรุนแรง
ฉันเห็นหิมะตกหนัก —
เกล็ดหิมะกระหน่ำราวกับพายุโหมกระหน่ำโลกจนแทบแตกสลาย ได้ยินเสียงร้องโหยหวนกรีดแผ่นฟ้า —
เสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด สูญเสีย และความสิ้นหวังจนแทงทะลุเข้าไปถึงกระดูก
และภายใต้พายุหิมะที่ไร้ความเมตตานั้น —
ฉันเห็นเงาร่างบางร่างหนึ่ง ร่างสูงสง่า สวมชุดคลุมที่ปลิวไหว ทรุดตัวลงกลางทะเลเลือดสีแดงฉานที่ซึมไหลเป็นแอ่งใต้หิมะขาวโพลน
เลือด
หิมะ
และความตายที่กัดกร่อนทุกสิ่ง
ภาพนั้นพร่าเลือนเกินกว่าจะจับรายละเอียดได้ เหมือนเศษเสี้ยวของความทรงจำที่แตกสลาย
แต่ความรู้สึกที่มันฝากไว้...
ชัดเจนจนบีบรัดหัวใจฉันจนแทบหยุดเต้น
“อึก...”
ฉันสะดุ้งเฮือก ถอนมือจากผนังน้ำแข็งอย่างรุนแรง ความเย็นเฉียบไหลย้อนจากปลายนิ้วไปจนถึงอก
หลงอวิ๋นหยุดเดิน เขาหันกลับมาช้า ๆ ดวงตาสีฟ้านิ่งสงบแต่เต็มไปด้วยความระวัง
“เป็นอะไร” เขาถามด้วยเสียงราบเรียบ ไม่มีความร้อนรน แต่ก็ไม่เฉยชา
ฉันพยายามพูด แต่เสียงติดขัดกลางลำคอ ราวกับคำพูดทุกคำถูกความกลัวพันธนาการไว้
“ฉัน...ฉันเห็น...” ฉันฝืนเอ่ยด้วยเสียงสั่นไหว
“เลือด...แล้วก็หิมะ...แล้วก็...”
ฉันไม่กล้าพูดคำสุดท้ายออกมา —
คำว่าความตาย
คำที่ยังคงก้องกังวานอยู่ในหัวใจอย่างน่ากลัว
หลงอวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าไม่แสดงความตกใจ เพียงแต่จ้องมองฉันอย่างนิ่งสงบราวกับกำลังชั่งน้ำหนักบางอย่าง
“เจ้ามีดวงตา...ของผู้มองเห็นชะตา” เขากล่าวเบา ๆ ราวกระซิบกับสายลม
“ชะตา?”
ฉันทวนคำนั้นเสียงสั่น หัวใจเต้นกระหน่ำในอก
อย่าบอกนะ...เขารู้แล้ว ว่าฉันไม่ใช่แค่คนส่งอาหารธรรมดา
หลงอวิ๋นไม่ได้ตอบในทันที
เขาเพียงเบือนสายตาออกไปยังหน้าต่างน้ำแข็งสูงที่เผยให้เห็นท้องฟ้าขาวโพลนเบื้องนอก
แววตาของเขาในตอนนั้น...เศร้าลึก ราวกับแบกพายุหิมะที่ไม่มีวันสิ้นสุดอยู่บนบ่าของตัวเอง
ฉันกอดเจ้าหยกหิมะแน่นแนบอก ความอบอุ่นเพียงน้อยนิดนั้นช่วยพยุงหัวใจที่สั่นไหวของฉันไว้ไม่ให้แตกสลาย
'ไม่ว่าภาพนั้นคืออะไร...'
'ไม่ว่าความเศร้าของเขาจะลึกแค่ไหน...'
'ฉันสัญญา...'
'ฉันจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นง่าย ๆ แน่นอน'
แม้ว่าตอนนี้...ฉันจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำอย่างไร
แต่ฉันรู้แค่ว่า —
ฉันอยากปกป้องสิ่งสำคัญนี้ไว้...ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
หิมะโปรยลงมาเบา ๆ ราวม่านบางของความเงียบงันที่ปกคลุมพระราชวังน้ำแข็งยามค่ำคืนเอลาเรียเดินช้า ๆ ไปตามโถงทางเดินแกะสลักที่เย็นเฉียบ แม้จะใส่เสื้อคลุมกำมะหยี่ของราชสำนักอยู่เต็มตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนกำลังเดินเปลือยเปล่าในดินแดนของศัตรูหนาว—ไม่ใช่เพราะลม แต่เพราะสายตานับไม่ถ้วนที่กำลังจับจ้องวันนี้...มีบางอย่างไม่เหมือนเดิมสายตาของเหล่าทหารเวรที่เคยนิ่งเฉย กลับดูตั้งใจเกินเหตุบางคนมองสบตาเธอแล้วรีบหลบสายตาบางคน…ไม่ได้หลบเลยแววตาเหล่านั้นไม่ได้เปล่งความเคารพ—...แต่มากไปด้วยความระแวง เหมือนเธอคือระเบิดเวลาที่อาจระเบิดได้ทุกเมื่อ“เราไปทำอะไรผิด...หรือพวกเขาเริ่มรู้เรื่องคำทำนาย...หรือแม้แต่...”“...หลงอวิ๋น?”เสียงหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นอย่างไม่อาจห้ามเธออยากไปหาเขา อยากถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นแต่หอประชุมชั้นในของราชสภาถูกผนึกด้วยม่านเวท ห้ามผู้ใดเข้าใกล้โดยไม่ได้รับอนุญาตและเขา...ก็ไม่ได้กลับมาหาเธอเลยนับตั้งแต่รุ่งเช้าเอลาเรียก้า
เสียงลมหายใจของฉันแผ่วเบาในห้องเงียบ มีเพียงแสงจันทร์อ่อนที่ส่องลอดผ้าม่านลงมากระทบหลังมือฉันขณะสับไพ่ทาโรต์ เสียงกระดิ่งจากข้อมือดังกริ่งเบา ๆ ทุกครั้งที่นิ้วลากผ่านไพ่ ราอูลเพิ่งจากไปหลังเอ่ยคำเตือนเพียงประโยคเดียว—ประโยคที่ยังสั่นอยู่ในอกฉันจนถึงตอนนี้“หากเจ้าอยากรู้ว่าความรักครั้งนี้จะสิ้นสุดอย่างไร...จงถามไพ่ของเจ้า”ฉันวางไพ่สามใบเรียงลงบนโต๊ะไม้เก่า ทุกใบเหมือนจะสั่นเล็กน้อย—หรืออาจเป็นฉันเองที่กำลังสั่นอยู่ใบแรก: The Lovers (กลับหัว)ใบที่สอง: Death (ตั้งตรง)ใบที่สาม: The Star (กลับหัว)ฉันรู้ทันที…ว่ามันไม่ใช่คำตอบที่ดีนักรักที่ต้องเลือกระหว่างสองทางการจบสิ้น…และความหวังที่ริบหรี่ หากใจไม่มั่นพอ“จะต้องมีคนหนึ่ง...ที่เสียสละ” ฉันกระซิบออกมา ลูบแผ่นไพ่ด้วยปลายนิ้ว เสียงหัวใจเต้นหนักจนรู้สึกได้ถึงชีพจรที่ข้อมือ รอยสักที่ข้อมือฉันเรืองแสงจาง ๆทันใดนั้นเอง—แสงสีฟ้าม่วง
หลังจากเอลาเรียฟื้นคืนจากห้วงหลับใหล เธอได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดภายในตำหนักส่วนพระองค์แม้หลงอวิ๋นจะไม่อยากห่างจากเธอแม้เพียงหนึ่งลมหายใจ แต่ในฐานะองค์ชายผู้ถือดุลอำนาจแห่งราชวังเทียนหลง เขายังต้องแบกรับภาระ…เพื่อทั้งราชวงศ์ และโลกทั้งใบทุกเช้า เขาจะเป็นผู้ประคองเธอลุกจากเตียงด้วยมือตนเอง ก่อนจะก้มจูบหน้าผากเธอแผ่วเบา แล้วผละจากมาอย่างเงียบ ๆ พร้อมคำมั่นสัญญาซ้ำเดิม“อีกไม่นาน ข้าจะกลับมา...พร้อมข่าวดี”แต่ภายในห้องประชุมของราชสภามังกร ไม่มีสิ่งใดใกล้เคียงคำว่า ‘ข่าวดี’เหล่าองค์ราชาแห่งมังกรทั้งห้าทิศประจำที่อยู่ในที่นั่งสูง แวดล้อมด้วยขุนนางอาวุโส มังกรเวท และบรรดาสายสืบจากแต่ละแคว้น ผู้ทำหน้าที่รายงานการเคลื่อนไหวของเหล่าศัตรูที่ยังหลบซ่อนอยู่ในเงามืด“...มีรายงานจากหุบผาดำ” ไคเซอร์ องค์ชายแห่งมังกรดำ กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“พบร่องรอยเวทที่ใกล้เคียงกับเนรูไซร์ แม้มันจะถูกผนึก แต่แก่นเวท...ยังไม่สลาย”“มันจะตื่นไม่ได้” หลงอวิ๋นกล่าวเสียงเย็นเยียบ&
ณ ห้องบรรทมแห่งวังเทียนหลง — เมื่อม่านจันทราปิดบังสายตาจากท้องฟ้าเบื้องบนเสียงประตูห้องบรรทมปิดลงเบา ๆ ราวกับไม่อยากรบกวนเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นรัวอยู่ในห้วงเดียวกันแสงเทียนนับสิบเล่มล่องลอยกลางห้องอย่างสงบ เปลวไฟสะบัดปลายไหวในจังหวะอ้อยอิ่ง พาแสงส้มอุ่นทอดเงาบนผนังหินแกะลาย เงาสองร่างทาบทับกัน ใกล้...จนแทบกลืนเป็นหนึ่งเดียวหลงอวิ๋นไม่ได้พูดสักคำ...แต่ในดวงตาของเขา มีคำมากมายที่ถูกกักเก็บไว้นานนับคืนความโหยหา ที่กัดกินทุกวินาทีของการรอคอยความรัก ที่ถูกหล่อหลอมด้วยทั้งเวทมนตร์และความเจ็บปวดความต้องการ ที่ไม่เคยลดน้อยลงเลยแม้ในวันที่ฉันไม่อาจรับรู้ถึงมันเขาก้าวเข้ามาใกล้ ช้า...แต่มั่นคงมือของเขาเลื่อนไปประคองแผ่นหลังฉันเบา ๆ อีกมือหนึ่งรั้งใต้เข่าด้วยความระมัดระวัง ก่อนที่ร่างสูงสง่าจะช้อนฉันขึ้นจากพื้น—อ้อมแขนของเขาอุ่นและแน่นหนาราวกับจะไม่ยอมให้ฉันหลุดหายไปอีกแม้เพียงวินาทีเดียวฉันซุกหน้าไว้ที่อกของเขา รับรู้ได้ถึงแรงเต้นของห
โลกทั้งใบ...เริ่มชัดขึ้นอีกครั้งแสงจันทร์ทอดพาดผ่านเปลือกตา กลิ่นชาอ่อน ๆ ลอยแตะจมูก ปลายนิ้วฉันรู้สึกถึงไออุ่นจากมืออีกข้างที่กำมันไว้แน่นหนา ไม่ยอมปล่อยแม้สักวินาทีฉันกะพริบตาช้า ๆ เสียงแรกที่ได้ยิน—“เอลาเรีย…!”เสียงที่ฉันรู้จักดี ไม่ว่าจะอยู่ในฝัน ในความมืด หรือแม้แต่ในความว่างเปล่า...เพราะเขา—คือ บ้าน ของฉันฉันลืมตาขึ้นช้า ๆ แสงจันทร์ที่ส่องผ่านม่านบางทำให้สายตาพร่ามัวเล็กน้อย แต่ภาพตรงหน้ากลับชัดเจนในใจชายผู้มีดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งงดงามราวผลึกเวทมนตร์นั่งอยู่ชิดขอบเตียง เขาจ้องฉัน...นิ่งงัน ไม่แม้แต่กะพริบตา ใบหน้าของเขาซีดเผือด ผมยาวกระเซิงไม่ได้รวบไว้เช่นทุกวันหลงอวิ๋น...เขาอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีดำในแววตานั้น—ฉันเห็นรอยแตกร้าว ...แต่มันเริ่มจางหายไปเมื่อฉันลืมตา“...เอลาเรีย...” เขาเอ่ยชื่อฉันอีกครั้ง เสียงสั่นเครือราวกับยังไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงฉันยิ้มให้เขา ลมหายใจแผ่วเบา ฉันพยายามขยับริมฝีปาก...แต่สิ่งแรกที่หลุดออกมากลับเป็น—น้ำตา
กลิ่นชาหอมอ่อนจากมวลดอกไม้ยามราตรีลอยอบอวลทั่วห้องบรรทม ผ้าม่านโปร่งลายจันทราโบราณปลิวไหวตามลมหิมะที่ลอดผ่านหน้าต่างแสงจันทร์พาดผ่านเนื้อผ้าและไหลแตะลงบนผ้าห่มสีเงินอ่อนที่คลุมร่างของหญิงสาวหนึ่งไว้แนบเนื้อ—อย่างแผ่วเบาเอลาเรียยังคงหลับใหล...นานถึงสิบแปดวันแล้วร่างกายของเธอยังอุ่น เวทจันทรายังเรืองแสงบางใต้ผิวบริเวณหัวใจ แต่เปลือกตาคู่งามของเธอ...ยังคงปิดสนิท ราวกับหลับลึกในห้วงแห่งคำสัญญาที่ไร้เสียงบนเก้าอี้ไม้แกะลายมังกรน้ำแข็งข้างเตียง หลงอวิ๋นนั่งนิ่งไม่ไหวติง มือข้างขวาของเขากุมมือของเธอไว้แน่น...นิ้วโป้งลูบเบา ๆ ที่หลังมือซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ใช่เพื่อปลุกเธอแต่เพื่อบอกกับเธอทุกวินาที...ว่าเขายังอยู่ตรงนี้“ข้าจะรอ…ไม่ว่านานแค่ไหน” เขากระซิบ ดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งยังจ้องใบหน้าอ่อนหวานของเธอ...อย่างไม่ละสายตาเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้น ก่อนบานประตูไม้จะถูกแง้มออกช้า ๆ ด้วยมือเรียวในชุดคลุมผ้าทอมือ“องค์ชายเพคะ…”หลงจื่อ สาวใช้คนสนิทกล่าวเสียงอ่อน เธอถือถาดอาหารไม้แกะลา