เรือนตระกูลกู้ซึ่งใหญ่โตโอ่อ่าสมกับตำแหน่งท่านแม่ทัพฝ่ายหน้า ซึ่งมีผู้คนมากมายทั้งบ่าวไพร่ที่คอยรับใช้และเจ้าของเรือนที่อาศัยอยู่ในเรือนแห่งนี้ พวกเขาเหล่านี้กำลังนั่งคุกเข่าและก้มหน้าจนแทบติดพื้นเพื่อเคารพแด่ขุนนางที่ถือราชโองการพร้อมตราหยก
มู่หยางท่านแม่ทัพฝ่ายหน้าบุรุษร่างกำยำสมชายชาตรี เขาคือบุตรชายเพียงคนเดียวของแม่นางชิงชิงกับท่านขุนนางตงหยาง โดยมีหญิงงามคอยอยู่ข้างหลังอีกสองสามนางซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นภรรยาของท่านแม่ทัพ
พวกเขาเหล่านี้ตั้งใจฟังสิ่งที่ขุนนางผู้นี้พูด
“ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงมีพระราชบัญชาให้ยกบุตรสาวแห่งแคว้นอัน พร้อมผ้าแพร เครื่องสังคโลกและเงินอีกพันเฟื้องเป็นเครื่องบรรณาการชนะศึกในครั้งนี้ ให้แด่ท่านแม่ทัพแห่งตระกูลกู้”
เสียงดังก้องกังวาลของขุนนางฝ่ายขวาพูดขึ้นพร้อมอ่านพระราชโองการให้แม่ทัพผู้ชนะศึกในการสลายแคว้นน้อยใหญ่ให้เป็นบึกแผ่นมาได้ แม่ทัพมู่หยางแห่งตระกูลกู้นั่งคุกเข่าพร้อมรับราชโองการที่ขัดเสียมิได้
“น้อมรับพระบัญชา ขอพระองค์ทรงอายุยืนหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
ครั้นเคารพต่อฮ่องเต้เสร็จสิ้นจึงรับสารแห่งพระราชโองการนี้ พร้อมยืนขึ้นเพื่อก้มโค้งลาท่านขุนนาง คนที่ยืนอยู่ด้านหลังต่างทำตามกัน แล้วแยกย้ายกันไปทำงานของตนเองเหลือเพียงแต่หญิงสูงวัย กับภรรยาทั้งสามของท่านแม่ทัพ
“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้ยกหญิงแห่งแคว้นอันมาให้ลูกอีกแล้วรึ” ดูท่าแม่นางชิงชิงจะไม่พอใจ นางจึงได้หยิบพัดขึ้นมาโบกให้ลมตีบริเวณใบหน้า ที่ตอนนี้บอกบุญไม่รับเอาเสียเลย ทั้งยังส่งสายตาไปยังภรรยารองของบุตรชายอีกสองคนที่ถูกพระราชทานมาด้วยเช่นกัน
ไป๋ลี่ กับ ไป๋ลู่ สองแฝดวัยสาวมองหน้ากันก่อนก้มหน้าลงอย่างเจียมตัว พวกนางไม่กล้าต่อกลอนกับฮูหยินชิงชิงนัก คงมีแต่ต้าเหนิงบุตรสาวของขุนนางห่าวฝางภรรยาที่ตกแต่งตามประเวณีเท่านั้นที่กล้ายืนเคียงข้างสามี และสู้หน้าหญิงสูงวัยผู้นี้
ต้าเหนิงจ้องไปยังสามีด้วยแววตาที่โกรธหลบในดวงตาคู่นั้น เธอไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ในเมื่อเป็นคำสั่งจากองค์เหนือหัว
“ใช่ ท่านแม่ข้าคงต้องไปรับนางมาอยู่ในเรือนนี้เสียวันนี้ หวังว่าท่านแม่จะต้อนรับ” แม่ทัพมู่หยางมีเหตุจำเป็นต้องรีบไป ด้วยความที่งานราชการมีล้นมือและยังต้องออกรบอยู่ไม่ขาด
“แม่ต้องต้อนรับอยู่แล้วสิภรรยารองคนที่สี่ของลูกมิใช่รึ” ฮูหยินชิงชิงพูดอย่างจีบปากจีบคอ ซึ่งในสายตาของมู่หยางไม่ได้รู้สึกอะไรกับท่าทีของมารดาที่แสดงออกมา
“ท่านพี่ ข้าขอติดตามท่านไปด้วยได้รึไม่” ต้าเหนิงมองด้วยแววตาอ้อนวอน
“ไม่ได้ เจ้าอยู่ดูแลท่านแม่ของข้าอยู่ที่เรือนนี้เถอะ อีกไม่มีวันข้าจะกลับมา”
“แต่ว่าท่านพี่ ข้ามีเวลาเห็นหน้าท่านแค่เพียงน้อยนิด ท่านไม่เห็นใจภรรยาอย่างข้าบ้างเลยรึ”
นางพูดอย่างน้อยใจอย่างหามิได้ ต้าเหนิงเป็นสตรีที่งดงามยิ่ง ทั้งยังเพียบพร้อม และฉลาดหักแหลม แต่ก็ยังพ่ายให้กับราชโองการ ทั้งที่นางอยากเป็นภรรยาเดียวของคุณชายตระกูลกู้ดันมาถูกแย่งความรักไปจากนางซะได้
“ข้าเห็นใจเจ้าทุกเมื่อ แต่เจ้าก็รู้ว่าราชโองการมิอาจขัดได้ไม่อย่างนั้นคงได้ถูกประหารเจ็ดชั่งโคตร”
“หวังว่าเจ้าจะเห็นใจข้าด้วยเช่นกัน”
“ต้าเหนิงเจ้าเบาใจเถอะ มู่หยางมิรักหญิงอื่นนอกจากเจ้าหรอก” ฮูหยินชิงชิงช่วยพูดอีกแรง เธอถูกชะตากับสะใภ้คนนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรจึงนึกเอ็นดูและเห็นใจ
“แล้วข้าจะรีบกลับมา”
แม่ทัพมู่หยางจำเป็นต้องกล่าวลา เขาไม่อยากให้ต้าเหนิงต้องอาวอนต่อกันจนกระดิกกายไปไหนไม่ได้ บุรุษตัวสูงจึงขึ้นขี่ม้าคู่ใจควบมันให้วิ่งเร็วเพื่อมุ่งหน้าไปสู่แคว้นอันซึ่งอยู่ไกลจากที่นี่โดยใช้เวลาควบม้าเร็วหนึ่งวันเต็ม
แคว้นอัน
“ฮื้อ ๆ ทำไม ทำไมข้าต้องมีชะตาเช่นนี้” หญิงสาวมีน้ำตาเปียกปอนกำลังนอนร้องไห้อยู่บนตั่งเตียง นางมีนามว่าฟู่ฟู่ บุตรสาวคนเล็กแห่งแคว้นอัน หญิงที่พึ่งผ่านวัยแรกแย้มได้ไม่กี่ฝนก็ต้องตกเป็นเครื่องเชลยให้แก่แม่ทัพบ้าอำนาจ จึงได้นอนร้องไห้น้ำตาตกอยูอย่างนี้
“คุณหนูฟู่ฟู่ ท่านอย่าร้องไปเลย”
เหมยลี่หญิงรับใช้ที่อยู่กับฟู่ฟู่มายังแต่เยาว์วัย นางมีหน้าตาอัปลักษณ์จากแผลที่ถูกไฟครอกเมื่อครั้งเป็นทารกบริเวณใบหน้าข้างขวาจนต้องคลุมผ้าปิดบังใบหน้าอัปลักษณ์นี้ไหว ด้วยกลัวว่าใครจะกลัวและรังเกียจจนต้องปาหินใส่กัน แต่ครั้งเมื่อได้อยู่ในเรือนของคุณหนูฟู่ฟู่ นางก็ถูกปฏิบัติเหมือนคนทั่วไป จนทำให้รู้สึกผูกพนกับคุณหนูฟู่ฟู่เหมือนเป็นน้องสาวคนหนึ่ง
“ข้ารู้สึกเห็นใจท่านนัก” เหมยลี่ร้องไห้สะอื้นตาม นางเห็นใจและสงสารคุณหนูฟู่ฟู่เป็นอย่างมาก ทั้งที่อายุยังน้อยต้องมาเจอเรื่องหนักหนาเช่นนี้
“เจี่ยเจียเหมยลี่ ข้าอยากหนี ข้าไม่อยากไปเป็นหญิงในอาณัติของผู้ใด ท่านช่วยข้าได้ไหม” ฟู่ฟู่ร้องไห้ฟูมฟาย และหอบร่างบอบบางกระโจนเข้ากอดเหมยลี่ไว้แน่น
หญิงรับใช้ครุ่นคิดจนเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปจึงเอ่ยขึ้น “ข้าและพาคุณหนูหนี ขอเพียงท่านบอกว่าจะไปที่ใด”
แววตาแห่งความสะใจฉายให้เห็นในความมืด อู๋ท่งยืนมองอยู่หลังกอไผ่ก่อนเดินย่างกรายออกมาเพื่อชื่นชมคนขับรถม้า“เจ้าทำได้ดีมาก นางตายแล้วรึไม่” อู๋ท่งพูดเสียงเบาราวกระซิบ“ข้ามิแน่ใจ แต่ผาสูงชันเช่นนี้หากมิตายก็คงพิการ แต่ถ้านางรอดกลับมาพวกเราจักไม่เป็นภัยดอกรึ” ชายขี้ขลาดตาขาวพูด เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรมีจิตสำนึกที่ดี“มิเป็นเยี่ยงนั้นดอก ใครจักไปเชื่อคำของหญิงอัปลักษณ์เพียงผู้เดียวกัน เจ้ากับข้ารีบกลับไปยังเรือนตระกูลกู้ก่อนเถิด มิเช่นนั้นจักโดนท่านแม่ทัพสงสัยเอาได้” อู๋ท่งพูดพร้อมเดินกลับไปยังรถม้าอย่างมิคิดกลับหลัง ทำให้ชายผู้เป็นคนลงมือตามคำสั่งต้องเร่งฝีเท้าตามไปหน้าผาชันเป็นเหวลึกแต่ก็ยังมีพื้นที่ให้ร่างของหญิงอัปลักษณ์ตกลงมาบนต้นไม้ใหญ่ก่อนกลิ้งไปตามพื้นแล้วสลบลงไป เหมยลี่เจ็บและจุกกายจนขยับไปไหนมิได้ นางพยายามปรือตามองผ่านความมืดมิดก่อนที่เปลือกตาจะดับสนิทไปในไม่ช้าทางด้านเซียวจ้านที่เร่งควบม้าตามหาหญิงอัปลักษณ์ด้วยความร้อนใจ เขาได้พบกับรถม้าซึ่งมีตราประจำตระกูลกู้ติดอยู่ นั่นทำให้บุรุษบนหลังม้ารีบไปไปดักหน้าขวางทางไว้โดยพลันเสียงม้าร้องลั่นเมื่อถูกเชือกดึงรั้งอย่างกะทันหัน คนขับร
แม่ทัพมู่หยางเดินทางกลับมาด้วยความร้อนใจ ถึงเขาจักยินดีเมื่อได้รู้ข่าวว่าภรรยาเอกได้ตั้งครรภ์แล้วก็ตาม ทว่าอีกใจหนึ่งก็นึกอยากกลับไปถามหญิงคนลวงให้รู้แล้วรู้รอด ว่านางลวงหลอกสมอ้างเป็นบุตรสาวคนเล็กของผู้ครองแคว้นอันรึไม่เมื่อเดินทางมาถึงยังเรือนตระกูลกู้ บุรุษร่างสูงพลันจ้ำเท้าเข้าไปอย่างมิรีรอ เพื่อมุ่งหน้าไปหาหญิงอัปลักษณ์ โดยมิสนใจต้าเหนิงเลยด้วยซ้ำ“ท่านพี่จักไปที่ใดรึเจ้าคะ” ต้าเหนิงเห็นหน้าสามีที่ผ่านเลยไป ราวกับเห็นนางเป็นเพียงอากาศธาตุก็ยิ่งเจ็บแค้นใจอยู่มิน้อย ทั้งที่นางตั้งหน้าตั้งตารอถึงเพียงนี้ และในท้องของนางก็ยังมีบุตรของตระกูลอีกด้วย“ข้า...” มู่หยางมิสามารถพูดออกมาได้“ท่านพี่มิดีใจรึเจ้าคะที่ข้าตั้งท้องบุตรของเรา” ภรรยาเอกเยี่ยงนางถูกลดความสำคัญลงไปอย่างเห็นได้ชัด แล้วเยี่ยงนี้จักให้นางอยู่นิ่งเฉยได้เยี่ยงไร“ข้าดีใจ ดีใจที่สุด” มู่หยางเดินมาหาต้าเหนิง“ถ้าเช่นนั้นท่านพี่ก็จงรีบไปหาท่านแม่ และขุนนางท่านอื่นที่มารอร่วมยินดีกับพวกเราเถอะเจ้าค่ะ” ต้าเหนิงรีบดึงแขนสามีมู่หยางปรายตามองไปยังหลังเรือนอีกหน ก่อนเดินตามภรรยาเอกไป พลางคิดว่าไม่ช้าก็เร็วเขาคงมีเวลาได้คุยกับหญิ
“เจ้าควรพักนะต้าเหนิง” ฮูหยินชิงชิงเดินเข้ามาหา เมื่อเห็นว่าสะใภ้เอกกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมงาน“ท่านแม่ ข้าอยากให้งานในวันนี้ออกมาดีเจ้าค่ะ อีกอย่างวันนี้ท่านพี่ก็ได้กลับมาเสียที” ต้าเหนิงพูดด้วยรอยยิ้ม นางดีใจอย่างหาที่สุดมิได้ เพราะต้องการเห็นสีหน้าของสามีว่าจักดีใจเช่นไรเมื่อรู้ว่านางตั้งครรภ์แล้ว“แต่เจ้ายังท้องอ่อน ๆ อยู่ มิควรขยับตัวมากมายเช่นนี้ ไปพักเสียทางนี้ข้าเป็นคนจัดการเอง”“เจ้าค่ะท่านแม่” ต้าเหนิงจำเป็นต้องเชื่อคำ นางจึงเดินเข้าไปพักในห้องของตัวเองส่วนฮูหยินชิงชิงได้เป็นคนดูแลสถานที่ให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมต้อนรับผู้มาเยือน ก่อนหันไปหานางรับใช้คนสนิทเพื่อวานบางอย่าง“เจ้าอู๋ท่ง”“เจ้าคะ?” อู๋ท่งรีบตอบรับ“หาเรื่องให้หญิงอัปลักษณ์ผู้นั้นออกไปให้พ้นเรือนเสีย ข้ามิอยากให้นางต้องมาขวางหูขวางตาแถวนี้ เดี๋ยวคนอื่นคงได้หวาดกลัวจนสาปแช่งเรือนข้าให้ป่นปี้”“เจ้าค่ะ แต่หากท่านแม่ทัพถามหาล่ะเจ้าคะ”“ก็จงบอกว่านางหนีตามชู้ไปแล้ว เจ้าคงรู้ใช่ไหมว่าต้องพานางไปให้ไกลเพียงใด”“เจ้าค่ะ”อู๋ท่งรับคำอย่างว่าง่าย แล้วรีบเดินไปหาหญิงอัปลักษณ์โดยทันที ส่วนฮูหยินชิงชิงทำพียงมองนางรับใช้แค่ห
สายตาคู่หนึ่งแอบจดจ้องมองสองสามีภรรยาอยู่หลังพุ่มไม้ เมื่อเห็นว่าทั้งสองคุยกันจนเสร็จพลางพากันเข้าไปในบ้าน ปลายเท้าจึงขยับออกแล้วหันหลังกลับ คิ้วหนาขมวดเป็นปมด้วยความสงสัย ดวงตาเหม่อมองไปเบื้องหน้า พลางคิดสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจเมื่อได้ยินชื่อของสตรีผู้น้อยมาจากที่แห่งใดมู่หยางจึงแอบสะกดรอยตามจางเหว่ยมาถึงบ้าน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นนั่นเอง และชื่อของหญิงผู้นี้คุ้นหูซะจนต้องสืบหาความจริงให้กระจ่าง“ข้าว่าข้าต้องรู้จักนาง” มู่หยางพึมพำกับตัวเอง พลางเดินกลับไปยังฐานทัพ เพื่อสืบหาความจริงที่ว่า มิรู้เป็นเพราะเหตุใดกันแน่ถึงอยากเสาะหาความจริงในเรื่องนี้ ทั้งที่มิจำเป็นและมีสิ่งที่สำคัญกว่านั่นคือการปราบกบฏเหมือนอย่างคราวที่ไปสู้รบยังแคว้นอัน จนปราบผู้ครองเมืองได้สำเร็จ“แคว้นอัน!” เมื่อนึกถึงแคว้นอันขึ้นมา มู่หยางก็เริ่มคิดว่ากำลังใกล้ความจริงเข้ามาทุกที เขาจึงเดินไปค้นสมุดบันทึกรายชื่อวงศ์ตระกูลของแคว้นอันมากางดูสายตาคมมองตัวหนังสือที่ถูกเขียนด้วยปลายพู่กัน จนหยุดสายตามาเจอกับชื่อหนึ่งเข้าซึ่งชื่อตรงกับสตรีผู้น้อยคนนั้นมิมีผิด “บุตรสาวคนเล็กเยี่ยงนั้นรึ” ดวงตาของท่านแม่ทัพเบิกกว้างด้วยค
ฟู่ฟู่นิ่งค้างไปชั่วขณะ นางมิคิดเลยว่าท่านแม่ทัพจักลั่นวาจานี้ออกมา หรือว่าเขาจักรู้แล้วว่านางคือคนจากแคว้นอัน ใบหน้านวลมีเหงื่อผุดด้วยความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก นางมิรู้จักแก้ต่างว่าเยี่ยงไรดี แต่คงต้องปฏิเสธออกไปหน้าตาเฉยเพื่อมิให้อีกฝ่ายจับได้“มิใช่ข้าเกิดละโตที่นี่ ท่านอย่ามาตามตื๊อข้าให้เสียเวลาเลย ข้าขอตัว” ฟู่ฟู่รีบเดินหนี ทว่าคนขายาวขยับตัวคล่องแคล่วมายืนขวางทางนาง“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ควรเล่าให้ข้าฟังได้” มู่หยางมองใบหน้าสตรีอ่อนเยาว์อย่างพินิจ ขณะที่ฟู่ฟู่เอาแต่ก้มหน้าหลบสายตาเขาข้าจักทำเช่นไรดีฟู่ฟู่คิดในใจนางกำลังตกที่นั่งลำบากและเหมือนถูกท่านแม่ทัพกำลังต้อนให้ติดกับหากเป็นเช่นนั้นความลับทั้งหมดคงได้แตกแน่ นางมิอยากกลับไปเป็นภรรยารองของผู้ใดในเมื่อมีจางเหว่ยอยู่แล้วทั้งคน“เจ้าคิดจักทำอันใดกับภรรยาข้า!” ในที่สุดก็มีเสียงสวรรค์เปิดทางให้นางจางเหว่ยส่งเสียงเข้มพร้อมเดินมาขวางบุรุษแปลกหน้าซึ่งเขาพินิจดูแล้วว่าเป็นผู้ใด จึงคอยกันให้ฟู่ฟู่หลบไปอยู่ด้านหลังเขา สายตาเอาเรื่องจ้องไปยังท่านแม่ทัพที่ยามนี้แต่งกายเหมือนคนธรรมดา แต่ความมีสง่าราศีปกปิดความสูงศักดิ์ไว้มิมิด“ขออภัยท่า
เช้าวันต่อมาร่างอรชรเปลือยเปล่าอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาถูกวงแขนของชายอันเป็นที่รักสวมกอดไว้อย่างหลวม ๆ เมื่อคืนจางเหว่ยได้พิสูจน์แล้วว่าเขามิได้อ่อนหัดอย่างที่สตรีผู้น้อยดูถูกไว้ เขาทำให้ฟู่ฟู่หมดแรงจนยังมิลืมตา ชายเปลือยเปล่าบนเตียงจึงค่อย ๆ ขยับกาย พลางหอมไหล่มนอย่างแผ่วเบาด้วยความทะนุถนอม ต่อจากนี้จางเหว่ยต้องดูแลฟู่ฟู่ในฐานะภรรยาอันเป็นที่รักสมใจปรารถนา“อื้ม” เสียงครางเบา ๆ เอ่ย เมื่อถูกรบกวน ฟู่ฟู่ค่อย ๆ ลืมตาเพื่อรับแสงเช้าวันใหม่ แต่พอจักขยับกายกลับรู้สึกเจ็บระบมพลันทำหน้าเหยเก“เจ็บมากรึไม่ ข้าควรถนอมเจ้ามากกว่านี้” จางเหว่ยได้พรากพรหมจรรย์ไปจากนาง ร่องรอยบนเตียงยังหลงเหลือไว้ เขามิควรกระทำกับนางรุนแรงเกินไปนัก แต่อารมณ์กำหนัดทำให้บุรุษผู้นี้ขาดความยับยั้งชั่งใจ“มิเป็นอันใดดอก” ฟู่ฟู่เหนียมอายพลันหลบสายตาสามีหมาด ๆ“หญิงอันเป็นที่รักของข้า เจ้าพักผ่อนเถิดข้าจักไปหาข้าวมาให้เจ้ากิน”จางเหว่ยดึงผ้าห่มคลุมกายนางไว้เช่นเคยพลางลูบศีรษะเบา ๆ แล้วลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนเดินออกไปร่างสูงเดินเข้าไปในครัวก็พบกับมารดาซึ่งกำลังทำความสะอาดเหมือนเช่นทุกวัน จางเหว่ยชั่งใจอยู่มิน้อยก