แชร์

บทที่ 13 ลูกชู้

ผู้เขียน: BigM00N
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-22 22:28:02

ยามที่ซ่งเหวินจิ้งไปถึงเรือนของตนเองที่เคยเป็นที่พำนักของโม่ชิงเยว่แล้วก็ได้พบว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในเรือนเลยสักคน ในใจของซ่งเหวินจิ้งพลันร้อนรนขึ้นมาในทันที เขายืนนิ่งอยู่ที่เรือนของตนเองอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้หันไปมององค์ชายรองด้วยสีหน้าอึมครึม

“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าให้ทิ้งคนที่ไว้ใจได้เอาไว้คอยดูแลเรื่องในจวนสักหนึ่งคน อย่างน้อยเอาไว้สอดแนมข่าวคราวก็ยังดีแล้วยามนี้เป็นอย่างไรเล่า” เมื่อองค์ชายรองเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็ส่ายหน้า

“ใช่ว่ากระหม่อมไม่ได้ทำ แต่ข่าวคราวที่เขาส่งไปให้ล้วนไม่ใช่แบบนี้” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้องค์ชายรองก็พยักหน้า

“คนเช่นเจ้าก็มีวันที่เลอะเลือนมองคนไม่ออกอยู่เช่นกัน” คำพูดขององค์ชายรองทำให้ซ่งเหวินจิ้งทอดถอนใจออกมา เขารีบมุ่งตรงไปที่เรือนพักของพ่อบ้านสกุลซ่งเพียงแต่คนที่อยู่ในเรือนกลับไม่ใช่เหล่าหลิวที่เขารู้จักแต่กลับเป็นพ่อบ้านคนใหม่ที่เขารู้สึกไม่คุ้นตาเลยสักนิด ซ่งเหวินจิ้งจึงรีบออกจากเรือนพักของพ่อบ้านในทันทีก่อนที่ผู้อื่นจะพบเห็น เพราะหากผู้อื่นรู้ว่าเขากลับมาแล้วย่อมจะไม่เกิดผลดีต่อภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาของเขา

“แล้วเจ้าจะทำเช่นไร มีผู้ใดที่เจ้าสามารถไว้ใจได้บ้างในเรือนนี้” คำพูดขององค์ชายรองทำให้ซ่งเหวินจิ้งหน้าเสีย เขาพึ่งจะรู้ตัวว่าในเรือนแห่งนี้ไม่มีผู้ใดที่เขากล้าวางใจได้เลยแม้กระทั่งมารดา ความเงียบของเขาทำให้องค์ชายรองทอดถอนใจออกมา ดึงทึ้งเสื้อผ้าให้ดูยับบ่นแล้วเดินเข้าไปในโรงครัวที่ในยามนี้มีแค่เพียงหญิงวัยกลางคนทำหน้าที่เฝ้าโรงครัวอยู่เพียงลำพัง

“พี่สาว! ท่านพอจะมีอะไรให้ข้ากินรองท้องได้บ้างหรือไม่” คำถามของเขาทำให้คนเฝ้าโรงครัวต้องจ้องมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ

“เจ้าเป็นคนงานจากเรือนไหนกันไม่รู้หรือว่าเวลานี้โรงครัวไม่มีของกินให้เจ้าแล้ว” คนเฝ้าโรงครัวเอ่ยถามพลางจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ แม้เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่เป็นผ้าเนื้อหยาบที่คนงานทั่วไปสวมใส่ แต่ใบหน้าของเขากลับขาวผุดผ่องราวกับคนที่ไม่คุ้นเคยกับงานหนัก แต่ท่าทีหิวโซของเขานั้นนางดูแล้วก็เห็นว่าไม่น่าจะเป็นการเสแสร้ง อีกทั้งคนงานที่กล้ามาขอของกินยามดึกเช่นนี้หากไม่หิวมากจริงๆ ก็คงจะไม่กล้าทำ

“ข้ารู้ว่าที่นี่ไม่มีของกินแล้ว เพียงแต่เพราะวันนี้ข้าถูกใช้งานอย่างหนัก เวลากินก็ไม่ได้กิน เวลานอนก็อย่างที่ท่านเห็นหิวจนท้องกิ่วเช่นนี้จะนอนหลับลงได้อย่างไร ข้ารู้ว่าพี่สาวเป็นคนมีเมตตาคงพอจะมีอาหารให้ข้ากินเพื่อประทังความหิวได้บ้างกระมัง” เมื่อเขาพูดเช่นนี้คนเฝ้าโรงครัวจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา นางเข้าไปด้านในครู่หนึ่งแล้วจึงได้หยิบ แผ่นแป้งเนื้อหนาออกมาให้เขาสองแผ่น

“ข้าหาให้เจ้าได้เพียงเท่านี้ ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมาปกครองเรือนอีกครั้งแล้วกฎระเบียบล้วนเคร่งครัดเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะที่โรงครัวแห่งนี้” เมื่อคนเฝ้าโรงครัวเอ่ยเช่นนั้นองค์ชายรองก็พยักหน้า เขาก้มลงกัดแผ่นแป้งด้วยความหิวโหย ปากก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง

“เหตุใดข้าจึงไม่เคยเห็นฮูหยินของท่านโหวเลยเล่า นางไปอยู่เสียที่ไหนแล้ว” คำถามของเขาทำให้คนเฝ้าโรงครัวมีสีหน้าระมัดระวังในทันที

“เจ้าระวังหน่อย ที่จวนแห่งนี้มีคำสั่งห้ามพูดถึงนางเจ้าไม่รู้หรือ” เมื่อถูกถามเช่นนี้เขาก็พยักหน้า

“ก็พอจะได้ยินมาบ้าง แต่ข้าเห็นว่าพี่สาวใจดีก็เลยลองถามดู” เมื่อถูกยกยอเช่นนี้หญิงวัยกลางคนที่เฝ้าอยู่ฝนโรงครัวก็ยิ้มออกมา

“หากข้าเล่าให้ฟังแล้วเจ้าก็อย่าได้เอาไปพูดต่อเล่า ว่ากันว่าฮูหยินลักลอบมีสัมพันธ์กับบุรุษจนตั้งครรภ์ขึ้นมานางเลยถูกฮูหยินผู้เฒ่าขับไล่ให้ไปอยู่ที่เรือนเหมันต์นานแล้ว อีกทั้งยังได้ยินว่านางฝืนคลอดลูกชู้ออกมาด้วย เพียงแต่ไม่มีผู้ใดกล้าไปที่เรือนเหมันต์เลยก็เลยไม่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงไหม” เมื่อคนในโรงครัวเอ่ยเช่นนี้องค์ชายรองก็ทำสีหน้าตกใจ

“เจ้าอย่าได้เอาไปบอกผู้ใดเล่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเสื่อมเสียที่สกุลซ่งต้องการจะปกปิด หากมีคำพูดที่ไม่ดีออกนอกจวนไปเบื้องบนย่อมจะสืบหาต้นตอถึงยามนั้นทั้งข้าและเจ้าคงได้ถูกโบยจนตายแน่” เมื่อคนในโรงครัวเอ่ยเช่นนี้องค์ชายรองก็พยักหน้าแล้วก้มลงกินแผ่นแป้งต่อจนหมด หญิงคนนั้นก็ช่างดียิ่งรินน้ำชาที่ยังอุ่นอยู่ให้เขาอีกหนึ่งถ้วย

“เรามันชนชั้นคนงานเจ้านายสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ เพียงแต่อย่าได้หน้ามืดตามัวทำตามคำสั่งจนอดอยากเช่นนี้สิ เจ้าหน้าตาดีถึงขั้นนี้มิสู้หาทางย้ายมาอยู่ที่โรงครัวแห่งนี้กับพี่สาวดีหรือไม่ แล้วพี่สาวจะดูแลให้เจ้าได้อิ่มท้องเอง” ไม่เพียงแค่พูดแต่มืออันหยาบกร้านของนางยังยื่นมาลูบมือที่กำลังถือถ้วยชาของเขาอีกด้วย องค์ชายรองรีบวางถ้วยชาลงแล้วรีบเอ่ยขอบคุณในทันที

“ขอบคุณสำหรับอาหารและความหวังดี เพียงแต่ท่านยายโปรดระวังความคิดด้วย ข้ายังไม่อยากทำร้ายคนแก่” เมื่อพูดจบก็รีบเผ่นแนบออกจากโรงครัวทิ้งให้หญิงเฝ้าโรงครัวได้แต่มองตามเขาด้วยความเจ็บใจ

“ท่านยายหรือใครคือท่านยายของเจ้ากัน” เสียงตะโกนด่าที่ไม่ได้ดังมากนักแต่ก็เพียงพอจะได้ยินทำให้องค์ชายรองหัวเราะออกมาเบาๆ พลางจ้องมองคนหน้านิ่งที่แอบยืนฟังในเงามืดด้วยสายตาอันแพรวพราว

“เรือนเหมันต์ของเจ้าอยู่ที่ไหน ข้าชักอยากจะไปดูลูกของนางกับชู้เสียแล้ว” คำพูดขององค์ชายรองทำให้ซ่งเหวินจิ้งสาดสายตาอันเย็นเฉียบให้เขาไปหนึ่งสายแล้วก็รีบเดินตรงไปที่เรือนเหมันต์ที่อยู่ท้ายจวนในทันที

ยามที่เข้าใกล้เรือนเหมันต์ต่อให้เป็นคนโง่ก็สามารถเข้าใจได้ เด็กสองคนนั้นที่เขาและซ่งเหวินจิ้งพบน่าจะอยู่ที่เรือนแห่งนี้ ดูจากหน้าตาของเด็กแล้วก็เข้าใจได้ว่าเป็นลูกของซ่งเหวินจิ้งในทันที เดิมทีเขาก็อยากจะติดตามซ่งเหวินจิ้งไปดูเรื่องสนุกแต่เมื่อคิดถึงเรื่องภารกิจที่ได้รับมอบหมายแล้วความสนุกก็พลันจางหายไป เขาจึงได้ยื่นมือไปเหนี่ยวรั้งสหายของตนแล้วเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

“เจ้าจะเข้าไปในตอนนี้ไม่ได้นะ บุตรสาวของแม่ทัพโม่ย่อมจะเชี่ยวชาญเรื่องวรยุทธ์แค่เจ้าเข้าไปใกล้นางจะต้องรู้แน่ว่ามีผู้บุกรุก ยังไม่นับผู้คุ้มกันที่เป็นคนของนางอีกสตรีผู้นั้นข้าเคยได้ยินมาว่านางมีฝีมือสูงส่งเจ้าไม่อาจจะเปิดเผยตัวได้ในช่วงนี้” คำพูดขององค์ชายรองทำให้ซ่งเหวินจิ้งขมวดคิ้วแน่น

“เรือนเหมันต์ เปรียบได้กับตำหนักเย็นของวังหลวง ในอดีตคนรักของท่านพ่อของข้าก็สิ้นใจตายที่เรือนแห่งนี้” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้องค์ชายรองนิ่งงันไป

“นางมีวรยุทธ์ติดกายย่อมจะไม่ได้รับความยากลำบากหรอก” เมื่อเขาพูดเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็ส่ายหน้า

“มีวรยุทธ์แล้วอย่างไร ต้องแบกรับคำครหาแถมยังตั้งครรภ์ที่เป็นครรภ์แฝด องค์ชายพระองค์ก็ทรงทอดพระเนตรเห็นแล้วว่าเด็กสองคนนั้นมีหน้าตาและอายุที่ใกล้เคียงกันจนน่าจะเป็นฝาแฝดกัน หากข้าเดาไม่ผิดท่านแม่ของข้าจะต้องตัดหนทางช่วยเหลือกับโม่ชิงเยว่ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นของกิน ของใช้ ยารักษาโรคและท่านหมอ นางถูกส่งมาอยู่ที่เรือนหลังนี้ย่อมจะไม่มีผู้ใดกล้าสอดมือเข้ามาดูแลนางได้ ข้าทำให้นางได้รับความลำบากแล้ว” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้องค์ชายรองนิ่งงันไป

“แล้วเจ้าเข้าไปพบนางตอนนี้จะแก้ไขสิ่งใดได้ ผ่านมาจะครบสามปีแล้วหากนางทุกข์ยากอย่างที่เจ้ากังวลจริง ยามนี้เมื่อนางเห็นเจ้าก็คงอยากจะฆ่าเจ้าทิ้งเสียมากกว่า” คำพูดขององค์ชายรองทำให้ซ่งเหวินจิ้งทำสีหน้าไม่ถูกในทันที

“เหวินจิ้ง เจ้าอย่าได้ลืมว่าเสด็จพ่อมีรับสั่งให้เจ้าเข้าเมืองหลวงมาเพื่อการใด อย่าได้ทำให้งานที่เสด็จพ่อทรงมอบหมายต้องได้รับผลกระทบเพียงเพราะเรื่องส่วนตัวของเจ้าอย่างเด็ดขาด” ถ้อยคำขององค์ชายรองทำให้ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งงันไป

“หากเป็นข้า ข้าจะถอยออกมาดูสถานการณ์ก่อน เรื่องล่วงเลยมาถึงยามนี้หากเจ้าอยากจะแก้ไขก็คงไม่ทันกาลแล้ว ดูจากเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายของเด็กสองคนนั้นก็รู้แล้วว่าพวกเขามีชีวิตที่ดี บุตรสาวของแม่ทัพโม่ผู้นั้นคงไม่มีทางยอมรับชะตากรรมเฉกเช่นสตรีในเรือนหลังคนอื่นๆ หรอก

“เช่นนั้นขอกระหม่อมดูนางอยู่ไกลๆ ก็พอ องค์ชายเสด็จกลับไปก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้องค์ชายรองก็ทอดถอนใจออกมา

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะกลับไปก่อน เจ้าเองก็ดูแลตนเองดีๆ ด้วย บาดแผลของเจ้ายังไม่หายดีมิใช่หรือ” เมื่อองค์ชายรองทรงตรัสเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า

“องค์ชายรองไม่ต้องทรงเป็นห่วง กระหม่อมเรียนรู้วิธีเอาตัวรอดจากองค์ชายมาแล้ว”

“... ข้าไม่น่าช่วยเจ้าเลย” เมื่อพูดจบองค์ชายรองก็หันหลังกลับทำท่าว่าจะจากไปแล้วก็หันมาจ้องมองเขาด้วยสีพระพักตร์ที่เต็มไปด้วยความบึ้งตึง

“ว่าแต่จวนของเจ้าไม่มีประตูหลังหรือ”

“ไม่มี” คำตอบสั้นๆ ของซ่งเหวินจิ้งทำให้องค์ชายรองแค่นเสียงออกมาอีกครั้งแล้วก็ทรงจากไปยังทิศทางที่ซ่งเหวินจิ้งพาเขาเข้ามา..

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 66 ความเบิกบานของท่านโหว

    ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 65 ปรนนิบัติ

    หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 64 สงบศึก

    ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 63 ความทะเยอทะยานของเหยียนเซียว

    ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 62 ความสุขของท่านโหว

    ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 61 ความเป็นส่วนตัว

    เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status