บรรยากาศยามค่ำคืนของเรือนเหมันต์เต็มไปด้วยความเงียบสงบ มีเพียงเสียงหวีดหวิวของสายลมในฤดูหนาว ชายชุดดำสี่คนปรากฏตัวขึ้นบริเวณลานเรือนอย่างคล่องแคล่ว เพียงแต่พวกเขายังไม่ทันได้ลงมือชุ่ยเหมยก็ปรากฏตัวขึ้น แม้ว่าจะเป็นการต่อสู้แบบสี่รุมหนึ่งแต่ชุ่ยเหมยกลับยังคงมีสีหน้าปกติ ยามที่ชายชุดดำสีคนพุ่งเข้าโจมตีนาง นางก็สาดผงบางอย่างเข้าใส่พวกเขาทำให้พวกเขาต่างก็ต้องรีบกลั้นลมหายใจแล้วรีบลงมือโจมตีนางอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว” เสียงลูกดอกพุ่งเข้าหาร่างของชายชุดดำทั้งสี่ ทำให้พวกเขาพลันค่อยๆ หมดสติแล้วล้มลงไปบนพื้น ทั้งจ้าวหรงและจ้าวรุ่ยที่แอบดูอยู่ถึงกับหันไปจ้องมองกันด้วยความประหลาดใจ เพราะพวกเขามั่นใจว่าภายในเรือนเหมันต์แห่งนี้ไม่ได้มีผู้อื่นย่างกรายเข้าไปได้ ดังนั้นคนที่ซัดลูกดอกออกจากเรือนเหมันต์จะต้องเป็นหนึ่งในสมาชิกของเรือนเป็นแน่
ยามที่โม่ชิงเยว่เดินออกจากเงามืดหน้าประตูเรือน ในมือของนางยังมีลูกดอกอาบยาพิษอยู่ นางใช้เท้าเตะชายชุดดำสีคนนั้นอย่างรุนแรงคนละทีสองทีเพื่อสำรวจว่าพวกเขาหมดสติไปแล้วจริงหรือไม่ ยามที่นางหันหลังไปเพื่อจะพูดคุยกับชุ่ยเหมยก็มีชายชุดดำคนหนึ่งที่ยังไม่ได้สิ้นสติดีลุกขึ้นมาทำท่าว่าจะโจมตีนาง แต่นางก็ดึงกระบี่อ่อนที่พันรอบเอวของนางออกมาแทงเข้าไปที่หน้าอกของเขาอย่างแม่นยำโดยที่ไม่ได้หันไปมองเลยสักนิด
“บ่าวว่าจ้างคนนอกจวนเอาไว้แล้วเจ้าค่ะว่าต้นยามอิ๋นให้พวกเขาไปแจ้งเบาะแสกับกองทหารรักษาเมืองว่ามีชายชุดดำหลายคนลักลอบเข้ามาในจวนโหว ส่วนกองกำลังที่คุ้มครองจวนโหวบ่าวว่าจ้างคนให้ไปสร้างความวุ่นวายที่หน้าจวนแล้ว” เมื่อชุ่ยเหมยเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า
“เช่นนั้นพวกเราช่วยกันกำจัดศพของชายสี่คนนี้ก่อน” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็จัดการใช้กระบี่ในมือของนางแทงลงบนจุดตายของคนทั้งสี่อย่างรวดเร็วและแม่นยำ แล้วจึงได้ลากศพของคนทั้งสี่ไปยังหลุมที่นางขุดรอเอาไว้แล้วตั้งแต่ตอนเย็นโดยมีโม่ชิงเยว่คอยช่วยเหลือ
“เหตุใดพวกเราจึงไม่ใช่วิธีการเดียวกันกับที่ทำกับสุ่ยอี๋เหนียงแล้วหรือเจ้าคะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลามากำจัดศพเช่นนี้” คำถามชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่ยิ้มออกมา
“หากใช้วิธีการเดิม คนก็จะมองออกว่าเป็นพวกเราที่วางแผนให้ร้ายสุ่ยอี้โหรวน่ะสิ” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางปัดมือเมื่อเห็นว่าศพของชายชุดดำทั้งสี่ถูกฝังเรียบร้อยแล้ว
“ต้องให้ข้าไปช่วยเจ้าหรือไม่” คำถามของโม่ชิงเยว่ทำให้ชุ่ยเหมยรีบส่ายหน้าในทันที
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ฮูหยินอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูกับคุณชายเถิด บ่าวจัดการได้รับรองว่าไร้ร่องรอยให้สืบหามาถึงพวกเรา เพียงแต่ทางฝั่งฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องรู้แน่ว่าคราวนี้เป็นฝีมือของพวกเรา”
“รู้แล้วจะอย่างไรเล่า พวกนางคิดลงมือทำร้ายข้าก่อนมิใช่หรือ ข้าสมควรตายเพราะประพฤติตนเสื่อมเสียได้แล้วบุตรสาวของนางจะตายไม่ได้หรืออย่างไร ข้าเองก็อยากจะรู้เช่นเดียวกันหากซ่งเหวินหนิงถูกผู้อื่นจับได้ว่านางประพฤติตนผิดประเพณี คนอย่างฮูหยินผู้เฒ่าจะเลือกรักษาชื่อเสียงของสกุลเอาไว้ด้วยการยินยอมเสียสละบุตรสาวของตนเอง หรือว่าจะยอมกล้ำกลืนความอดสูปล่อยให้ซ่งเหวินหนิงยังมีชีวิตอยู่” โม่ชิงเยว่เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเย็นชาแล้วจึงได้กำชับกับชุ่ยเหมยอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าเองก็จงระมัดระวังตัวให้ดี คุ้มกันของเรือนฝูโซ่วอีกทั้งยังมีผู้คุ้มกันข้างกายของซ่งเหวินหนิงและฮูหยินผู้เฒ่า พวกเขาย่อมจะมีฝีมือที่ไม่อ่อนด้อย” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็พยักหน้า
“ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ บ่าวเคยปะทะฝีมือกับผู้คุ้มกันเหล่านั้นมาแล้วพวกเขาสร้างความลำบากให้บ่าวไม่ได้หรอกเจ้าคะ แล้วอีกอย่างบ่าวยังมีสมุนไพรพวกนี้อยู่ หากบ่าวลงมืออย่างรวดเร็วไม่ให้พวกเขาได้ทันตั้งตัว บ่าวเชื่อว่าน่าจะจัดการพวกเขาได้ง่ายๆ เป็นแน่” เมื่อชุ่ยเหมยเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาอีก ชุ่ยเหมยจึงได้เอ่ยวาจาขอตัวแล้วรีบเร้นกายจากไป เพื่อไปปฏิบัติภารกิจที่นางอยากจะลงมือมาตั้งนานแล้ว
“เหตุใดคนของท่านลุงสกุลกู้จึงไม่กลับมาเสียทีเล่าเจ้าคะ” ซ่งเหวินหนิงเอ่ยถามพลางเดินวนไปเวียนมาจนฮูหยินผู้เฒ่าปวดหัว
“หากเจ้าเบื่อการรอคอยก็ไม่ต้องคอย ข้าเบื่อหน่ายที่จะต้องมองเจ้าเดินไปเดินมาเต็มทีแล้ว” คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้ซ่งเหวินหนิงส่ายหน้า
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าจะรอดูความพินาศของโม่ชิงเยว่ อยากจะรู้นักว่าคราวนี้นางจะมีข้ออ้างอะไรที่จะเอาตัวรอดจากท่านแม่อีก” ซ่งเหวินหนิงเอ่ยพลางหันไปมองบุรุษที่ฮูหยินผู้เฒ่าให้คนพามา ใบหน้าของเขาถูกไฟคลอกจนเสียหายไปเกือบทั้งหน้า ยามนี้เข้าถูกมัดมือมัดเท้าและถูกคนตีจนสลบไป ขาข้างหนึ่งของเขาดูหงิกงอผิดธรรมชาติ รูปร่างที่ดูน่าหวาดหวั่นและน่าสมเพชของคนผู้นี้ทำให้ซ่งเหวินหนิงหัวเราะออกมาเบาๆ
“อย่าพึ่งรีบฆ่านางนะเจ้าคะ แค่ทำเรื่องหย่าขาดนางด้วยสาเหตุที่นางคบชู้สู่ชายก็พอ แล้วหลังจากนั้นจึงค่อยไล่นางให้ไปใช้ชีวิตกับคนผู้นี้ ข้าอยากจะรู้ยิ่งนักว่าคนอย่างโม่ชิงเยว่จะเลือกความตายหรือว่าจะเลือกคู่ชีวิตที่พิการและอัปลักษณ์เช่นนี้” คำพูดของซ่งเหวินหนิงทำให้ชุ่ยเหมยที่แอบฟังอยู่นอกเรือนถึงกับแสยะยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว
“เหตุใดอยู่ๆ ข้าจึงง่วงได้” ซ่งเหวินหนิงเอ่ยออกมาพลางยกมือขึ้นมาขยี้ตาเบาๆ ทุกคนในห้องโถงของเรือนฝูโซ่วก็ต่างมีอาการที่ไม่แตกต่างกันนัก ผู้คุ้มกันที่ยามนี้เริ่มรู้สึกได้ถึงกลิ่นผิดปกติที่ล่องลอยอยู่ในอากาศถึงกับเอ่ยออกมาด้วยความตื่นตระหนก
“ผงมอมเมาวิญญาณ ทุกคนรีบกลั้นหายใจ” เขาชักกระบี่ออกมาแต่ช้าไปเสียแล้วร่างกายของเขาอ่อนแรงและทรุดฮวบลงไปนอนบนพื้นในทันที
“ใครก็ได้ออกไปตามผู้คุ้มกันคนอื่นๆ เข้ามา” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยพลางดึงผ้ามาปิดปากกับจมูกของตนเองแต่กลับช้าไปเสียแล้วพอนางสิ้นสติคนอื่นๆ ภายในเรือนก็ต่างล้มลงไปบนพื้นในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน
“นึกว่าจะยาก” ชุ่ยเหมยเอ่ยพลางเดินเข้าไปดึงร่างของซ่งเหวินหนิงขึ้นมาอย่างไร้ความปรานี นางนำร่างของซ่งเหวินหนิงไปโยนลงบนที่นอนในห้องอุ่นที่อยู่ทางด้านข้างของห้องโถงใหญ่แล้วจึงได้เดินไปลากร่างของชายอัปลักษณ์ที่ถูกมัดมือมัดเท้ามาโยนลงไปบนตัวของซ่งเหวินหนิง ชุ่ยเหมยคลายเชือกของชายหนุ่มผู้นั้นออกนำยาแก้พิษผงมอมเมาวิญญาณให้เขาดมแล้วจึงได้เดินไปจุดกำยานปลุกราคะแล้วนำไปวางไว้ใกล้ๆ เขาแทน
“เสพสุขให้เต็มที่ สตรีผู้นี้ข้ายกให้เจ้า” เมื่อเอ่ยจบชุ่ยเหมยก็เดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่ลืมปิดประตูห้องให้คนทั้งคู่อย่างเรียบร้อย แล้วหลังจากนั้นนางก็เดินออกจากเรือนฝูโซ่วไปสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ อย่างใจเย็น
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ