เสียงเอะอะโวยวายทำให้คนในเรือนฝูโซ่วค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา ฮูหยินผู้เฒ่าคือคนที่ถูกปลุกขึ้นมาทีหลังสุด นางจ้องมองไปรอบๆ ด้วยความสับสน เมื่อเห็นว่ายามนี้องครักษ์หน้ากากเหล็กขององค์ชายรองและผู้บัญชาการกองกำลังรักษาเมืองกำลังยืนจ้องมองนางอยู่ในเรือนพักส่วนตัวของนางทำให้นางอดตื่นตกใจไม่ได้
“พวกท่านมาทำอะไรที่จวนของข้า ที่นี่คือเรือนหลังของนิ่งอันโหว พวกท่านเข้ามาได้อย่างไร” คำถามของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้ผู้บัญชาการเยี่ยเอ่ยถามออกมาด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม
“ข้าได้รับแจ้งว่ามีคนเข้ามาก่อความวุ่นวายในจวนโหวข้าจึงได้นำกองกำลังส่วนหนึ่งมาปิดล้อมจวนโหวเพื่อช่วยรักษาความสงบ ส่วนท่านผู้นี้คือองครักษ์ข้างกายขององค์ชายรอง พอองค์ชายรองได้ยินว่าจวนโหวเกิดเรื่องจึงได้ส่งท่านผู้นี้มาเพื่อช่วยข้าจัดการคนที่มาก่อความวุ่นวายที่จวนโหวแห่งนี้” เมื่อผู้บัญชาการรักษาเมืองเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็นิ่วหน้าแล้วจ้องมองรอบๆ ห้องด้วยสายตาอันขุ่นมัว
“หนิงเอ๋อ หนิงเอ๋อของข้าอยู่ที่ใด” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยยังไม่ทันจบประโยคก็มีเสียงกรีดร้องออกมาจากห้องอุ่นที่อยู่ด้านข้าง
“กรี๊ด ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย” เสียงร้องของซ่งเหวินหนิงทำให้ซ่งเหวินจิ้งที่อยู่ภายใต้ชุดเครื่องแบบองค์รักขององค์ชายรองอีกทั้งยามนี้ยังสวมหน้ากากเหล็กเพื่ออำพรางตัวอยู่รีบวิ่งไปที่ห้องอุ่นเพื่อช่วยน้องสาวของเขาในทันที
“พวกเจ้าห้ามเข้ามา” เมื่อเห็นสภาพของน้องสาวเขารีบหันไปตวาดผู้อื่นไม่ให้เข้าไปในห้องทันที ส่วนคนของเขาที่ติดตามมาก็รีบเฝ้าประตูหน้าห้องเอาไว้ไม่ให้ผู้อื่นเข้าไปได้ แล้วซ่งเหวินจิ้งจึงได้เดินเข้าไปลากร่างที่กำลังคร่อมขี่ร่างของซ่งเหวินหนิงอยู่แล้วโยนลงไปบนพื้นในทันที
“เหวินหนิง” เขาเอ่ยเรียกน้องสาวด้วยความเจ็บปวดใจ แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมร่างของน้องสาวของเขาเอาไว้
“เจ้าคนบัดซบ!” ซ่งเหวินจิ้งตวาดออกมาพลางชักกระบี่ออกจากฟัก เสียงอันแหบพร่าจากน้ำยาทำลายกล่องเสียงชั่วคราวของหมอเทวดาเมิ่งทำให้น้ำเสียงของซ่งเหวินจิ้งฟังแล้วน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น
“ได้โปรดอย่าฆ่าข้า ข้าถูกคนของนางจับมา” ถ้อยคำของชายผู้นั้นทำให้ซ่งเหวินจิ้งขมวดคิ้ว
“นางตั้งใจจะใช้ข้าทำร้ายผู้อื่น แต่แล้วไม่รู้เพราะเหตุใดจึงกลายเป็นนางที่อยู่กับข้า” คำพูดของชายที่นอนกองอยู่กับพื้นทำให้ซ่งเหวินจิ้งหันไปจ้องมองซ่งเหวินหนิงในทันที
“เจ้าคนชั่ว! ทำผิดแล้วยังคิดจะป้ายสีข้าอีกหรือ”
“ข้าไม่ได้ป้ายสี เจ้ากับมารดาของเจ้าจับข้ามาแล้วตั้งใจจะให้ข้าล่วงเกินคนที่อยู่ในเรือนเหมันต์ เจ้ายังพูดว่าหากข้าทำลายสตรีผู้นั้นได้แล้วก็อย่าพึ่งฆ่านาง ให้ขับไล่นางให้ไปใช้ชีวิตอยู่กับข้า เจ้ายังพูดอีกว่าเจ้าอยากจะรู้ว่าโม่ชิงเยว่ผู้นั้นจะเลือกหนทางตายหรือว่าจะทนใช้ชีวิตอยู่กับชายอัปลักษณ์และพิการเช่นข้า” เมื่อชายที่อยู่บนพื้นเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็ลดกระบี่ของตนเองลง
“เจ้าโง่! ยังไม่รีบฆ่ามันอีก มันทำลายความบริสุทธิ์ของข้า เจ้าไม่เห็นหรือ” คำพูดของซ่งเหวินหนิงทำให้ซ่งเหวินจิ้งพลันจ้องมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังและเสียใจ เขาดึงผ้าอีกผืนเพื่อโยนไปให้ชายคนนั้นแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“เช่นนั้นคนโง่เช่นข้าก็จะเก็บเขาเอาไว้ ข้าเองก็อยากจะรู้เช่นเดียวกันว่าเจ้าจะเลือกหนทางใด” เมื่อเอ่ยจบซ่งเหวินจิ้งก็เดินออกจากห้องอุ่นไปโดยไม่สนใจเสียงดุด่าและเสียงกรีดร้องด้วยความแค้นเคืองของซ่งเหวินหนิง
“โม่ชิงเยว่ ครั้งนี้ข้าจะเล่นงานเจ้าให้ถึงตาย” คำพูดของนางทำให้ซ่งเหวินจิ้งชะงักฝีเท้าเพียงเล็กน้อยแล้วจึงได้เดินไปหาผู้บัญชาการ
“พวกนางล้วนโดนผงมอมเมาวิญญาณ ส่วนคนที่อยู่ในห้องถูกรมด้วยกลิ่นธูปหอมราคะ “เมื่อเขาเอ่ยเช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็สบถออกมา
“ไปจับตัวนางมา เรื่องนี้จะต้องเป็นฝีมือของโม่ชิงเยว่แน่ นางแพศยานั่นท้าทายอำนาจของข้ายังไม่พอยามนี้ยังทำลายชีวิตของลูกสาวของข้าด้วย” คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้ซ่งเหวินจิ้งจ้องมองฮูหยินผู้เฒ่าด้วยสายตาเย็นชา
“ท่านประกาศออกมาอย่างชัดเจนเช่นนี้ไม่กลัวว่าจะเป็นการทำลายชีวิตของลูกสาวของท่านหรือ” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าตวาดออกมา
“ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า พวกเจ้าออกจากจวนของข้าได้แล้วเรื่องในวันนี้ข้าจะจัดการเอง”
“ฮูหยินผู้เฒ่าจะจัดการเช่นไรหรือขอรับ ฆ่าชายผู้นั้นเพื่อปิดปากเขาเสียหรือว่าจะฆ่าลูกสะใภ้ของท่าน อ้อ! แล้วยอดฝีมือสี่คนของสกุลกู้เล่าท่านจะจัดการกับพวกเขาเช่นไร” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจ้องมองเขาอย่างเพ่งพินิจ นางจดจำได้แล้วว่าชายที่สวมหน้ากากอยู่คือผู้ใด ต่อให้น้ำเสียงเปลี่ยนไปแต่นางก็สามารถจดจำลูกชายของนางได้
“จิ้งเกอเอ๋อ…” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ท่านโหวผู้เป็นบุตรชายของท่าน ยามนี้กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ชายแดนเขาไม่สามารถกลับมาจัดการเรื่องในจวนได้หากลักลอบกลับมาก็อาจจะได้รับโทษกบฏ ทั้งสกุล” คำพูดของเขาทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเก็บงำคำพูดที่จะเป็นการเปิดเผยฐานะของเขาในทันที ซ่งเหวินจิ้งจึงได้เอ่ยต่อ
“ข้าเชื่อว่าความหวังเดียวของท่านโหวก็คือหวังว่าจวนโหวจะสงบสุขในยามที่ท่านโหวไม่อยู่ มารดามีความเมตตาภรรยามีความกตัญญู แต่หากท่านโหวกลับจวนมาแล้วได้เห็นว่าจวนตกอยู่ในสภาพนี้ต่อให้ดำรงตำแหน่งเป็นถึงนิ่งอันโหวที่สามารถสละได้ทุกอย่างเพื่อบ้านเมืองแต่ก็คงไม่อาจจะเหลือความภาคภูมิใจใดๆ เมื่อได้เห็นว่าจวนนิ่งอันโหวแห่งนี้เน่าเฟะสักเพียงใด” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธเคืองจนตัวสั่น บุตรชายพูดจาเช่นนี้ก็เพื่อจะตำหนินางโดยตรงว่านางไม่มีความเมตตา แต่ครั้นจะดุด่าออกมาตามตรงก็เกรงว่าหากฐานะของบุตรชายเปิดเผยตัวนางเองก็จะพลอยติดร่างแหไปด้วย
“ท่านองครักษ์เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในของจวนนิ่งอันโหว พวกเราไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปก้าวก่าย” ท่านผู้บัญชาการเอ่ยออกมาด้วยความกริ่งเกรง องค์ชายรองทรงให้ความสำคัญต่อองครักษ์ผู้นี้ก็จริง แต่หากนิ่งอันโหวรู้ว่าองครักษ์ผู้หนึ่งกล้าพูดจาล่วงเกินมารดาของเขาคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ถึงอย่างไรยามนี้ตัวเขาก็สนับสนุนองค์ชายรองให้ช่วงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทอย่างออกหน้าออกตา คงไม่เหมาะนักหากองค์ชายรองมีเรื่องขัดแย้งกับนิ่งอันโหวเพียงเพราะองครักษ์ผู้หนึ่ง
“องค์ชายรองทรงประทานอนุญาตให้ข้าจัดการเรื่องในจวนแห่งนี้ได้อย่างเต็มที่ หากเกิดเรื่องใดขึ้นองค์ชายรองก็ทรงยินดีที่จะออกหน้าสะสางปัญหากับนิ่งอันโหวด้วยพระองค์เอง” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าพลันมีสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความขัดเคืองใจ แต่นางยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดออกมาก็มีคนนำร่างของชายชุดดำสี่คนที่เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลนมาโยนลงตรงหน้าของนาง
“นักฆ่าสี่คนนี้เป็นคนที่ท่านจัดหามาใช่หรือไม่ ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ปกครองเรือนหลังของจวนสิ่งที่ท่านทำมันเป็นเรื่องสมควรแล้วหรือ บุตรชายไม่อยู่แทนที่จะดูแลลูกและภรรยาของเขาให้ดีแต่ท่านกลับไม่ทำ แถมยังคิดจะใส่ร้ายป้ายสีท่านที่เป็นเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะปกครองเรือนแล้ว” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่ที่เดินเข้ามาในโถงกลางของเรือนฝูโซ่วอดจ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจไม่ได้
‘เหตุใดคนขององค์ชายรองจึงได้กล้าเข้ามายุ่มย่ามเรื่องในเรือนหลังของจวนโหวแห่งนี้ได้’ โม่ชิงเยว่คิดพลางจ้องคนตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความพินิจ ยิ่งรู้สึกว่าเขาคุ้นตานางก็ยิ่งไม่อาจจะเก็บงำสายตาของตนกลับคืนมาได้
“เป็นนางเรื่องในวันนี้ล้วนเป็นแผนการของนาง” ถ้อยคำของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้โม่ชิงเยว่จ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา
“ปกครองเรือนอย่างไร้ความเมตตา ปองร้ายสะใภ้และหลานของตนเองยังไม่พอ ยามนี้ยังคิดจะป้ายสีมาให้สะใภ้เช่นข้าอีก ท่านแม่การที่ท่านทำเช่นนี้มิใช่การทำผิดกฎของสกุลซ่งหรือ” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารีบหันไปมองซ่งเหวินจิ้งเพื่อขอความช่วยเหลือในทันที
“ข้าเป็นแค่เพียงคนนอกย่อมจะก้าวก่ายเรื่องในจวนของพวกท่านไม่ได้ แต่ในฐานะที่ท่านเป็นผู้อาวุโสควรจะสำนึกถึงความผิดของตนเอง ความผิดฐานจ้างวานฆ่าไม่ใช่แค่เพียงกฎบ้านแต่เป็นการผิดกฎของเมือง หากฮูหยินจะใช้กฎหมายบ้านเมืองลงโทษฮูหยินผู้เฒ่าก็ล้วนเป็นเรื่องของจวนโหวของพวกท่านแล้ว” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าตวาดออกมา
“พวกเจ้ากล้าหรือต่อให้ผิดกฎเรื่องความกตัญญูพวกเจ้าก็ยังจะทำหรือ” คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้โม่ชิงเยว่พลันยิ้มออกมา ในเมื่อมีคนนอกมาช่วยเปิดทางให้เช่นนี้แล้วเหตุใดนางจึงจะไม่รีบคว้าเอาไว้
“ข้าย่อมมีความกตัญญูอยู่แล้ว เพียงแต่ชีวิตของลูกๆ ของข้าก็สำคัญ ดังนั้นท่านแม่อำนาจการดูแลจวนของท่านก็ยกมาให้ข้าเสียเถอะ” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยออกมาในทันที
“ข้าไม่ให้ หากอยากได้อำนาจการปกครองจวนก็ต้องข้ามศพข้าไปก่อน” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็เอ่ยออกมา
“เช่นนั้นข้าคงต้องกลายเป็นลูกสะใภ้อกตัญญูแล้ว” เมื่อนางเอ่ยจบก็หันไปสอบถามซ่งเหวินจิ้งที่ยามนี้ยังคงใช้ฐานะองครักษ์ขององค์ชายรองปิดบังฐานะที่แท้จริงอยู่
“หากข้าไปที่ศาลาว่าการของท่านเจ้าเมืองแล้วแจ้งความว่าแม่สามีของข้า ว่าจ้างคนไปลอบฆ่าข้าคนของท่านจะไปเป็นพยานให้ข้าหรือไม่” โม่ชิงเยว่เอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง นางเคยคิดจะใช้วิธีนี้แต่รู้ดีว่าไม่มีใครไปเป็นพยานให้นางแน่ แต่ชายสองคนที่ไปขุดศพนักฆ่าสี่คนนี้ขึ้นมายินยอมเป็นพยานให้นางได้ นางก็จะสามารถเอาผิดฮูหยินผู้เฒ่าได้แล้ว
“แน่นอนพวกเขาย่อมยินดีเป็นพยานให้” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าสิ้นสติไปอีกครั้งในทันที ด้วยคิดไม่ถึงว่าบุตรชายที่นางเลี้ยงดูมากับมือจะเห็นผู้อื่นดีกว่านางเช่นนี้
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ