แม้ว่าจะรู้สึกเห็นใจมารดาของตนแต่เมื่อคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียงเองก็เป็นมารดาเช่นเดียวกันย่อมจะรักและเป็นห่วงลูกมากเป็นธรรมดา เพียงแต่การแสดงออกอาจจะรุนแรงเกินไปหน่อยทำให้พลาดพลั้งเอ่ยคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจออกมา ส่วนมารดาของนางก็เป็นคนอ่อนแอที่ไม่กล้าทำตามที่ใจของตนคิด สิ่งที่ท้าทายที่สุดในชีวิตก็คือการเลือกแต่งกับคนที่ครอบครัวไม่เห็นด้วย พอถูกมารดาเอ่ยวาจาตัดขาดก็เศร้าเสียใจจนทำสิ่งใดไม่ถูก พอคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว ก่อนที่เจียงหวั่นหว่านผู้เป็นมารดาจะตายความปรารถนาสุดท้ายก็คืออยากจะขอขมาฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียง นางในฐานะบุตรสาวจึงได้ทำตามความปรารถนาสุดท้ายของมารดาด้วยตนเอง
“เดิมทีตอนที่ท่านพ่อได้เป็นแม่ทัพใหญ่แล้ว ท่านแม่ก็เคยคิดว่าจะมาขอขมาท่านยายด้วยตนเอง แต่เพราะเกิดล้มป่วยขึ้นมาเสียก่อนจึงไม่ได้มีโอกาสมาขอขมาท่าน ยามนี้ข้าจึงขอเป็นตัวแทนท่านแม่มาขอขมาท่านยายแทนท่านแม่นะเจ้าคะ” เมื่อเอ่ยจบโม่ชิงเยว่ก็เดินไปคุกเข่าลงตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียงแล้วโขกศีรษะเพื่อขอขมานางอย่างเต็มพิธีการ
“ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้หลานโง่เขลา ไม่รู้จักมาขอขมาตามความตั้งใจของท่านแม่ ทำให้ท่านยายยังคงขุ่นเคืองใจด้วยเรื่องของท่านแม่อยู่ หวังว่าท่านยายจะเห็นแก่ความตั้งใจเดิมของท่านแม่ ได้โปรดให้อภัยนางด้วยเถิดเจ้าคะ” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางโขกศีรษะด้วยความแน่วแน่และเด็ดเดี่ยวทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารีบโบกมือให้ฮูหยินใหญ่สกุลเจียงรีบมาประคองนางให้ลุกขึ้น
“ล้วนเป็นเรื่องเก่าที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าแล้ว ตอนที่ท่านแม่ของเจ้าตายท่านยายของเจ้าก็เสียใจไม่แพ้กัน เดิมทียายของเจ้าคิดจะไปรับเจ้าที่จวนท่านแม่ทัพเสียด้วยซ้ำแต่เพราะกังวลว่าเจ้าจะคิดรังเกียจว่าจวนสกุลเจียงของพวกเราเป็นสกุลพ่อค้าไม่อาจจะเทียบกับบิดาของเจ้าที่เป็นแม่ทัพใหญ่ได้จึงไม่ได้ไปรับเจ้าดั่งที่ตั้งใจเอาไว้ พอสิ้นท่านพ่อของเจ้าตายจากไปท่านยายของเจ้าก็คิดจะส่งคนไปรับเจ้าอีกครั้ง แต่เมื่อได้ยินว่าเจ้าได้รับสมรสพระราชทานกับนิ่งอันโหว ท่านยายของเจ้าจึงได้เปลี่ยนใจ ถึงอย่างไรการเป็นนิ่งอันโหวฮูหยินก็ดีกว่าการเป็นหลานสาวของสกุลเจียง” นายท่านใหญ่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขาหันไปมองซ่งจื่อเหยาและซ่งจื่อเยว่ที่กำลังจ้องมองผู้ใหญ่อย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนักแล้วก็ทอดถอนใจออกมา
“เนื่องจากเกรงว่าจวนนิ่งอันโหวจะรังเกียจเจ้าที่เจ้ามีมารดาที่มาจากสกุลพ่อค้า คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วเจ้าก็จะถูกตั้งแง่รังเกียจอยู่ดี แถมยังโดนรังแกจนต้องหาทางส่งสาวใช้มาขอความช่วยเหลือที่ร้านปักผ้าสกุลเจียง ข้าที่เป็นลุงของเจ้าก็ได้แต่ช่วยเหลือเจ้าได้แค่เงินทองเพียงเท่านั้นยามนั้นร้านผ้าปักกิจการซบเซา อีกทั้งจวนนิ่งอันโหวก็ใหญ่โตถึงเพียงนั้น ข้าจึงช่วยเหลือเจ้าได้แค่เพียงมอบเงินทองให้และรับผ้าปักของเจ้ามาขายเพียงเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นผ้าปักของเจ้าที่มาช่วยพลิกฟื้นกิจการของสกุลเจียงของพวกเราด้วยผ้าปักเหล่านั้น” นายท่านใหญ่เอ่ยออกมาพลางใช้ชายแขนเสื้อซับน้ำตาเมื่อคิดถึงความยากลำบากของน้องสาวของตนที่ถูกสกุลเดิมตัดขาด และความยากลำบากของหลานสาวที่หลังสิ้นบิดาแล้วก็มีแค่เพียงสกุลเจียงให้พึ่งพา ตอนที่สาวใช้ของหลานสาวไปขอความช่วยเหลือที่ร้านปักผ้าเป็นเขาเองที่สั่งให้เถ้าแก่ร้านมอบเงินจำนวนมากให้แก่สาวใช้ผู้นั้น เดิมทีก็แค่เพราะอยากจะช่วยหลานสาวเพียงเท่านั้นคิดไม่ถึงว่างานปักของหลานสาวจะช่วยให้กิจการร้านผ้าของสกุลเจียงกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง
“ท่านลุงใหญ่โปรดวางใจยามนี้ในจวนนิ่งอันโหวไม่มีผู้ใดกล้าดูหมิ่นข้าอีกแล้ว อีกทั้งต่อให้ข้ามีเชื้อสายครึ่งหนึ่งมาจากสกุลพ่อค้าอย่างเช่นสกุลเจียงข้าก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่าอับอายหรือรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อย คนเราไม่อาจจะกินลมห่มฟ้าแล้วจะกินอิ่มนอนอุ่นได้เสียหน่อย หากไม่ค้าขายเพื่อหาเงินแล้วจะเอาข้าวปลาอาหารที่ไหนมาประทังชีวิตกันเล่าเจ้าคะ” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ทั้งนายท่านใหญ่และนายท่านรองต่างก็ยิ้มออกมา ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าที่กำลังเพ่งพิศนางอยู่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ใบหน้าของเจ้าถอดแบบจากมารดาก็จริง แต่ความองอาจกลับไม่ต่างจากโม่เหิงผู้เป็นบิดาของเจ้าเลย” คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้โม่ชิงเยว่ยิ้มออกมา
“เดิมทีข้าก็มีส่วนคล้ายท่านแม่อยู่นะเจ้าคะ แต่ความยากลำบากในจวนนิ่งอันโหวทำให้ข้าวางตัวเป็นคนจิตใจอ่อนโยนและบริสุทธิ์ดุจท่านแม่ไม่ไหว ที่ควรจะสู้ก็ต้องสู้ อะไรที่เป็นของข้า ข้าย่อมต้องแย่งมาอยู่ในมือให้ได้” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียงก็หัวเราะออกมา
“ดูคำพูดเหล่านี้ของเจ้าสิ เมื่อคิดไปแล้วก็ไม่เหมือนแม่ทัพใหญ่โม่แล้ว แต่กลับเหมือนข้าตอนสาวๆ มากกว่า มานี่มาชิงเยว่มาให้ยายดูหน้าเจ้าให้ชัดๆ หน่อย” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็เดินเข้าไปใกล้นางโดยมีซุนต้าเหนียงมาช่วยประคองนางเข้าไป
“ชิงเยว่ ยายไม่ได้โกรธเคืองท่านแม่ของเจ้าแล้ว สิ่งที่ยายรู้สึกต่อนางก็คือความเสียใจเพียงเท่านั้น เสียใจที่ยายไม่รีบละทิ้งความอคติและทิฐิในใจทำให้ผลสุดท้ายยายก็ไม่ได้พบกับหน้าของท่านแม่ของเจ้าไปตลอดกาลเช่นนี้” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยพลางหลั่งน้ำตาออกมา นางยกมืออันสั่นเทาของนางขึ้นมาลูบดวงหน้าที่คล้ายคลึงกับเจียงหวั่นหว่านผู้เป็นบุตรสาวของนางด้วยความคิดถึงและความอาลัย ยามนี้ยังมีความเสียใจและเสียดายปะปนมาด้วยทำให้โม่ชิงเยว่พลอยรู้สึกเศร้าใจไปด้วย
“นั่นลูกๆ ของเจ้าหรือ มาซิเด็กๆ มาให้ยายทวดของพวกเจ้าได้ดูหน้าของพวกเจ้าให้ชัดๆ หน่อย” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียงเอ่ยเช่นนี้ทั้งซ่งจื่อเหยาและซ่งจื่อเยว่ก็ต่างเดินเข้าไปหาฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียงอย่างไม่คิดจะเกรงกลัว
“อืม ใบหน้าเช่นนี้ของพวกเจ้าคงจะเหมือนท่านโหวผู้เป็นบิดาของพวกเจ้าสินะ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียงเอ่ยถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างจืดเจื่อน นางเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเพราะเหตุใดคนที่อุ้มท้องอย่างยากลำบากเช่นนางกลับไม่สามารถถ่ายทอดหน้าตาหรือคุณลักษณะของตนเองให้แก่ลูกๆ ได้เลย ในขณะที่คนที่ลอยตัวอยู่เหนือปัญหาอย่างซ่งเหวินจิ้งลูกๆ กลับถอดแบบใบหน้าของเขาได้อย่างกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน
“ต่อไปก็ขอให้คิดเสียว่าจวนสกุลเจียงแห่งนี้เป็นบ้านของพวกเจ้าอีกแห่งก็แล้วกันนะ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียงเอ่ยออกมาเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พลันยิ้มออกมาด้วยความยินดี
“ขอบคุณท่านยายมาเจ้าค่ะ” โม่ชิงเยว่รีบตอบรับอย่างรวดเร็วคนที่เคยได้ฝันเห็นความเจริญก้มหน้าอย่างถึงขีดสุดของโลกในยุคอนาคตย่อมไม่คิดจะรังเกียจการเป็นญาติเกี่ยวดองกับคนในสกุลพ่อค้า สำหรับนางแล้วขอแค่มีบ้านเดิมให้กลับมีญาติพี่น้องให้ได้พึ่งพา มีงานมีอาชีพที่สามารถเลี้ยงดูตนเองและลูกได้นางย่อมไม่คิดจะรังเกียจที่จะนับญาติกับคนสกุลเจียงอยู่แล้ว
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ