หลังจากทำการคารวะและเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสที่จวนสกุลเจียงเรียบร้อยแล้วโม่ชิงเยว่ก็พาลูกๆ ของนางกลับจวน แม้ว่าเด็กทั้งสองจะรบเร้าขอให้นางพาพวกเขาไปนั่งรถม้าเล่นรอบเมืองแต่เพราะวันนี้นางทิ้งจวนออกมาข้างนอกนานแล้วจึงกังวลว่าภายในจวนจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น จึงได้แต่สัญญากับลูกๆ ว่าวันหน้านางจะหาโอกาสพาพวกเขาออกไปเที่ยวเล่นซึ่งพวกเขาก็ยินยอมรับคำสัญญาด้วยสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
เมื่อกลับไปถึงจวนนิ่งอันโหวแล้วโม่ชิงเยว่ก็สั่งให้ชุ่ยเหมยพาซ่งจื่อเหยาและซ่งจื่อเยว่กลับเรือนพักไปก่อน ส่วนนางก็ไปสะสางบัญชีกับผู้คุมบัญชีที่ห้องหนังสือก่อน หลังจากที่สะสางบัญชีเสร็จเรียบร้อยแล้วนางก็ตั้งใจว่าจะกลับเรือนไปกินอาหารร่วมกับลูกๆ แต่ยังไม่ทันออกจากห้องบัญชีกลับมีสาวใช้ผู้หนึ่งเดินเข้ามารายงานนางด้วยน้ำเสียงระมัดระวังเข้าเสียก่อน
“ฮูหยินเจ้าคะ สุ่ยฮูหยินมาขอเข้าพบฮูหยินเจ้าค่ะ” คำพูดประโยคนี้ของสาวใช้ทำให้โม่ชิงเยว่พลันเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าหมายถึงสุ่ยฮูหยินผู้เป็นภรรยาเอกของท่านเจ้ากรมพิธีการสุ่ยน่ะหรือ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยถามเช่นนี้สาวใช้ผู้นั้นก็พยักหน้า
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ยามนี้สุ่ยฮูหยินกำลังนั่งรอท่านอยู่ที่โถงรับรองเจ้าค่ะ” คำพูดของสาวใช้ทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้าแล้วเดินนำสาวใช้ผู้นั้นไปที่เรือนรับรอง
“ก่อนหน้านี้สุ่ยฮูหยินมาที่นี่บ่อยไหม” โม่ชิงเยว่เอ่ยถามสาวใช้นางนั้นอย่างตรงไปตรงมาด้วยรู้ดีว่าสาวใช้นางนี้มีหน้าที่คอยดูแลความเรียบร้อยของเรือนรับรอง ย่อมจะต้องเป็นคนที่ละเอียดลออ รอบคอบและที่สำคัญที่สุดก็มักจะเป็นคนที่มีไหวพริบมากคนหนึ่งจึงได้รับมอบหมายให้เป็นสาวใช้ที่ดูแลโถงรับรองแขก
“สุ่ยฮูหยินไม่ค่อยจะได้มาเจ้าค่ะ ยิ่งหลังจากที่เกิดเรื่องกับสุ่ยอี๋เหนียงแล้ว สุ่ยฮูหยินก็ไม่เคยมาอีกเลยเจ้าค่ะ” เมื่อสาวใช้เอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พลันรู้สึกประหลาดใจและคิดอยู่ในใจว่า
‘บุตรสาวถูกคนลงมือทำร้ายถึงเพียงนั้นแต่คนเป็นมารดากลับไม่เคยออกหน้ามาช่วยเหลือหรือว่ามาเยี่ยมเยียนเลยสักครั้ง แล้วยามนี้นางจะมาที่จวนโหวด้วยเหตุใด หรือพึ่งจะคิดได้ว่าควรจะออกหน้ามาเยี่ยมเยียนบุตรสาวสักครั้ง’ แต่เมื่อนางเดินไปถึงโถงรับรองสุ่ยฮูหยินกลับทำให้นางรู้สึกประหลาดใจ ด้วยฮูหยินผู้นี้กลับไม่ได้เอ่ยถามถึงบุตรสาวเลยสักประโยค
“ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพราะได้ยินว่านิ่งอันโหวฮูหยินหายป่วยแล้วและยามนี้คือผู้ดูแลจวนแห่งนี้ข้าจึงได้นำของกำนัลมามอบให้และขอแสดงความยินดีที่ท่านหายป่วยได้เสียที” นี่คือคำพูดประโยคแรกของสุ่ยฮูหยินทำให้โม่ชิงเยว่จำต้องรีบเก็บงำสีหน้าของตนเองเอาไว้
“ขอบคุณสุ่ยฮูหยินมากเจ้าค่ะที่ยังนึกถึงข้า” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้สุ่ยฮูหยินก็พยักหน้า
“ข้ารู้ว่าออกจะเป็นการไม่เหมาะสมหากข้าจะส่งเทียบเชิญมาให้ท่านโดยที่ข้าไม่ได้มาด้วยตนเอง อีกสามวันที่จวนสกุลสุ่ยจะจัดงานชิมชาชมบุปผา บุตรสาวคนเล็กของข้าสุ่ยอี้เหรินจะเป็นแม่งานในการจัดงานเลี้ยงเป็นครั้งแรก ในฐานะที่ยามนี้ฮูหยินหายป่วยแล้วอีกทั้งยังต้องแบกรับภาระหนักในการดูแลจวนโหวแห่งนี้เพียงผู้เดียว ข้าในฐานะที่เคยมาเป็นแขกที่จวนแห่งนี้ย่อมจะรู้ดีว่าการดูแลจวนแห่งนี้ต้องใช้แรงกายแรงใจมากเพียงใด จึงอยากจะเชื้อเชิญนิ่งอันโหวฮูหยินให้ไปเป็นแขกในงานเลี้ยงที่จวนของข้าด้วยตนเอง” สุ่ยฮูหยินเอ่ยพลางส่งสัญญาณให้สาวใช้นำเทียบเชิญมามอบให้โม่ชิงเยว่ สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างกายของโม่ชิงเยว่ก็รีบเดินไปรับเทียบเชิญเอาไว้ด้วยท่าทีสุภาพและอ่อนน้อม
“ขอบคุณสุ่ยฮูหยินมากนะเจ้าคะ ที่มาเชื้อเชิญข้า เพียงแต่ยามนี้ท่านแม่สามีของข้าไม่สบายอีกทั้งน้องสามีของข้าก็ได้รับโทษและถูกคุมขังอยู่ที่กรมอาญา ทำให้ข้าไม่ค่อยจะมีกะจิตกะใจที่จะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงสักเท่าไหร่” โม่ชิงเยว่ยังไม่ทันเอ่ยจบประโยคสุ่ยฮูหยินก็รีบเอ่ยคำพูดโต้แย้งออกมา
“อย่าพึ่งรีบปฏิเสธ เรื่องข่าวลือของจวนโหวทำให้บรรดาสตรีในเรือนหลังต่างให้ความสนใจ นิ่งอันโหวฮูหยินคงจะไม่รู้ว่าในยามนี้มีคนกล่าวถึงท่านกันอย่างแพร่หลายและอยากจะรู้ว่าท่านนั้นเป็นสตรีเช่นไร หากข้าเป็นท่านจะต้องหางานเลี้ยงที่ได้รับความนิยมสักงานไปเปิดเผยตัวให้ผู้อื่นได้รู้ว่าแท้จริงแล้วท่านไม่ได้อ่อนด้อย แต่เป็นแม่สามีของท่านต่างหากที่คิดอคติจนเกินไป” สุ่ยฮูหยินเอ่ยพลางทอดถอนใจออกมา
“สตรีเช่นพวกเราก่อนแต่งงานชื่อฟังบิดา หลังแต่งงานก็ต้องเชื่อฟังสามี ไม่มีสิ่งใดที่จะสร้างความบันเทิงให้ได้มากนัก ดังนั้นเรื่องการเอ่ยถึงผู้อื่นก็ถือว่าเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่ง ในฐานะที่เป็นมารดาของบุตรสาวท่านคงจะไม่อยากให้ผู้อื่นเอ่ยถึงบุตรสาวในทางที่ไม่ดีเพียงเพราะชื่อเสียงที่ไม่ค่อยจะดีของท่านกระมัง จริงอยู่ข่าวลือที่ผู้คนภายนอกเอ่ยถึงอยู่นั้นท่านเป็นผู้ถูกกระทำ แต่ก็มีอีกหลายเสียงที่ว่ากันว่าสาเหตุที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบท่านเป็นเพราะท่านไม่มีสิ่งใดคู่ควรที่จะเป็นฮูหยินของนิ่งอันโหว หากข้าเป็นท่านข้าจะไปปรากฏโฉมให้ผู้อื่นได้รับรู้ว่าสิ่งที่ผู้อื่นกำลังพูดกันอยู่นั้นไม่ใช่ความจริง” เมื่อสุ่ยฮูหยินเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา
“ขอบคุณสุ่ยฮูหยินที่คิดแทนข้า เพียงแต่ท่านไม่ได้ยินข่าวลือระหว่างข้ากับจวนสกุลสุ่ยของท่านจริงๆ หรือ หากข้าไปเป็นแขกของท่าน ท่านไม่กลัวว่าผู้อื่นจะเอาไปพูดกันอย่างสนุกปากหรือ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยถามตามตรงเช่นนี้วสุ่ยฮูหยินก็พยักหน้า
“นี่คืออีกสาเหตุที่ข้าต้องมาเชิญท่านด้วยตนเอง บุตรสาวคนเล็กของข้าสุ่ยอี้เหรินได้เวลาที่เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับหมั้นหมายแล้ว ดังนั้นหากท่านไปเป็นแขกของนาง ข่าวคราวความบาดหมางทั้งสองสกุลจะได้ลดลง หากท่านไปเป็นแขกได้เรื่องแต่งงานของบุตรสาวคนเล็กของข้าก็จะได้ตกลงกันได้ง่ายขึ้น” เมื่อสุ่ยฮูหยินเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พลันเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นสุ่ยฮูหยินจะได้อธิบายต่อ
“แน่นอนว่าจะได้เป็นผลดีต่อท่านด้วย ถึงแม้ว่าสามีของข้าจะเป็นแค่เจ้ากรมพิธีการ แต่เขาก็มีฐานะเป็นถึงมาตุลาขององค์ชายรอง หากท่านไปเป็นแขกที่งานเลี้ยงแน่นอนว่าความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยจะดีนักระหว่างจวนสกุลสุ่ยและจวนนิ่งอันโหวย่อมจะต้องกลับมาดีเช่นเดิม” สุ่ยฮูหยินเอ่ยพลางจ้องมองโม่ชิงเยว่ด้วยสายตาของผู้อาวุโสที่ใช้มองเด็กสาวที่ยังมีความคิดไม่แตกฉานผู้หนึ่ง แต่โม่ชิงเยว่กลับมองสุ่ยฮูหยินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาด้วยรู้ดีว่าเจตนาของสุ่ยฮูหยินไม่มีทางอยากเห็นนางได้รับการยอมรับจากผู้อื่นแน่ แต่เมื่อคิดได้ว่านางเองก็อยากจะรู้เช่นเดียวกันว่าสุ่ยฮูหยินผู้นี้คิดจะเล่นงานนางเช่นไร โม่ชิงเยว่จึงได้ตัดสินใจตอบตกลงกับนาง
“ถ้าเช่นนั้นข้าคงไม่กล้าปฏิเสธแล้ว หากข้าไม่ไปร่วมงานก็จะกลายเป็นว่าข้าปฏิเสธความตั้งใจดีที่จะกลับมาสานสัมพันธ์ระหว่างจวนสกุลสุ่ยและจวนนิ่งอันโหว ด้วยชื่อเสียงของข้าในยามนี้คงจะแบกรับคำพูดทำนองนั้นของผู้อื่นไม่ไหวแน่ๆ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้สุ่ยฮูหยินก็จ้องมองนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
“ในเมื่อนิ่งอันโหวฮูหยินไม่ปฏิเสธคำเชิญของข้า ดังนั้นข้าจะกำชับให้บุตรสาวคนเล็กของข้าเตรียมการต้อนรับนิ่งอันโหวฮูหยินให้ดีไม่ให้ท่านคิดตำหนิเด็ดขาดว่าจวนสกุลสุ่ยของพวกข้าต้อนรับท่านได้ไม่ดี” เมื่อสุ่ยฮูหยินเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า
“ท่านจะไปเยี่ยมบุตรสาวอีกคนของท่านหรือไม่ วางใจเถิดข้าให้คนคอยดูแลนางเป็นอย่างดีรับรองได้ว่าเมื่อท่านเห็นนางจะต้องลืมเลือนไปแล้วว่านางทำความผิดอะไรไว้” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้สุ่ยฮูหยินพลันมีสีหน้าซีดเผือด
“นางไม่ใช่บุตรสาวของข้าแล้ว ความผิดที่นางทำลงไปล้วนเป็นการกระทำของนางเองทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับสกุลสุ่ยของข้า” คำพูดของสุ่ยฮูหยินทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้า
“อ่อ ข้าเข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอขอบคุณท่านมากที่มาส่งเทียบเชิญให้ข้าด้วยตนเองเช่นนี้” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้สุ่ยฮูหยินจึงได้เอ่ยอำลาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้นข้าคงจะต้องขอตัวก่อน เอาไว้พบกันในงานเลี้ยงที่จวนสกุลสุ่ยจะจัดขึ้นในอีกสามวัน” เมื่อสุ่ยฮูหยินเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็รีบตอบรับในทันทีแล้วจึงได้ขยับกายลุกขึ้นเพื่อไปส่งแขกที่หน้าประตูของเรือนรับรองแห่งนี้ตามมารยาทที่พึงจะทำ
ยามที่ชุ่ยเหมยได้พบกับหรงมามาเดิมทีนางก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใดด้วยรู้ดีว่าโม่ชิงเยว่ต้องการคนที่สามารถไว้ใจได้มาคอยช่วยดูแลอยู่ข้างกาย แต่เมื่อได้รู้ว่าหรงมามาได้รับการแนะนำมาจากผู้ใดทำให้นางอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้จนต้องสอบถามโม่ชิงเยว่ออกมาตามตรง“ในเมื่อนางเป็นคนที่ท่านโหวพามา แล้วฮูหยินก็ยังยินดีที่จะให้นางมาอยู่ข้างกายอีกหรือเจ้าคะ” คำถามของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้า“เขาจะมาไม้ไหนข้าเองก็อยากจะรู้ อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องไปที่สกุลสุ่ยแล้ว ข้ากำลังขาดคนข้างกายที่จะคอยแนะนำเรื่องการคบค้าสมาคมกับบรรดาสตรีที่อยู่ในเรือนหลังของบรรดาขุนนางชั้นสูงพอดี เจ้าก็รู้ว่าเมื่อก่อนเพราะท่านแม่ชาติกำเนิดไม่สูง อีกทั้งท่านพ่อก็ไม่ได้ถือกำเนิดในแวดวงเดียวกันกับชนชั้นสูงเหล่านั้น ข้าจึงแทบจะไม่ได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงของบรรดาสตรีที่เป็นชนชั้นสูงของแคว้นเหลียนดังเช่นบุตรสาวของแม่ทัพคนอื่นๆ เลย” โม่ชิงเยว่เอ่ยออกมาพลางจ้องมองด้านนอกหน้าต่างด้วยรอยยิ้มแล้วจึงได้เอ่ยต่อ“คนสกุลสุ่ยมีแผนการเช่นไรกับข้า ตัวข้าเองก็อยากจะรู้เช่นกัน คิดจะเหยียบย่ำข้าเพื่อแก้แค้นให้สุ่ยอี้โหรวหรือว่าคิดจะใช้ข้าเป็นข
เมื่อส่งสุ่ยฮูหยินแล้วโม่ชิงเยว่ก็เดินกลับเรือนหลัก แต่เมื่อเห็นเงาของคนผู้หนึ่งอยู่แถวเรือนของนาง นางก็หันไปโบกมือไล่สาวใช้ที่ติดตามนางมาให้จากไปแล้วจึงได้เดินเข้าไปหาเขา“ท่านกลัวว่าผู้อื่นจะไม่รู้ว่าท่านกลับมาแล้วเช่นนั้นหรือ เหตุใดจึงได้มาวนเวียนอยู่ที่นี่ดุจภูตผีที่มาขอส่วนบุญเล่า” คำถามของโม่ชิงเยว่ทำให้คนของซ่งเหวินจิ้งลอบสบตากันแล้วก็พากันล่าถอยออกไป“ข้าก็แค่เป็นห่วงเจ้า กลัวว่าเจ้าจะไม่ทันเล่ห์ของคนสกุลสุ่ย ช่วงนี้สกุลสุ่ยมีความประพฤติที่ไม่ดีเท่าใดนัก คบหากับคนที่ไม่ควรจะคบหาทำให้ฝ่าบาทกำลังจับตามองพวกเขาอยู่ หากเป็นไปได้เจ้าอย่าได้ข้องแวะกับพวกเขา” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่ขมวดคิ้ว“คนไม่ดีที่ท่านเอ่ยถึงใช่ท่านหรือไม่” คำถามของนางทำให้ซ่งเหวินจิ้งจ้องมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอึดอัดนางจึงได้เอ่ยต่อเพื่ออธิบายความข้องใจของตนเอง“องค์ชายรองประสูติจากองค์ฮองเฮาที่มาจากสกุลสุ่ย ท่านเป็นคนขององค์ชายรองมิใช่หรือนั่นไม่เท่ากับว่าท่านก็ข้องเกี่ยวกับคนสกุลสุ่ยมิใช่หรือ ยังไม่นับคนรักของท่านที่ยามนี้ถูกคุมขังอยู่ที่ศาลบรรพชนนั่นอีก” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้
หลังจากทำการคารวะและเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสที่จวนสกุลเจียงเรียบร้อยแล้วโม่ชิงเยว่ก็พาลูกๆ ของนางกลับจวน แม้ว่าเด็กทั้งสองจะรบเร้าขอให้นางพาพวกเขาไปนั่งรถม้าเล่นรอบเมืองแต่เพราะวันนี้นางทิ้งจวนออกมาข้างนอกนานแล้วจึงกังวลว่าภายในจวนจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น จึงได้แต่สัญญากับลูกๆ ว่าวันหน้านางจะหาโอกาสพาพวกเขาออกไปเที่ยวเล่นซึ่งพวกเขาก็ยินยอมรับคำสัญญาด้วยสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังเมื่อกลับไปถึงจวนนิ่งอันโหวแล้วโม่ชิงเยว่ก็สั่งให้ชุ่ยเหมยพาซ่งจื่อเหยาและซ่งจื่อเยว่กลับเรือนพักไปก่อน ส่วนนางก็ไปสะสางบัญชีกับผู้คุมบัญชีที่ห้องหนังสือก่อน หลังจากที่สะสางบัญชีเสร็จเรียบร้อยแล้วนางก็ตั้งใจว่าจะกลับเรือนไปกินอาหารร่วมกับลูกๆ แต่ยังไม่ทันออกจากห้องบัญชีกลับมีสาวใช้ผู้หนึ่งเดินเข้ามารายงานนางด้วยน้ำเสียงระมัดระวังเข้าเสียก่อน“ฮูหยินเจ้าคะ สุ่ยฮูหยินมาขอเข้าพบฮูหยินเจ้าค่ะ” คำพูดประโยคนี้ของสาวใช้ทำให้โม่ชิงเยว่พลันเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ“เจ้าหมายถึงสุ่ยฮูหยินผู้เป็นภรรยาเอกของท่านเจ้ากรมพิธีการสุ่ยน่ะหรือ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยถามเช่นนี้สาวใช้ผู้นั้นก็พยักหน้า“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ยามนี
แม้ว่าจะรู้สึกเห็นใจมารดาของตนแต่เมื่อคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียงเองก็เป็นมารดาเช่นเดียวกันย่อมจะรักและเป็นห่วงลูกมากเป็นธรรมดา เพียงแต่การแสดงออกอาจจะรุนแรงเกินไปหน่อยทำให้พลาดพลั้งเอ่ยคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจออกมา ส่วนมารดาของนางก็เป็นคนอ่อนแอที่ไม่กล้าทำตามที่ใจของตนคิด สิ่งที่ท้าทายที่สุดในชีวิตก็คือการเลือกแต่งกับคนที่ครอบครัวไม่เห็นด้วย พอถูกมารดาเอ่ยวาจาตัดขาดก็เศร้าเสียใจจนทำสิ่งใดไม่ถูก พอคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว ก่อนที่เจียงหวั่นหว่านผู้เป็นมารดาจะตายความปรารถนาสุดท้ายก็คืออยากจะขอขมาฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียง นางในฐานะบุตรสาวจึงได้ทำตามความปรารถนาสุดท้ายของมารดาด้วยตนเอง“เดิมทีตอนที่ท่านพ่อได้เป็นแม่ทัพใหญ่แล้ว ท่านแม่ก็เคยคิดว่าจะมาขอขมาท่านยายด้วยตนเอง แต่เพราะเกิดล้มป่วยขึ้นมาเสียก่อนจึงไม่ได้มีโอกาสมาขอขมาท่าน ยามนี้ข้าจึงขอเป็นตัวแทนท่านแม่มาขอขมาท่านยายแทนท่านแม่นะเจ้าคะ” เมื่อเอ่ยจบโม่ชิงเยว่ก็เดินไปคุกเข่าลงตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียงแล้วโขกศีรษะเพื่อขอขมานางอย่างเต็มพิธีการ“ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้หลานโง่เขลา ไม่รู้จักมาขอขมาตามความตั้งใจของท่านแม่ ทำให้ท่านยายยังคงขุ่นเคือ
เมื่อจวนนิ่งอันโหวอยู่ในความสงบเรียบร้อยดีแล้วโม่ชิงเยว่จึงได้จัดเตรียมของขวัญและของกำนัลหลายคันรถเพื่อนำไปเป็นของกำนัลให้แก่คนสกุลเจียง ในฐานะที่นางเป็นฮูหยินแต่กลับถูกคนในจวนโหวกดขี่มานานถึงสามปีข้าวของเหล่านี้นางจึงถือว่าเป็นของชดเชยที่นางควรจะได้รับ ในเมื่อเป็นของที่นางควรจะได้รับนางก็มีสิทธิ์ที่จะนำไปมอบให้แก่ผู้ใดก็ได้ ดังนั้นวันต่อมานางจึงได้พาลูกทั้งสองไปคารวะเยี่ยมเยียนเหล่าผู้อาวุโสในจวนสกุลเจียงด้วยตนเองพร้อมด้วยของกำนัลอีกหลายคันรถยามที่นางลงจากรถม้าซุนต้าเหนียงผู้เป็นฮูหยินใหญ่ของสกุลเจียงเป็นผู้มารอรับนางด้วยตนเอง แม้ว่าโม่ชิงเยว่จะไม่เคยพบหน้าแต่เมื่อได้เห็นสัญญาณที่ชุ่ยเหมยส่งมาให้นางก็รีบพาลูกๆ ไปคารวะซุนต้าเหนียงในทันที“โม่ชิงเยว่คารวะท่านป้าสะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ” ซุนต้าเหนียงรีบเบี่ยงกายหลบการคารวะของนางแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความยกย่องอย่างเต็มที่“ข้าเป็นแค่เพียงสตรีจากสกุลพ่อค้าจะรับการคารวะจากนิ่งอันโหวฮูหยินได้อย่างไร แค่ท่านยินดีมาเป็นแขกที่จวนสกุลเจียงของข้าก็ถือว่าเป็นการให้เกียรติข้าและสกุลเจียงแล้ว” เมื่อซุนต้าเหนียงเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า“ท่า
หลังออกจากจวนโหวมาแล้วซ่งเหวินจิ้งก็เร่งรุดไปที่บ้านหลังหนึ่ง สถานที่แห่งนั้นแม้ว่าจะตั้งอยู่ในกำแพงของเมืองหลวงแต่กลับเปลี่ยวร้างและห่างไกล บ้านที่เขาเดินเข้าไปสภาพภายนอกบ้านทั้งเก่าและทรุดโทรมแต่เมื่อเดินเข้าไปด้านในกลับแตกต่างจากสภาพด้านนอกเป็นอย่างมาก สภาพเรือนด้านในทั้งสะอาดสะอ้านเครื่องเรือนที่ใช้ประดับตกแต่งล้วนเป็นของใหม่ แม้ว่าจะดูเรียบง่ายและเน้นการใช้งานอย่างแท้จริงแต่เมื่อสังเกตดีๆ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าล้วนเป็นของดีที่หาซื้อได้ยาก“เป็นอย่างไรบ้าง! เจ้าสะสางเรื่องส่วนตัวเรียบร้อยแล้วหรือ” คำถามขององค์ชายรองที่ประทับอยู่ด้านในทำให้ซ่งเหวินจิ้งทอดถอนใจออกมาด้วยความหนักใจ“ยังไม่นับว่าเรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ แค่กระหม่อมยืดเวลาที่จะแตกหักออกไปเพียงเท่านั้น คนเช่นนางถ้าได้ลองตัดสินใจแล้วต่อให้เป็นท่านแม่ทัพโม่ผู้เป็นพ่อตาของกระหม่อมลุกขึ้นมาจากหลุมด้วยตนเองก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนใจของนางได้” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้องค์ชายรองทรงส่ายพระพักตร์“ข้าไม่รู้ว่าสมควรจะเห็นใจเจ้าหรือว่าควรจะสมน้ำหน้าเจ้าดี เอาเป็นว่าข้าพูดได้คำเดียวว่า…ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว” เมื่อองค์ชายรองทรงตรัสเช่นนี้ซ่ง
เรื่องราวความวุ่นวายของเรือนหลังในจวนนิ่งอันโหวถูกเอ่ยถึงอย่างแพร่หลาย โม่ชิงเยว่ไม่คิดจะปกปิดข่าวลือใดๆ แถมยังให้ชุ่ยเหมยนำเงินบางส่วนไปมอบให้แก่ชาวบ้านที่พูดถึงเรื่องนี้อย่างลับๆ และกำชับไปว่าเรื่องที่พวกเขากำลังเอ่ยถึงเหล่านี้ฮูหยินของจวนนิ่งอันโหวเช่นนางล้วนเป็นผู้ถูกกระทำ เรื่องราวที่นางถูกส่งไปอยู่เรือนเหมันต์และถูกรังแกสารพัดถูกเอ่ยถึงอย่างแพร่หลายอีกทั้งยังแพร่กระจายออกไปในหมู่ชาวบ้าน แน่นอนว่าความยากลำบากที่ชาวบ้านเหล่านั้นเอ่ยถึงล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น ซึ่งนางเชื่อว่าข่าวลือเหล่านี้ย่อมจะทำให้คนผู้หนึ่งนั่งไม่ติดแน่และจะต้องมาหานางในเร็ววันนี้เป็นแน่หลังจากที่นางย้ายออกจากเรือนเหมันต์เข้ามาอยู่ในเรือนหลักก็มีเรื่องราวมากมายให้ต้องจัดการ ทั้งการกำจัดข้ารับใช้ที่ไว้ใจไม่ได้ทั้งพยายามรวบรวมอำนาจการดูแลจวนทั้งหมดมาไว้ในมือ แน่นอนว่าเรื่องการดูแลจวนไม่ใช่เรื่องที่นางถนัด ดังนั้นนางจึงต้องส่งชุ่ยเหมยไปขอยืมคนที่สามารถไว้ใจได้มาจากสกุลเจียงให้คอยช่วยเหลือนาง แต่ถึงกระนั้นนางก็พยายามที่จะศึกษาและเรียนรู้พลางคิดถึงความฝันที่ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำทำโม่ชิงเยว่ไม่คิดจะถอดใจ นางเอ
โม่ชิงเยว่จ้องมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยโกรธแค้นและชิงชังบนใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าด้วยความพึงพอใจ ยามนี้สิ่งที่นางต้องการก็คือทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีโทสะมากที่สุดยิ่งมีโทสะมากเท่าไหร่ก็ยิ่งส่งผลดีต่อนางมากเท่านั้น“เหตุใดข้าจึงจะไม่กล้าเล่าเจ้าคะ ข้าทนเสแสร้งมาถึงสามปี ประสบกับความยากลำบากมาตั้งเท่าไหร่ท่านย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ข้าเคยป่วยจนเกือบตายมาแล้วเสียด้วยซ้ำก็เพราะอยากจะเอาชนะใจท่าน แต่ยามนี้ข้ารู้แล้วว่าตัวข้านั้นโง่เขลา หวังใช้ความดีเอาชนะใจสามี ใช้ความกตัญญูขอความเมตตาจากท่าน แต่พอใกล้ตายขึ้นมาข้าจึงพึ่งจะคิดได้ว่าข้าคิดผิด เหตุใดจะต้องเอาชนะใจเขาด้วยเล่าในเมื่อข้าเองก็ไม่ได้มีใจให้เขา เหตุใดจะต้องขอความเมตตาจากท่านในเมื่อต่อให้ข้าตายไปท่านก็ไม่มีวันที่จะมอบความเมตตาให้” โม่ชิงเยว่เอ่ยออกมาตามที่ใจคิดแล้วจึงได้เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน“ยามนี้โอกาสของข้ามาถึงแล้ว ในเมื่อท่านและบุตรสาวของท่านคิดจะเล่นงานข้าให้ถึงตาย ข้าก็ควรจะตอบแทนท่านให้มากสักหน่อย” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็ร้อง เฮอะ! แล้วส่ายหน้า“เจ้าคิดว่าจะทำอะไรข้าได้ จำที่ท่านผู้บัญชาการเยี่ยเอ่ยเตือนเจ้าไม่ได้
ยามที่ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นขึ้นมาแล้วได้ยินว่าซ่งเหวินหนิงถูกจับตัวไปที่กรมอาญาแล้วนางก็เป็นลมหมดสติไปอีกครั้ง พอฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้งนางก็บอกกับเฉินมามาว่านางจะไปตีกลองร้องทุกข์ที่กรมอาญา แล้วประกาศให้ผู้คนภายนอกรู้ว่าบุตรชายและสะใภ้ของนางนั้นเป็นคนอกตัญญู..“หากฮูหยินผู้เฒ่าทำเช่นนั้นไม่ใช่แค่เพียงท่านโหวจะได้รับความยุ่งยาก แม้แต่ตัวท่านเองก็อาจจะถูกผู้คนภายนอกหัวเราะเยาะด้วยนะเจ้าค่ะ ยังไม่นับคนสกุลสุ่ยอีกหากพวกเขารู้ว่าเกิดข้อพิพาทระหว่างฮูหยินและท่านโหว พวกเขาจะต้องหาช่องว่างเพื่อโจมตีท่านกลับแน่เจ้าค่ะ” คำพูดของเฉินมามาทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง“แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรจะทำเช่นไรดี ถ้าโม่ชิงเยว่ยึดอำนาจการปกครองเรือนไปแล้วข้าจะอยู่อย่างไร ยังมีหนิงเอ๋อของข้าอีก ยามนี้ชีวิตของนางป่นปี้แล้วข้าควรจะทำเช่นไรดี” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามด้วยสีหน้าสับสน ดวงตาอันล่องลอยของนางทำให้เฉินมามาได้แต่ทอดถอนใจออกมา นางอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่ามาตั้งแต่สาวจนแก่ชรา นี่นับเป็นครั้งแรกที่ฮูหยินผู้เฒ่ามีท่าทางอับจนหนทางเช่นนี้“เรื่องนี้ข้าเองก็จนปัญญาเจ้าค่ะ” เฉินมามาเอ่ย