เมื่อส่งสุ่ยฮูหยินแล้วโม่ชิงเยว่ก็เดินกลับเรือนหลัก แต่เมื่อเห็นเงาของคนผู้หนึ่งอยู่แถวเรือนของนาง นางก็หันไปโบกมือไล่สาวใช้ที่ติดตามนางมาให้จากไปแล้วจึงได้เดินเข้าไปหาเขา
“ท่านกลัวว่าผู้อื่นจะไม่รู้ว่าท่านกลับมาแล้วเช่นนั้นหรือ เหตุใดจึงได้มาวนเวียนอยู่ที่นี่ดุจภูตผีที่มาขอส่วนบุญเล่า” คำถามของโม่ชิงเยว่ทำให้คนของซ่งเหวินจิ้งลอบสบตากันแล้วก็พากันล่าถอยออกไป
“ข้าก็แค่เป็นห่วงเจ้า กลัวว่าเจ้าจะไม่ทันเล่ห์ของคนสกุลสุ่ย ช่วงนี้สกุลสุ่ยมีความประพฤติที่ไม่ดีเท่าใดนัก คบหากับคนที่ไม่ควรจะคบหาทำให้ฝ่าบาทกำลังจับตามองพวกเขาอยู่ หากเป็นไปได้เจ้าอย่าได้ข้องแวะกับพวกเขา” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่ขมวดคิ้ว
“คนไม่ดีที่ท่านเอ่ยถึงใช่ท่านหรือไม่” คำถามของนางทำให้ซ่งเหวินจิ้งจ้องมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอึดอัดนางจึงได้เอ่ยต่อเพื่ออธิบายความข้องใจของตนเอง
“องค์ชายรองประสูติจากองค์ฮองเฮาที่มาจากสกุลสุ่ย ท่านเป็นคนขององค์ชายรองมิใช่หรือนั่นไม่เท่ากับว่าท่านก็ข้องเกี่ยวกับคนสกุลสุ่ยมิใช่หรือ ยังไม่นับคนรักของท่านที่ยามนี้ถูกคุมขังอยู่ที่ศาลบรรพชนนั่นอีก” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งได้แต่ทอดถอนใจออกมา เขามองคนของเขาแวบหนึ่งเมื่อเห็นว่าล่าถอยไปกันจนหมดแล้ว เขาจึงได้เอ่ยกับนางตามตรง
“อันที่จริงข้าก็อยากจะอธิบายเรื่องของสุ่ยอี้โหรวให้เจ้ารับรู้ แต่เจ้ากลับไม่เคยคิดจะฟังข้าเลย ทีนี้เจ้าจงฟังข้าให้ดี ข้าไม่เคยชอบนาง ที่นางแต่งเข้ามาข้าไม่รู้เรื่องเลยสักนิดทุกอย่างเป็นการจัดการของท่านแม่ของข้า” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ทำสีหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อเขาจึงได้เอ่ยต่อ
“ข้าทำงานรับใช้ฝ่าบาท กลับจวนน้อยมากแล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปทำความรู้จักกับสุ่ยอี้โหรว ตอนเด็กเคยเป็นสหายกันก็จริงแต่นั่นมันก็ตอนที่อายุเพียงแค่เจ็ดแปดขวบ เจ้าคิดว่าข้าจะเป็นเด็กแก่แดดแก่ลมชอบสตรีตั้งแต่ยังไม่แตกเนื้อหนุ่มได้อย่างไร ยังไม่นับที่ตอนนั้นสุ่ยอี้โหรวยังเป็นแค่เด็กผู้หญิงที่ฟันน้ำนมหลุดไปจนเกือบหมดปากแถมฟันแท้ก็ยังขึ้นไม่ครบ เจ้าคิดว่ายามนั้นนางจะมีสิ่งใดมาดึงดูดใจข้าได้กันเล่า” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่จ้องมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม เขาจึงได้เอ่ยต่อ
“ข้าสาบานเลย ข้าไม่เคยได้นอนร่วมห้องกับนางเลยสักครั้ง อย่าว่าแต่นางเลยกับเจ้าข้าก็แทบจะไม่ได้กลับมานอนร่วมห้องกับเจ้า ภารกิจในยามนั้นของข้าอยู่กับคมหอกคมดาบทุกวัน กว่าจะได้อยู่กับเจ้าได้ก็เป็นตอนที่ข้ายินดีที่จะยกทัพไปเข่นฆ่าหม่าป๋อซางให้ฝ่าบาทแล้ว” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่จึงได้พยักหน้า
“อ่อ ถ้ามีเวลาเพียงพอยามนี้ท่านกับนางก็คงจะได้ร่วมหอกันไปนานแล้วสินะ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็ส่ายหน้า
“ไม่ใช่แบบนั้น ที่ข้าอยากจะบอกกับเจ้าก็คือสกุลสุ่ยมียาปลุกกำหนัดที่ไร้รสไร้สีและไร้กลิ่น ขนาดข้าที่ถูกฝึกมาอย่างดีก็ยังเคยพลาดมาแล้ว” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางชี้ไปในเรือนที่ซ่งจื่อเหยาและซ่งจื่อเยว่พำนักแล้วเอ่ยออกมาเสียงเบา
“คืนนั้นที่ลูกของพวกเราถือกำเนิดก็เพราะข้าถูกสุ่ยอี้โหรววางยา ข้าควบคุมตนเองไม่ได้ก็เลยรีบไปหาเจ้า” เขาเอ่ยโดยไม่สบตานาง ใบหูที่แดงก่ำอย่างกะทันหันของเขาทำให้โม่ชิงเยว่ขมวดคิ้ว
“อ่อ ท่านจะบอกว่าหากไม่ใช่เพราะฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดท่านก็จะไม่ร่วมหอกับข้าเช่นกันใช่ไหม” เมื่อโม่ชิงเยว่เอยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็ส่ายหน้า
“ใช่ที่ไหนกันเล่า! ถ้าข้าไม่อยากร่วมหอกับเจ้าข้าจะขอพระราชทานสมรสกับเจ้าทำไม เฮ้อ...อย่ามัวเอ่ยถึงเรื่องนั้นข้าไม่มีเวลามากแล้ว โม่ชิงเยว่! ที่ข้ามาหาเจ้าก็เพื่อจะบอกกับเจ้าว่าให้ระวังสกุลสุ่ย ที่จริงแล้วสกุลสุ่ยไม่น่ากลัวหรอกแต่ที่น่ากลัวก็คือคนที่อยู่เบื้องหลังสกุลสุ่ยต่างหาก ยามนี้ข้ากับองค์ชายรองกำลังสืบหาหลักฐานความเกี่ยวพันของพวกเขาอยู่ ทั้งสกุลสุ่ย ฉินอ๋องและสกุลหม่าของแคว้นต้าเป่ย” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยแล้วก็จ้องมองนางด้วยสีหน้าอึดอัด
“ที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นความลับที่ไม่อาจจะเปิดเผยแต่ข้ามาบอกกับเจ้าก่อนด้วยกังวลถึงความปลอดภัยของเจ้า” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้มาชิงเยว่ก็พึมพำออกมาเพื่อทบทวนความทรงจำของตนเอง
“สกุลหม่าของแคว้นต้าเป่ย ท่านพ่อของข้าเคยเอ่ยถึง” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า
“ข้าลักลอบกลับเมืองหลวงมาเพื่อมาสืบเรื่องนี้ เมื่อได้ยินว่ายามนี้สกุลสุ่ยพุ่งความสนใจมาที่เจ้าข้ากังวลว่าพวกเขาอาจจะมีแผนการกับเจ้า ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องได้รับความเดือดร้อนเพราะข้าอีกแล้ว” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้า
“ข้าเองก็ไม่อยากจะปล่อยให้ตนเองต้องได้รับความเดือดร้อนเพราะท่านเช่นกัน แต่จะว่าไปแล้วสกุลสุ่ยก็มีพิรุธจริงๆ ไม่คิดจะช่วยเหลือบุตรสาวกลับไปอีกทั้งไม่เอ่ยถึงนางเลยด้วยซ้ำ ก่อนหน้านี้ยังส่งคนมาทวงถามถึงนางอยู่บ้างแต่ยามนี้ราวกับว่าตัดขาดนางออกจากสกุลสุ่ยแล้ว” โม่ชิงเยว่เอ่ยพึมพำออกมาแล้วก็จ้องมองซ่งเหวินจิ้ง เขาก็ส่ายหน้า
“ข้าไม่เข้าใจการต่อสู้ของสตรีในเรือนหลังเท่าใดนัก ทำได้แค่เพียงเตือนเจ้าให้ถอยห่างจากคนเหล่านั้นเพียงเท่านั้น ก่อนหน้านี้ข้าปกป้องเจ้าไม่ได้ตอนนี้ก็ยังไม่อาจจะออกหน้าปกป้องเจ้าอย่างเต็มที่ได้ ยามนี้สิ่งที่พอจะทำได้ก็แค่เพียงหาคนที่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้ในเรื่องที่เจ้าไม่ถนัดเพียงเท่านั้น” เข้าเอ่ยพลางหันไปส่งสัญญาณให้คนของเขาพาคนผู้หนึ่งออกมา
“นี่คือหรงมามา นางเคยเป็นอดีตข้าหลวงในวังข้าไปเชิญนางมาเพื่อให้นางคอยติดตามเจ้า ทั้งเรื่องกฎระเบียบของสตรีในเรือนหลัง การวางตัวและการแต่งกาย ที่สำคัญข้าคิดว่านางอาจจะช่วยเหลือเจ้าในเรื่องการรับมือกับบรรดาสตรีในเรือนหลังได้” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่หันไปสำรวจมามาผู้นั้นอย่างละเอียด อายุของหรงมามาไม่ได้น้อยไปกว่าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลซ่งผู้เป็นแม่สามีของนาง แต่สีหน้าและแววตาของหรงมามากลับทำให้รู้สึกว่ามามาผู้นี้ผ่านร้อนผ่านหนาวและผ่านประสบการณ์ในการใช้ชีวิตมาแล้วอย่างโชกโชน และที่สำคัญบุคลิกของมามาผู้นี้ทำให้โม่ชิงเยว่รู้สึกว่าน่าเคารพนบนอบมากกว่าแม่สามีของนางเสียอีก
“ชิงเยว่ เจ้าอาจจะรู้สึกว่าข้าไม่ใช่สามีที่ดี ไม่ใช่คนที่สมควรจะฝากชีวิตแล้ว แต่สิ่งหนึ่งข้าอยากจะให้เจ้ารู้ก็คือข้าหวังดีต่อเจ้าเสมอ เพียงแต่ที่ผ่านมาเป็นเพราะข้าโง่เขลาคิดอ่านไม่รอบคอบ และที่สำคัญคิดไม่ถึงว่าท่านแม่และน้องสาวของข้าจะคิดรังเกียจเจ้าจนถึงขั้นนี้” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่ส่ายหน้า
“นี่ไม่ใช่เวลามาแก้ตัว ที่ข้าอยากรู้ก็คือเหตุใดท่านจึงได้คิดว่าหรงมามาผู้นี้จะสามารถช่วยข้าได้” คำถามของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งตอบออกมาอย่างระมัดระวัง
“เรื่องวรยุทธ์ป้องกันตัวเจ้ายังพอมีติดกายอยู่บ้าง แต่เรื่องการต่อสู้ในเรือนหลังข้าคิดว่าเจ้ายังต้องการความช่วยจากผู้มากประสบการณ์” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พลันส่ายหน้า
“คงไม่ใช่ว่าท่านคิดอยากจะส่งคนมาคอยสอดแนมข้ากระมัง” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งยิ้มออกมา
“ถ้าหากข้าอยากจะส่งคนมาสอดแนมเจ้าคงไม่จำเป็นต้องไปเชื้อเชิญหรงมามาหรอก” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่ร้อง ฮึ! ออกมา ส่วนหรงมามาที่พอจะเข้าใจสถานการณ์ของสองสามีคู่นี้มาแล้วถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่มีรอยยิ้มประดับอยู่
“นิ่งอันโหวฮูหยินโปรดวางใจ บ่าวได้รับมอบหมายให้มาคอยช่วยเหลือท่านเพียงเท่านั้นและที่สำคัญบ่าวรับปากกับนิ่งอันโหวแล้วว่าจะรับคำสั่งของท่านแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นต่อไปหากนิ่งอันโหวออกคำสั่งที่ขัดต่อความเห็นของท่าน บ่าวจะไม่ยินยอมทำตามคำสั่งของนิ่งอันโหวเจ้าค่ะ” คำพูดของหรงมามาทำให้ซ่งเหวินจิ้งชะงักไปแต่เมื่อคิดได้ว่าตอนที่ไปเชิญนางรับปากกับเขาเช่นนี้จริงๆ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจจะโต้แย้งคำพูดของหรงมามาได้
“ถ้าเช่นนั้นต่อไปข้าคงต้องรบกวนมามาแล้ว” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางยิ้มออกมาแล้วจึงได้หันไปมองซ่งเหวินจิ้งด้วยสายตาของผู้ที่อยู่เหนือกว่า
“ถ้าเช่นนั้นต่อไปนี้หรงมามาคือคนของข้า ขอให้ท่านทำความเข้าใจในจุดนี้ด้วย” โม่ชิงเยว่รู้สึกถูกชะตากับมามาผู้นี้ แต่นางไม่อยากจะใช้คนร่วมกับซ่งเหวินจิ้งดังนั้นเรื่องการใช้คนจึงต้องมีการแบ่งแยกกันให้ชัดเจน
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ข้าต้องไปแล้ว” เมื่อเอ่ยจบเขาก็พยักหน้ากับหรงมามาแล้วจึงได้รีบเร้นกายออกจากจวนโดยมีคนของเขาติดตามออกไปด้วย
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ