ยามที่ชุ่ยเหมยได้พบกับหรงมามาเดิมทีนางก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใดด้วยรู้ดีว่าโม่ชิงเยว่ต้องการคนที่สามารถไว้ใจได้มาคอยช่วยดูแลอยู่ข้างกาย แต่เมื่อได้รู้ว่าหรงมามาได้รับการแนะนำมาจากผู้ใดทำให้นางอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้จนต้องสอบถามโม่ชิงเยว่ออกมาตามตรง
“ในเมื่อนางเป็นคนที่ท่านโหวพามา แล้วฮูหยินก็ยังยินดีที่จะให้นางมาอยู่ข้างกายอีกหรือเจ้าคะ” คำถามของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้า
“เขาจะมาไม้ไหนข้าเองก็อยากจะรู้ อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องไปที่สกุลสุ่ยแล้ว ข้ากำลังขาดคนข้างกายที่จะคอยแนะนำเรื่องการคบค้าสมาคมกับบรรดาสตรีที่อยู่ในเรือนหลังของบรรดาขุนนางชั้นสูงพอดี เจ้าก็รู้ว่าเมื่อก่อนเพราะท่านแม่ชาติกำเนิดไม่สูง อีกทั้งท่านพ่อก็ไม่ได้ถือกำเนิดในแวดวงเดียวกันกับชนชั้นสูงเหล่านั้น ข้าจึงแทบจะไม่ได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงของบรรดาสตรีที่เป็นชนชั้นสูงของแคว้นเหลียนดังเช่นบุตรสาวของแม่ทัพคนอื่นๆ เลย” โม่ชิงเยว่เอ่ยออกมาพลางจ้องมองด้านนอกหน้าต่างด้วยรอยยิ้มแล้วจึงได้เอ่ยต่อ
“คนสกุลสุ่ยมีแผนการเช่นไรกับข้า ตัวข้าเองก็อยากจะรู้เช่นกัน คิดจะเหยียบย่ำข้าเพื่อแก้แค้นให้สุ่ยอี้โหรวหรือว่าคิดจะใช้ข้าเป็นข้อต่อรองกับซ่งเหวินจิ้ง ไม่ว่าจะมีแผนการเช่นไรข้าคนนี้จะขอตอบโต้พวกเขาให้ถึงที่สุด โทสะที่ยังไม่ได้รับการระบายของข้ากำลังคุกรุ่นอยู่พอดี ในเมื่อพวกเขาคิดอยากจะเล่นงานข้า ข้าก็จะทำให้พวกเขานึกเสียใจที่คิดจะทำร้ายข้า” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ชุ่ยเหมยพยักหน้า
“นั่นสิเจ้าคะ กับฮูหยินผู้เฒ่าท่านก็แก้แค้นนางได้ไม่สะดวกนักเพราะคำว่ากตัญญู ส่วนคุณหนูซ่งยามนี้นางถูกขังอยู่ที่กรมอาญาท่านจะรังแกนางต่อก็ไม่ได้แล้ว ส่วนสุ่ยอี๋เหนียงสภาพของนางในยามนี้แค่ยามกินไม่ได้กิน ยามนอนไม่ได้นอนก็ถือว่าสาหัสแล้วแต่ทำไมแม้แต่ข้าที่เป็นแค่เพียงสาวใช้กลับยังรู้สึกว่ายังไม่สาสมใจเท่าไหร่เมื่อเทียบกับความยากลำบากที่ฮูหยินเคยได้รับ” คำพูดของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่ส่ายหน้า
“โทสะที่ยังไม่รับการระบายของข้าไม่ใช่โทสะที่มีต่อคนเหล่านั้น แต่ข้าหมายถึงโทสะที่มีต่อตนเองของข้าต่างหาก เป็นเพราะข้าโง่เขลาไม่รู้จักพึ่งพาความสามารถของตนเองคิดแต่จะพึ่งพาผู้อื่น ชีวิตของข้าก็เลยตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น แต่ยามนี้แม้ว่าจะคิดได้แล้วแต่ข้าก็ยังต้องพึ่งพาผู้อื่นอยู่ดี อย่างน้อยในยามนี้ก็ยังต้องอาศัยอยู่ที่จวนโหวแห่งนี้ ยังต้องอาศัยตำแหน่งฮูหยินของนิ่งอันโหวในการหาความมั่งคั่งให้ตนเอง ในใจของข้าจึงได้รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อจวนสกุลสุ่ยคิดอยากจะลองดีกับข้าในตอนนี้ ดังนั้นพวกเขาก็เตรียมตัวรองรับโทสะของข้าได้เลย” โม่ชิงเยว่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ
นางไม่ได้คิดว่าตนเองเก่งกาจอะไร เคยผิดพลาดจนเกือบตายมาแล้วเสียด้วยซ้ำ แต่ยามนี้นางได้รับบทเรียนแล้วว่าอย่าได้เป็นคนดีจนเกินไป อีกทั้งสกุลสุ่ยกับนางไม่มีทางจะญาติดีกันได้ ต่อให้พวกเขาไม่ได้ทวงถามเรื่องสุ่ยอี้โหรวแต่ในใจของพวกเขาย่อมจะต้องจดจำได้ว่าสุ่ยอี้โหรวอยู่ในการดูแลของนาง โม่ชิงเยว่ไม่มีทางคิดจะเอาอกเอาใจสกุลสุ่ยด้วยการทำดีต่อสุ่ยอี้โหรวแน่ สุ่ยอี้โหรวเคยปฏิบัติต่อนางเช่นไรนางย่อมจะต้องทำเช่นนั้นไม่มีคำว่าผ่อนปรนอย่างเด็ดขาด
ผ่านไปสามวันโม่ชิงเยว่ก็พร้อมที่จะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงที่สกุลสุ่ยจัดขึ้นแล้ว หรงมามาไม่เพียงเข้ามาช่วยเหลือและคอยแนะนำโม่ชิงเยว่เรื่องการวางตัวและการแต่งกาย นางยังช่วยโม่ชิงเยว่ดูแลและควบคุมคนในภายในจวนด้วย นางมาแค่เพียงสามวันแต่ก็สามารถช่วยเหลือโม่ชิงเยว่และชุ่ยเหมยได้หลายอย่าง วันที่โม่ชิงเยว่จะไปที่จวนสกุลสุ่ยนางยังมาช่วยโม่ชิงเยว่แต่งตัวอีกทั้งยังคอยกำชับชุ่ยเหมยและสาวใช้ที่จะติดตามไปอีกสามคนอย่างละเอียดลออ
“หากท่านกังวลว่าพวกข้าจะวางตัวไม่เหมาะสมเหตุใดท่านจึงไม่ติดตามฮูหยินไปด้วยตนเองเลยเล่า” เสียงชุ่ยเหมยที่ตั้งคำถามกับหรงมามาทำให้โม่ชิงเยว่อดยิ้มออกมาไม่ได้
“หากข้าสามารถติดตามไปได้ข้าคงไปกับเจ้าแล้ว แต่อย่างที่ข้าเคยบอกกับเจ้าไปสาวใช้ที่ติดตามฮูหยินไม่เพียงกิริยามารยาทงดงามหน้าตาต้องงดงามดึงดูดผู้คนด้วยจึงจะช่วยส่งเสริมบารมีของฮูหยินได้ คนแก่เช่นข้าหากติดตามไปจะทำให้ข้างกายของฮูหยินพลอยหม่นหมองไปด้วยเปล่าๆ” คำพูดของหรงมามาทำให้ชุ่ยเหมยส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยแต่หรงมามากลับเดินหนีไปสำรวจความเรียบร้อยของโม่ชิงเยว่แล้ว
“โชคดีที่ฮูหยินมีความงดงามเป็นทุนเดิม ไม่เช่นนั้นคงจะเลือกสาวใช้ผู้ติดตามได้ลำบาก” หรงมามาเอ่ยพึมพำออกมาด้วยความพึงพอใจ แน่นอนว่าสาวใช้ที่เลือกมาแต่ละคนจะต้องงดงามแต่จะต้องห้ามงดงามกว่าผู้เป็นนาย แต่โม่ชิงเยว่เดิมทีก็มีความงดงามเป็นทุนเดิมพอแต่กายด้วยเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับที่สุดแสนจะประณีตความงามของนางก็ยิ่งโดดเด่น
"เครื่องประทินโฉมเหล่านี้ฮูหยินสั่งทำด้วยตนเองหรือเจ้าคะ เหตุใดบ่าวจึงไม่เคยเห็น" หรงมามาเอ่ยถามพลางหยิบตลับแป้งที่โม่ชิงเยว่ออกคำสั่งให้ช่างฝีมือในจวนลองทำออกมาส่วนแป้งผัดหน้าที่อยู่ด้านในก็มีผงแป้งที่ละเอียดและหอมกรุ่นดึงดูดใจคนที่ชอบประทินโฉมอย่างหรงมามายิ่งนัก
“ข้าเคยเห็นในความฝัน จึงได้พยายามสั่งให้ช่างทำตลับใส่แป้งให้ข้า ส่วนผงแป้งด้านในข้าทดลองผสมดูจากส่วนผสมที่คิดว่าเหมาะกับใบหน้า ช่วงนี้ข้าทดลองใช้แล้วคิดว่าดีมากอีกไม่นานคงจะสามารถทำออกมาขายได้” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้หรงมามาเอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ขายหรือเจ้าคะ ฮูหยินต้องการจะเปิดร้านขายเครื่องประทินโฉมหรือเจ้าคะ” คำถามของหรงมามาทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้า
“เป็นแค่แผนการเพียงเท่านั้น ข้ามีความรู้เรื่องส่วนผสมของเครื่องหอมและสมุนไพรก็เลยคิดว่าจะลองใช้ความรู้ที่มีมาหาเงินเข้ากระเป๋าดู” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ชุ่ยเหมยที่รู้ดีว่าแท้จริงแล้วโม่ชิงเยว่มีความรู้เรื่องการผสมสมุนไพรพิษเสียมากกว่ารีบสาบานกับตนเองในใจว่านางจะไม่เสี่ยงใช้เครื่องหอมของเจ้านายของตนแน่
“บ่าวได้ยินว่าฮูหยินมีความสามารถทางด้านการปักผ้าด้วย” เมื่อหรงมามาเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ก้มลองจ้องมองชุดที่นางสวมใส่ในวันนี้ เป็นชุดผ้าปักที่ทางสกุลเจียงส่งมาให้ผ้าที่ใช้ตัดเย็บล้วนมีลายปักโดยฝีมือการออกแบบลวดลายและฝีมือการปักของนางทั้งสิ้น
“ข้าปักผ้าได้ก็จริง แต่ไม่ใช่สิ่งที่ชื่นชอบ อันที่จริงสิ่งที่ข้าชื่นชอบข้าเองก็ยังไม่รู้ รู้เพียงแค่ว่ายามที่ได้วุ่นวายกับส่วนผสมของสมุนไพรข้าจะรู้สึกว่ามีความสุขมากกว่า” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้หรงมามายิ้มออกมา
“ท่านไม่กังวลว่าหากผู้อื่นรู้ว่าท่านทำการค้าแล้วจะคิดรังเกียจท่านหรือเจ้าคะ” เมื่อหรงมามาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า
“เดิมทีผู้อื่นก็คิดดูถูกข้าที่มีมารดามาจากสกุลพ่อค้าอยู่แล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่ได้กังวลว่าจะถูกดูหมิ่นดูแคลนด้วยเรื่องเหล่านี้อีก ในทางกลับกันข้ามีความตั้งใจที่จะทำให้ผู้อื่นได้รู้สึกว่าคนทำการค้าไม่ใช่คนที่ควรดูถูกดูแคลน แต่คนที่ควรดูถูกก็คือคนที่เฝ้ารอแต่ความเมตตาจากผู้อื่นต่างหาก เมื่อก่อนข้าเองก็เคยเป็นเช่นนั้นแต่ยามนี้ไม่ใช่แล้วข้าไม่คิดจะปล่อยให้ตนเองกลายเป็นคนที่ถูกผู้อื่นดูถูกดูแคลนได้อีกแล้ว” โม่ชิงเยว่เอยพลางขยับตัวลุกขึ้นนางก้มลงดูการแต่งกายของตนเองแล้วก็ยิ้มออกมา สกุลสุ่ยตั้งใจจะเชิญนางไปด้วยแผนการใดนางเองก็สุดรู้ แต่ยามนี้นางเองก็ตั้งใจจะใช้สกุลสุ่ยเป็นสะพานให้นางได้ทำความรู้จักกับสตรีชั้นสูงเหล่านั้น ต่อให้วันนี้จะถูกพวกนางดูแคลนก็ไม่เป็นไรเพราะโม่ชิงเยว่ตั้งใจแล้วว่าอีกไม่นานนางจะต้องทำให้บรรดาสตรีเหล่านั้นยินดีจ่ายเงินเพื่อที่จะซื้อสินค้าของนางให้ได้
ยามที่ชุ่ยเหมยได้พบกับหรงมามาเดิมทีนางก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใดด้วยรู้ดีว่าโม่ชิงเยว่ต้องการคนที่สามารถไว้ใจได้มาคอยช่วยดูแลอยู่ข้างกาย แต่เมื่อได้รู้ว่าหรงมามาได้รับการแนะนำมาจากผู้ใดทำให้นางอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้จนต้องสอบถามโม่ชิงเยว่ออกมาตามตรง“ในเมื่อนางเป็นคนที่ท่านโหวพามา แล้วฮูหยินก็ยังยินดีที่จะให้นางมาอยู่ข้างกายอีกหรือเจ้าคะ” คำถามของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้า“เขาจะมาไม้ไหนข้าเองก็อยากจะรู้ อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องไปที่สกุลสุ่ยแล้ว ข้ากำลังขาดคนข้างกายที่จะคอยแนะนำเรื่องการคบค้าสมาคมกับบรรดาสตรีที่อยู่ในเรือนหลังของบรรดาขุนนางชั้นสูงพอดี เจ้าก็รู้ว่าเมื่อก่อนเพราะท่านแม่ชาติกำเนิดไม่สูง อีกทั้งท่านพ่อก็ไม่ได้ถือกำเนิดในแวดวงเดียวกันกับชนชั้นสูงเหล่านั้น ข้าจึงแทบจะไม่ได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงของบรรดาสตรีที่เป็นชนชั้นสูงของแคว้นเหลียนดังเช่นบุตรสาวของแม่ทัพคนอื่นๆ เลย” โม่ชิงเยว่เอ่ยออกมาพลางจ้องมองด้านนอกหน้าต่างด้วยรอยยิ้มแล้วจึงได้เอ่ยต่อ“คนสกุลสุ่ยมีแผนการเช่นไรกับข้า ตัวข้าเองก็อยากจะรู้เช่นกัน คิดจะเหยียบย่ำข้าเพื่อแก้แค้นให้สุ่ยอี้โหรวหรือว่าคิดจะใช้ข้าเป็นข
เมื่อส่งสุ่ยฮูหยินแล้วโม่ชิงเยว่ก็เดินกลับเรือนหลัก แต่เมื่อเห็นเงาของคนผู้หนึ่งอยู่แถวเรือนของนาง นางก็หันไปโบกมือไล่สาวใช้ที่ติดตามนางมาให้จากไปแล้วจึงได้เดินเข้าไปหาเขา“ท่านกลัวว่าผู้อื่นจะไม่รู้ว่าท่านกลับมาแล้วเช่นนั้นหรือ เหตุใดจึงได้มาวนเวียนอยู่ที่นี่ดุจภูตผีที่มาขอส่วนบุญเล่า” คำถามของโม่ชิงเยว่ทำให้คนของซ่งเหวินจิ้งลอบสบตากันแล้วก็พากันล่าถอยออกไป“ข้าก็แค่เป็นห่วงเจ้า กลัวว่าเจ้าจะไม่ทันเล่ห์ของคนสกุลสุ่ย ช่วงนี้สกุลสุ่ยมีความประพฤติที่ไม่ดีเท่าใดนัก คบหากับคนที่ไม่ควรจะคบหาทำให้ฝ่าบาทกำลังจับตามองพวกเขาอยู่ หากเป็นไปได้เจ้าอย่าได้ข้องแวะกับพวกเขา” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่ขมวดคิ้ว“คนไม่ดีที่ท่านเอ่ยถึงใช่ท่านหรือไม่” คำถามของนางทำให้ซ่งเหวินจิ้งจ้องมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอึดอัดนางจึงได้เอ่ยต่อเพื่ออธิบายความข้องใจของตนเอง“องค์ชายรองประสูติจากองค์ฮองเฮาที่มาจากสกุลสุ่ย ท่านเป็นคนขององค์ชายรองมิใช่หรือนั่นไม่เท่ากับว่าท่านก็ข้องเกี่ยวกับคนสกุลสุ่ยมิใช่หรือ ยังไม่นับคนรักของท่านที่ยามนี้ถูกคุมขังอยู่ที่ศาลบรรพชนนั่นอีก” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้
หลังจากทำการคารวะและเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสที่จวนสกุลเจียงเรียบร้อยแล้วโม่ชิงเยว่ก็พาลูกๆ ของนางกลับจวน แม้ว่าเด็กทั้งสองจะรบเร้าขอให้นางพาพวกเขาไปนั่งรถม้าเล่นรอบเมืองแต่เพราะวันนี้นางทิ้งจวนออกมาข้างนอกนานแล้วจึงกังวลว่าภายในจวนจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น จึงได้แต่สัญญากับลูกๆ ว่าวันหน้านางจะหาโอกาสพาพวกเขาออกไปเที่ยวเล่นซึ่งพวกเขาก็ยินยอมรับคำสัญญาด้วยสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังเมื่อกลับไปถึงจวนนิ่งอันโหวแล้วโม่ชิงเยว่ก็สั่งให้ชุ่ยเหมยพาซ่งจื่อเหยาและซ่งจื่อเยว่กลับเรือนพักไปก่อน ส่วนนางก็ไปสะสางบัญชีกับผู้คุมบัญชีที่ห้องหนังสือก่อน หลังจากที่สะสางบัญชีเสร็จเรียบร้อยแล้วนางก็ตั้งใจว่าจะกลับเรือนไปกินอาหารร่วมกับลูกๆ แต่ยังไม่ทันออกจากห้องบัญชีกลับมีสาวใช้ผู้หนึ่งเดินเข้ามารายงานนางด้วยน้ำเสียงระมัดระวังเข้าเสียก่อน“ฮูหยินเจ้าคะ สุ่ยฮูหยินมาขอเข้าพบฮูหยินเจ้าค่ะ” คำพูดประโยคนี้ของสาวใช้ทำให้โม่ชิงเยว่พลันเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ“เจ้าหมายถึงสุ่ยฮูหยินผู้เป็นภรรยาเอกของท่านเจ้ากรมพิธีการสุ่ยน่ะหรือ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยถามเช่นนี้สาวใช้ผู้นั้นก็พยักหน้า“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ยามนี
แม้ว่าจะรู้สึกเห็นใจมารดาของตนแต่เมื่อคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียงเองก็เป็นมารดาเช่นเดียวกันย่อมจะรักและเป็นห่วงลูกมากเป็นธรรมดา เพียงแต่การแสดงออกอาจจะรุนแรงเกินไปหน่อยทำให้พลาดพลั้งเอ่ยคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจออกมา ส่วนมารดาของนางก็เป็นคนอ่อนแอที่ไม่กล้าทำตามที่ใจของตนคิด สิ่งที่ท้าทายที่สุดในชีวิตก็คือการเลือกแต่งกับคนที่ครอบครัวไม่เห็นด้วย พอถูกมารดาเอ่ยวาจาตัดขาดก็เศร้าเสียใจจนทำสิ่งใดไม่ถูก พอคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว ก่อนที่เจียงหวั่นหว่านผู้เป็นมารดาจะตายความปรารถนาสุดท้ายก็คืออยากจะขอขมาฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียง นางในฐานะบุตรสาวจึงได้ทำตามความปรารถนาสุดท้ายของมารดาด้วยตนเอง“เดิมทีตอนที่ท่านพ่อได้เป็นแม่ทัพใหญ่แล้ว ท่านแม่ก็เคยคิดว่าจะมาขอขมาท่านยายด้วยตนเอง แต่เพราะเกิดล้มป่วยขึ้นมาเสียก่อนจึงไม่ได้มีโอกาสมาขอขมาท่าน ยามนี้ข้าจึงขอเป็นตัวแทนท่านแม่มาขอขมาท่านยายแทนท่านแม่นะเจ้าคะ” เมื่อเอ่ยจบโม่ชิงเยว่ก็เดินไปคุกเข่าลงตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเจียงแล้วโขกศีรษะเพื่อขอขมานางอย่างเต็มพิธีการ“ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้หลานโง่เขลา ไม่รู้จักมาขอขมาตามความตั้งใจของท่านแม่ ทำให้ท่านยายยังคงขุ่นเคือ
เมื่อจวนนิ่งอันโหวอยู่ในความสงบเรียบร้อยดีแล้วโม่ชิงเยว่จึงได้จัดเตรียมของขวัญและของกำนัลหลายคันรถเพื่อนำไปเป็นของกำนัลให้แก่คนสกุลเจียง ในฐานะที่นางเป็นฮูหยินแต่กลับถูกคนในจวนโหวกดขี่มานานถึงสามปีข้าวของเหล่านี้นางจึงถือว่าเป็นของชดเชยที่นางควรจะได้รับ ในเมื่อเป็นของที่นางควรจะได้รับนางก็มีสิทธิ์ที่จะนำไปมอบให้แก่ผู้ใดก็ได้ ดังนั้นวันต่อมานางจึงได้พาลูกทั้งสองไปคารวะเยี่ยมเยียนเหล่าผู้อาวุโสในจวนสกุลเจียงด้วยตนเองพร้อมด้วยของกำนัลอีกหลายคันรถยามที่นางลงจากรถม้าซุนต้าเหนียงผู้เป็นฮูหยินใหญ่ของสกุลเจียงเป็นผู้มารอรับนางด้วยตนเอง แม้ว่าโม่ชิงเยว่จะไม่เคยพบหน้าแต่เมื่อได้เห็นสัญญาณที่ชุ่ยเหมยส่งมาให้นางก็รีบพาลูกๆ ไปคารวะซุนต้าเหนียงในทันที“โม่ชิงเยว่คารวะท่านป้าสะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ” ซุนต้าเหนียงรีบเบี่ยงกายหลบการคารวะของนางแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความยกย่องอย่างเต็มที่“ข้าเป็นแค่เพียงสตรีจากสกุลพ่อค้าจะรับการคารวะจากนิ่งอันโหวฮูหยินได้อย่างไร แค่ท่านยินดีมาเป็นแขกที่จวนสกุลเจียงของข้าก็ถือว่าเป็นการให้เกียรติข้าและสกุลเจียงแล้ว” เมื่อซุนต้าเหนียงเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า“ท่า
หลังออกจากจวนโหวมาแล้วซ่งเหวินจิ้งก็เร่งรุดไปที่บ้านหลังหนึ่ง สถานที่แห่งนั้นแม้ว่าจะตั้งอยู่ในกำแพงของเมืองหลวงแต่กลับเปลี่ยวร้างและห่างไกล บ้านที่เขาเดินเข้าไปสภาพภายนอกบ้านทั้งเก่าและทรุดโทรมแต่เมื่อเดินเข้าไปด้านในกลับแตกต่างจากสภาพด้านนอกเป็นอย่างมาก สภาพเรือนด้านในทั้งสะอาดสะอ้านเครื่องเรือนที่ใช้ประดับตกแต่งล้วนเป็นของใหม่ แม้ว่าจะดูเรียบง่ายและเน้นการใช้งานอย่างแท้จริงแต่เมื่อสังเกตดีๆ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าล้วนเป็นของดีที่หาซื้อได้ยาก“เป็นอย่างไรบ้าง! เจ้าสะสางเรื่องส่วนตัวเรียบร้อยแล้วหรือ” คำถามขององค์ชายรองที่ประทับอยู่ด้านในทำให้ซ่งเหวินจิ้งทอดถอนใจออกมาด้วยความหนักใจ“ยังไม่นับว่าเรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ แค่กระหม่อมยืดเวลาที่จะแตกหักออกไปเพียงเท่านั้น คนเช่นนางถ้าได้ลองตัดสินใจแล้วต่อให้เป็นท่านแม่ทัพโม่ผู้เป็นพ่อตาของกระหม่อมลุกขึ้นมาจากหลุมด้วยตนเองก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนใจของนางได้” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้องค์ชายรองทรงส่ายพระพักตร์“ข้าไม่รู้ว่าสมควรจะเห็นใจเจ้าหรือว่าควรจะสมน้ำหน้าเจ้าดี เอาเป็นว่าข้าพูดได้คำเดียวว่า…ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว” เมื่อองค์ชายรองทรงตรัสเช่นนี้ซ่ง
เรื่องราวความวุ่นวายของเรือนหลังในจวนนิ่งอันโหวถูกเอ่ยถึงอย่างแพร่หลาย โม่ชิงเยว่ไม่คิดจะปกปิดข่าวลือใดๆ แถมยังให้ชุ่ยเหมยนำเงินบางส่วนไปมอบให้แก่ชาวบ้านที่พูดถึงเรื่องนี้อย่างลับๆ และกำชับไปว่าเรื่องที่พวกเขากำลังเอ่ยถึงเหล่านี้ฮูหยินของจวนนิ่งอันโหวเช่นนางล้วนเป็นผู้ถูกกระทำ เรื่องราวที่นางถูกส่งไปอยู่เรือนเหมันต์และถูกรังแกสารพัดถูกเอ่ยถึงอย่างแพร่หลายอีกทั้งยังแพร่กระจายออกไปในหมู่ชาวบ้าน แน่นอนว่าความยากลำบากที่ชาวบ้านเหล่านั้นเอ่ยถึงล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น ซึ่งนางเชื่อว่าข่าวลือเหล่านี้ย่อมจะทำให้คนผู้หนึ่งนั่งไม่ติดแน่และจะต้องมาหานางในเร็ววันนี้เป็นแน่หลังจากที่นางย้ายออกจากเรือนเหมันต์เข้ามาอยู่ในเรือนหลักก็มีเรื่องราวมากมายให้ต้องจัดการ ทั้งการกำจัดข้ารับใช้ที่ไว้ใจไม่ได้ทั้งพยายามรวบรวมอำนาจการดูแลจวนทั้งหมดมาไว้ในมือ แน่นอนว่าเรื่องการดูแลจวนไม่ใช่เรื่องที่นางถนัด ดังนั้นนางจึงต้องส่งชุ่ยเหมยไปขอยืมคนที่สามารถไว้ใจได้มาจากสกุลเจียงให้คอยช่วยเหลือนาง แต่ถึงกระนั้นนางก็พยายามที่จะศึกษาและเรียนรู้พลางคิดถึงความฝันที่ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำทำโม่ชิงเยว่ไม่คิดจะถอดใจ นางเอ
โม่ชิงเยว่จ้องมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยโกรธแค้นและชิงชังบนใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าด้วยความพึงพอใจ ยามนี้สิ่งที่นางต้องการก็คือทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีโทสะมากที่สุดยิ่งมีโทสะมากเท่าไหร่ก็ยิ่งส่งผลดีต่อนางมากเท่านั้น“เหตุใดข้าจึงจะไม่กล้าเล่าเจ้าคะ ข้าทนเสแสร้งมาถึงสามปี ประสบกับความยากลำบากมาตั้งเท่าไหร่ท่านย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ข้าเคยป่วยจนเกือบตายมาแล้วเสียด้วยซ้ำก็เพราะอยากจะเอาชนะใจท่าน แต่ยามนี้ข้ารู้แล้วว่าตัวข้านั้นโง่เขลา หวังใช้ความดีเอาชนะใจสามี ใช้ความกตัญญูขอความเมตตาจากท่าน แต่พอใกล้ตายขึ้นมาข้าจึงพึ่งจะคิดได้ว่าข้าคิดผิด เหตุใดจะต้องเอาชนะใจเขาด้วยเล่าในเมื่อข้าเองก็ไม่ได้มีใจให้เขา เหตุใดจะต้องขอความเมตตาจากท่านในเมื่อต่อให้ข้าตายไปท่านก็ไม่มีวันที่จะมอบความเมตตาให้” โม่ชิงเยว่เอ่ยออกมาตามที่ใจคิดแล้วจึงได้เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน“ยามนี้โอกาสของข้ามาถึงแล้ว ในเมื่อท่านและบุตรสาวของท่านคิดจะเล่นงานข้าให้ถึงตาย ข้าก็ควรจะตอบแทนท่านให้มากสักหน่อย” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็ร้อง เฮอะ! แล้วส่ายหน้า“เจ้าคิดว่าจะทำอะไรข้าได้ จำที่ท่านผู้บัญชาการเยี่ยเอ่ยเตือนเจ้าไม่ได้
ยามที่ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นขึ้นมาแล้วได้ยินว่าซ่งเหวินหนิงถูกจับตัวไปที่กรมอาญาแล้วนางก็เป็นลมหมดสติไปอีกครั้ง พอฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้งนางก็บอกกับเฉินมามาว่านางจะไปตีกลองร้องทุกข์ที่กรมอาญา แล้วประกาศให้ผู้คนภายนอกรู้ว่าบุตรชายและสะใภ้ของนางนั้นเป็นคนอกตัญญู..“หากฮูหยินผู้เฒ่าทำเช่นนั้นไม่ใช่แค่เพียงท่านโหวจะได้รับความยุ่งยาก แม้แต่ตัวท่านเองก็อาจจะถูกผู้คนภายนอกหัวเราะเยาะด้วยนะเจ้าค่ะ ยังไม่นับคนสกุลสุ่ยอีกหากพวกเขารู้ว่าเกิดข้อพิพาทระหว่างฮูหยินและท่านโหว พวกเขาจะต้องหาช่องว่างเพื่อโจมตีท่านกลับแน่เจ้าค่ะ” คำพูดของเฉินมามาทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง“แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรจะทำเช่นไรดี ถ้าโม่ชิงเยว่ยึดอำนาจการปกครองเรือนไปแล้วข้าจะอยู่อย่างไร ยังมีหนิงเอ๋อของข้าอีก ยามนี้ชีวิตของนางป่นปี้แล้วข้าควรจะทำเช่นไรดี” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามด้วยสีหน้าสับสน ดวงตาอันล่องลอยของนางทำให้เฉินมามาได้แต่ทอดถอนใจออกมา นางอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่ามาตั้งแต่สาวจนแก่ชรา นี่นับเป็นครั้งแรกที่ฮูหยินผู้เฒ่ามีท่าทางอับจนหนทางเช่นนี้“เรื่องนี้ข้าเองก็จนปัญญาเจ้าค่ะ” เฉินมามาเอ่ย