คนเก่าคนแก่ในวังหลวงต่างก็รู้ดีว่า บัลลังก์ราชวงศ์หยางเป็นบัลลังก์เลือด
ราวกับต้องคำสาป อาจเพราะสถานที่แห่งนี้ก่อร่างสร้างมาจากหยาดเลือดและความเกลียดแค้นชิงชัง คนในราชวงศ์หยางจึงไม่อาจส่งมอบบัลลังก์ให้แก่กันได้โดยสงบ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนต่อรุ่นไหนก็มีแต่การนองเลือดกันเองภายในครอบครัว จนเหลือแต่ผู้ที่เลือดเย็น...ที่เหลือเป็นคนสุดท้ายของราชวงศ์เท่านั้นที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์
บัลลังก์เลือดที่โดดเดี่ยว บัลลังก์เลือดที่เหมือนต้องเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ไปเสียหมดทุกครั้งที่เปลี่ยนองค์จักรพรรดิ และมีจุดจบที่การนองเลือดเช่นเดิมซ้ำ ๆ
กรณีของอดีตจักรพรรดิ หยางไท่ซาน บิดาบังเกิดเกล้าของหยางซิงอีเองก็เช่นกัน เพราะเลือดเย็นที่สุดในบรรดาพี่น้อง สุดท้ายจึงเหลือเพียงหนึ่งเดียว และเพียงขึ้นบัลลังก์ ทั้งวังหลวงก็คล้ายจะเย็นยะเยือกราวกับไม่เคยต้องแสงตะวัน เป็นเช่นนั้นอยู่นาน จนกระทั่งวันที่พระมเหสีหลี่เหยียบเข้ามาในวังหลวงนั่นแล ที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป
ราวกับมีดวงตะวันอบอุ่นผุดกำเนิดขึ้นกลางพระราชวังน้ำแข็ง...ทั้งรอยยิ้มอ่อนหวาน และเสียงสรวลสดใสไม่ดังไม่เบาคู่ไปกับพระสุรเสียงทุ้มต่ำขององค์จักรพรรดิ บังเกิดเป็นโมงยามอันอ่อนหวานให้ผู้คนได้พบเจอ
เป็นชั่วขณะหนึ่ง ที่พระบรมมหาราชวังหยางอบอุ่น แต่ช่วงเวลานั้นก็สั้นนัก เมื่อพระมเหสีนิราศลาโลกนี้ไปพร้อมกับที่องค์ชายเจ็ดประสูติมา
พระมเหสีเหมือนพาตะวันดวงน้อยติดตัวเข้ามาในวังหลวง และยามพระนางจากไปก็คล้ายทรงเอาตะวันดวงนั้นไปด้วย...ซ้ำยังจากไปพร้อมพระหทัยขององค์จักรพรรดิ
เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ราวกับฝันหนึ่งตื่นสำหรับซูมู่ถง หัวหน้าราชองครักษ์ในองค์ชายเจ็ด
ซูมู่ถง ดั้งเดิมเป็นเพียงคนป่าเถื่อนที่มีฝีมือมาก แต่ต่อมาคล้ายเป็นลิขิตสวรรค์ให้ได้เข้ามารับราชการในวังหลวง เริ่มจากการเป็นเพียงพลทหารในสมัยที่หยางไท่ซานยังเป็นเพียงองค์ชาย ก่อนตำแหน่งจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เหมือนกับที่หยางไท่ซานเปลี่ยนจากองค์ชายเป็นองค์จักรพรรดิ จนได้เป็นแม่ทัพประจำกองรบพิเศษคอยกระทำเรื่องสกปรกให้พระองค์ นับได้ว่าเป็นที่ไว้วางใจอย่างยิ่งของหยางไท่ซาน
และเพราะไว้ใจมากที่สุดจากคนทั้งวัง มากเสียยิ่งกว่าพี่น้องท้องเดียวกันที่เคยเข่นฆ่า ยามพระมเหสีหลี่ทรงครรภ์พระโอรส องค์จักรพรรดิจึงพระราชทานซูมู่ถงให้แก่พระโอรส ตั้งแต่พระองค์ยังเป็นเพียงตัวอ่อนในพระครรภ์ ให้เขาคอยปกปักรักษาและดูแลชีวิตของหยางซิงอี นับตั้งแต่องค์ชายยังไม่ลืมพระเนตรดูโลก เปลี่ยนจากแม่ทัพสู่ราชองครักษ์ของพระโอรสและพระมเหสีที่ทรงรักที่สุด
ฉะนั้น เขาจึงทันเห็นพร้อมหญิงรับใช้เฉินฝู่หมิงว่า พระบรมมหาราชวังหยางเคยอบอุ่นมากมายเพียงไร
ยามพระมเหสียังอยู่ พระบรมมหาราชวังสวยงามใต้แสงตะวัน จนแทบจะทำให้ลืมไปเสียด้วยซ้ำว่า บัลลังก์ราชวงศ์หยางนั้นสืบทอดกันมาเช่นไร และคนในราชวงศ์นองเลือดกันเองมามากมายแค่ไหน
ใต้ดอกบ๊วยบานสะพรั่ง ทั้งหัวร่อต่อกระซิกกระซิบกระซาบ ทั้งจับหน้าท้องนูน และแนบพระกรรณสดับเสียง ก่อนจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยามพระครรภ์ของพระมเหสีขยับเคลื่อน เมื่อพระโอรสในพระครรภ์ทรงบิดขี้เกียจ
“จะเป็นธิดาหรือโอรสบิดาย่อมรักเจ้า”
“หากเป็นพระโอรสคงหล่อเหลาเหมือนพระองค์”
“…และหากเป็นธิดาคงงดงามเช่นเจ้า หรือบางทีอาจเป็นโอรสที่หน้าคล้ายเจ้าและธิดาที่หน้าคล้ายข้าก็เป็นได้ใครจะรู้”
“หากเป็นพระโอรสหน้าตาเหมือนหม่อมฉัน หม่อมฉันว่าพระโอรสต้องหล่อเหลาเอาการมากแน่ ๆ” พระมเหสีหลี่กล่าวแล้วองค์จักรพรรดิหยางไท่ซานก็สรวลในอก
เขาและเฉินฝู่หมิงเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ ยังอดคิดไม่ได้ว่า ยามพระโอรสเกิดมาคงเป็นองค์ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก
แต่นั่นก็จนกระทั่งถึงวันประสูติการที่คืนวันแห่งความสุขจบลง
หลังพระมเหสีจากไป หยางไท่ซานก็กลับไปเป็นเหมือนเก่าก่อน...พระบรมมหาราชวังเองก็เหมือนกัน ทั้งเย็นเยือกและโหดร้าย แต่ถึงอย่างนั้นภายใต้ม่านน้ำแข็ง เศษซากของหัวใจก็ยังพอเหลืออยู่ให้เห็น
โดยที่หญิงรับใช้เฉินฝู่หมิงไม่มีโอกาสได้รู้ คืนหนึ่งไม่กี่วันหลังจากงานพระศพของพระมเหสีจบลง ในโมงยามที่ทุกคนล้วนหลับนอนนอกจากอารักขาและเขาผู้เป็นราชองครักษ์ขององค์ชายเจ็ด องค์จักรพรรดิหยางเสด็จมายังตำหนักของพระมเหสี
ยามเข้ามาทรงให้สัญญาณแก่เขาว่าให้เงียบ ก่อนจะเดินไปทางห้องบรรทมของพระโอรสด้วยใบหน้าราวกับซากศพ ทั้งโศกเศร้าและอ่อนล้า
ซูมู่ถงเห็นทรงอุ้มพระโอรสขึ้นแนบพระอุระ ก่อนจะโยกพระวรกายไปมาน้อย ๆ พลางทอดพระเนตรพระพักตร์ขององค์ชาย
เขาได้ยินพระองค์ตรัสเสียงแผ่วว่า “แล้วเขาก็เกิดมาหน้าเหมือนเจ้า ดูจมูกนั่นสิ ไหนจะใบหูกับคิ้วอีก เหมือนเจ้าไปเสียหมดทุกอย่าง อีกหน่อยยามเขายิ้มก็คงเหมือนเจ้า ยามหัวเราะก็คงเหมือนเจ้า ยามร่ำไห้ก็คงเหมือนเจ้า แล้วเยี่ยงนี้ข้าจะทำใจได้อย่างไร พระมเหสีหลี่เคยมีใครบอกเจ้าไหมว่าเจ้าเป็นคนโหดร้าย เจ้าทำได้อย่างไรมาทิ้งข้ากับลูกไปเช่นนี้”
ซูมู่ถงถอยออกมายืนเฝ้าระวังอยู่นอกห้องบรรทม ฟังเสียงองค์จักรพรรดิครวญทำนองเพลงที่เขาจำได้ว่า พระองค์เคยใช้เกี้ยวพระมเหสี สุรเสียงทุ้มต่ำคล้ายจะกล่อมให้พระโอรสบรรทม แต่ก็คล้ายกันแสงอยู่ในที เป็นคืนโศกที่ยากจะบรรยาย
ก่อนพระองค์จะกลับไปในรุ่งสาง พระองค์เรียกเขาเข้าพบเป็นการส่วนพระองค์ ถ่ายทอดรับสั่งแสนสำคัญยิ่งให้เขาชุดหนึ่ง ทั้งทรงกอดทั้งจุมพิตพระปรางค์ของพระโอรส ราวกับจากนี้จะไม่ทรงได้เจอราชบุตรอีก แล้วก็จริง เพราะเมื่อก้าวออกจากตำหนักของอดีตพระมเหสีที่บัดนี้กลายเป็นตำหนักองค์ชายเจ็ดไปแล้ว หยางไท่ซานผู้อ่อนโยนก็ไม่มีอยู่อีก
พระองค์กลับไปเป็นจักรพรรดิหยางผู้โหดร้ายอีกครั้ง
แล้วหลังจากนั้น ก็เป็นที่รู้จักในวังหลวงว่า หยางไท่ซาน แม้จะไม่เคยแสดงความรักแก่พระโอรสหรือพระธิดาองค์ใดเป็นพิเศษ แต่ก็มีพระโอรสอยู่พระองค์หนึ่ง ที่พระองค์จงเกลียดจงชังมากกว่าพระโอรสหรือพระธิดาองค์ใด...พระโอรสที่พระองค์สั่งห้ามมิให้แสดงสีหน้า จนในวัยเยาว์พระองค์ต้องสวมหน้ากากไม้ปกปิดพระพักตร์ไม่ให้พระบิดาเห็น เกลียดเสียจนกระทั่งสิทธิ์ในการขึ้นครองบัลลังก์เช่นโอรสธิดาพระองค์อื่นก็ยังไม่มี
ทุกคนล้วนเข้าใจว่า หยางไท่ซานเกลียดหยางซิงอี เพราะพระโอรสมีใบหน้าคล้ายพระมารดา ในขณะที่ซูมู่ถงรู้ดีว่า นั่นไม่ใช่ความจริง
เพราะจะเป็นจริงได้เช่นไร ในเมื่อรับสั่งในคืนนั้นช่างชัดเจน
“มู่ถงสหายข้า บุตรของข้าคนนี้เจ้าต้องดูแลเขาให้ดี ทุกสิ่งที่ซิงอีได้รับต้องเป็นของที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา ข้าวของเครื่องใช้ หรือข้ารับใช้ ข้าฝากเจ้าจัดการด้วย ส่วนเรื่องในวังหลวง ข้าจะจัดการเอง ลูกข้าคนนี้เหมือนแม่ของเขานักและข้าก็ไม่อยากให้เขาต้องมาเผชิญกับชะตากรรมเช่นที่ข้าเผชิญ อย่างน้อยลูกคนนี้...อย่างน้อยก็ตราบเท่าที่ข้ายังอยู่ ข้าจะไม่ให้เขาต้องมาข้องเกี่ยวกับบัลลังก์หยางโดยเด็ดขาด”
ใครบอกว่าทรงไม่รักหยางซิงอีกัน ในเมื่อหลังพระโอรสมีประสูติกาลมา หยางไท่ซานก็ยกพระชนม์ชีพที่เหลือให้การพิทักษ์พระโอรสจากกระดานอำนาจในวังต้องสาปแห่งนี้
แล้วทรงปกป้องพระโอรสสำเร็จไหม ผลลัพธ์ก็อยู่ตรงนี้อย่างไรเล่า แม้ราชบัลลังก์หยางจะผลัดเปลี่ยนองค์จักรพรรดิแล้ว หยางซิงอีก็ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ในวังหลวง
...ยังมีชีวิตอยู่ แม้สภาพจิตใจจะบุบสลายและพังทลายจนไม่อาจมีความสุขได้เช่นคนปกติแล้วก็ตาม
ซูมู่ถงสงสารหยางซิงอี
พระองค์คล้ายจะมีความสุขได้เมื่อสุราต้องพระโอษฐ์ เมื่อมึนเมาก็หลงลืมทุกสิ่งอย่างว่าพระองค์เป็นผู้ใด ลงเป็นเช่นนี้พระองค์จึงมักเสด็จออกไปร่ำสุราเพียงลำพังนอกวัง แกล้งทำตนเป็นผู้อื่น เสวยจนสุราขมกลายเป็นรสหวาน ลืมฐานันดรและชื่อของพระองค์เองไปชั่วขณะหนึ่ง เพราะมีแค่ยามนี้เท่านั้นที่ทรงแย้มยิ้มได้เช่นคนหนุ่มธรรมดา
ความสุขชั่วข้ามคืน เมื่อตื่นบรรทมมาพระองค์จึงยิ่งทุกข์พระหทัยที่ความสุขจากการลืมเลือนไม่ยืนยาว ก่อนจะจบลงที่การขว้างปาทำลายข้าวของด้วยพระพักตร์นิ่งสนิท
เขารู้ เพราะทุกครั้งเมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยมานานเกินควร เขาจะออกไปรับองค์ชายกลับสู่วังหลวง จึงเคยเห็นว่ายามพระองค์เมามายมีอาการเช่นไร
ฉะนั้น สายวันที่ทรงตื่นมาจดจำสิ่งใดไม่ได้ ลึกลงไปเขาจึงยินดีกับพระองค์นัก
เพราะนี่คือสิ่งที่พระองค์ปรารถนามาตลอด
เหมือนเฉินฝู่หมิง เขาเองก็รักเอ็นดูหยางซิงอีไม่ต่างจากลูกในไส้
“ราชองครักษ์ซู องค์ชายมีรับสั่งว่าอยากได้ฉลองพระองค์ใหม่ วานท่านส่งจดหมายหาช่างตัดฉลองพระองค์ประจำพระองค์เช่นทุกครั้งด้วยนะเจ้าคะ”
“ย่อมได้เช่นทุกครั้งไปแม่นางเฉิน”
“แล้วก็อีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ...”
“เรื่องใดหรือแม่นาง”
“องค์ชายเจ็ดขอฉลองพระองค์สักเจ็ดตัวอย่างต่ำ และแต่ละตัวก็ขอให้สีสันแตกต่างกัน ข้าว่าท่านแจ้งเรื่องนี้แก่ช่างตัดฉลองพระองค์เสียหน่อยคงดีไม่น้อยเขาจะได้เตรียมการได้ถูก”
“…องค์ชายทรงเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ”
“เปลี่ยนไปมากเลยละเจ้าค่ะ ราวกับเกิดใหม่ แต่ก็ดูสุขใจมากกว่าแต่ก่อนนักเจ้าค่ะ”
“แค่นั้นก็เพียงพอแล้วแม่นาง”
เคยไปขอเนื้อคู่ แต่เหมือนเทพเจ้าเข้าใจสารที่ส่งไปผิดรึเปล่ารจนา คือ กรณีตัวอย่างของสถานการณ์นั้น แล้วหล่อนก็มั่นใจว่า ตัวเองน่าจะเป็นกรณีที่เลวร้ายที่สุดด้วย เลวร้ายมาก ๆ!รจนา มัลลเวศน์ (มัน-ละ-เวด) เป็นสาวไทยเชื้อสายจีนผู้ไปขอเนื้อคู่กับศาลเจ้าชื่อดังในฮ่องกง แต่ดันพลัดตกทะเล ขณะไปปาร์ตี้งานแต่งเพื่อนบนเรือสำราญ แต่เหมือนคำขอจะเป็นจริง เพราะตื่นมาก็เจอหนุ่มหล่อเบ้าหน้าตามที่ขอเลยอุ๊ยว้าย! รจนาตกใจหน้าขึ้นสี แต่เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมชายหนุ่มตรงหน้าจึงหน้าขึ้นสีด้วยล่ะหล่อนยกมือขึ้นป้องปาก แล้วเขาก็ทำท่าทางตามหล่อน แล้วครู่หนึ่งรจนาก็คล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ด้วยใบหน้าซีดเผือด หล่อนลองเอื้อมมือออกไปหาเขา และแน่นอนว่า เขาเองก็เอื้อมมือมาหาหล่อนแต่สัมผัสที่ควรเป็นผิวคนกลับกลายเป็นสัมผัสเย็นเฉียบของกระจกเงาเรียบลื่นจากหนังรักกลายเป็นหนังสยองขวัญในทันตา หล่อนคือเขาและเขาคือหล่อน!แล้วบ่ายนั้นในวังหลวงก็มีข่าวใหญ่ว่า องค์จักรพรรดิหยางประชวร ทรงวิงเวียนพระเศียรหมดสติในห้องพระสำอางใช้เวลาเป็นวันกว่ารจนาจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ว่า หล่อนตกทะเลตายแล้วมาตื่นใหม่ในร่างขององค์จักรพรรดิหยางตัวประ
ราชสำนักและยุทธภพอาจแยกกัน แต่ไม่เคยแยกจากกันโดยสิ้นเชิง อันที่จริงออกจะพึ่งพาอาศัยกันเสียด้วยซ้ำ เพราะยามใดที่ประเทศชาติต้องการยอดฝีมือหรือราชสำนักขาดกำลังคน ชาวยุทธ์ก็มักจะเป็นคนกลุ่มแรกที่พวกเขาเรียกหา กลับกัน ชาวยุทธ์เองก็ได้ประโยชน์มากมายจากราชสำนัก ทั้งการสนับสนุนด้านเงินทอง โอกาสทางอาชีพการงาน และชื่อเสียงความน่าเชื่อถือ พวกเขาตั้งตัวได้เพราะมีราชสำนักหยางลู่จื้อค่อนข้างประทับพระทัยในระบบการบริหารผู้คนแบบนี้ ด้วยตำแหน่งของโอรสสวรรค์ ว่ากันตามจริงหากไม่ต้องการยุทธภพแล้วเพียงดำรัสไม่กี่คำทุกสำนักก็สูญสิ้น แต่การยุบยุทธภพให้ผลประโยชน์อะไรแก่ราชสำนัก ในเมื่อทอดพระเนตรอย่างไรมีแต่จะเสียประโยชน์หนึ่ง คือเสียแรงใจของคนหนุ่มสาว ยุทธภพเหมือนแดนฝัน เรื่องราวจากยุทธภพไม่ต่างจากหนังสือที่อ่านสนุกเยียวยาจิตใจผู้คน ซ้ำหากมีแวว มีความสามารถ ยุทธภพก็ให้โอกาสผู้คนได้มีหน้ามีตาในสังคม และหลายคนถึงขั้นได้ชุบตัวเริ่มต้นชีวิตใหม่เลยก็มีสอง คือเสียกำลังคนคุณภาพที่คอยช่วยเหลือสังคม ยุทธภพคือโรงเรียนชั้นเลิศ คนของยุทธภพแม้ไม่ใช่ยอดฝีมือไปเสียทุกคน แต่แค่เข้าไปได้ก็จัดว่ามีฝีม
ความเปลี่ยนแปลงขององค์ชายเจ็ดเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ อย่างสีฉลองพระองค์ ที่ก่อนเคยมีให้ผู้คนเห็นเพียง 2 สี แต่หลังจากตื่นมาความจำเสื่อมก็กลายเป็น 7 สีที่เปลี่ยนไปทุกวันและใส่วนซ้ำทุก 7 วันจนคนในวังหลวงต่างก็เห็นตรงกันว่า องค์ชายเจ็ดวิปลาสไปเสียแล้วนาย อันวาร์ วราหะ (อายุ 26 ปี) ในชีวิตจริงจังเพียง 2 เรื่อง หนึ่งคือหนังสือที่เขาจะอ่าน และอีกหนึ่งคือ...สีเสื้อตามปกติหากไม่ได้ออกนอกบ้านไปไหน ทั้งตัวเขาก็จะมีเพียงที่คาดผมพลาสติกสีน้ำตาลเรียบ ๆ อันหนึ่งที่แอบหยิบของแม่มาใส่ โทรศัพท์มือถือ เสื้อยืดสีดำสกรีนลายเฟท/สเตย์ ไ*ท์ [1] ขนาดโอเวอร์ไซซ์และกางเกงบ็อกเซอร์ย้วย ๆ ลายดาวตัวหนึ่ง ที่ย้วยมากเสียจนต้องใช้หนังยางมามัดขอบกางเกงไว้เหมือนถุงแกง แต่วันไหนที่เขาต้องก้าวขาออกจากบ้าน วันนั้นเขาจะเลือกสีเสื้อผ้าเป็นพิเศษคล้ายการลองใส่เสื้อยืดตามสีมงคลรายวันไปสอบปลายภาคสมัยอยู่ม.6 แล้วได้คะแนนดีจะทำให้เขาเลื่อมใสศรัทธาในศาสตร์แห่งสีเสื้อนี้ขึ้นมา และหลังเหตุการณ์นั้น เขาก็เปิดโทรศัพท์ดูสีเสื้อมงคลมันทุกเช้า
ก่อนวันคล้ายวันประสูติครบ 17 ชันษาไม่กี่วัน หยางซิงอีตรัสถามเขาในเช้ามืดวันหนึ่ง ขณะเขาเข้ามาเปลี่ยนดอกไม้ในแจกันแทนเฉินฝู่หมิง“ซานหลิน หากข้ามิได้เกิดมาเป็นข้า...”“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”“ไม่มีอะไร เจ้าไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้นซานหลิน”“...หากนั่นเป็นประสงค์ของพระองค์ เช่นนั้นกระหม่อมก็ไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”“ขอบใจเจ้ามาก”เช้านั้นซานหลินจำได้ พระองค์ประทับอยู่ข้างหน้าต่างกลมบานใหญ่ ในพระหัตถ์ยังถือจอกสุรา และเพราะพระพักตร์ผินออกไปนอกหน้าต่าง เขาจึงได้เห็นเพียงพระขนองโปร่งขององค์ชายมีเพียงยอดฝีมือเท่านั้นที่จะได้รับใช้องค์ชายเจ็ด...มีเพียงผู้ที่ได้รับการยอมรับจากราชองครักษ์ซูมู่ถงเท่านั้น และหนึ่งในคนเหล่านั้นก็คือ ซานหลินซานหลินแรกเริ่มเป็นเพียงเด็กกำพร้าจากชายแดนระหว่างแคว้นหยางและแคว้นหลิน เขาเติบโตมาท่ามกลางซากสมรภูมิและขุดคุ้ยหากินกับซากศพเพื่อเอาตัวรอดมาตั้งแต่จำความได้ เมื
คนเก่าคนแก่ในวังหลวงต่างก็รู้ดีว่า บัลลังก์ราชวงศ์หยางเป็นบัลลังก์เลือดราวกับต้องคำสาป อาจเพราะสถานที่แห่งนี้ก่อร่างสร้างมาจากหยาดเลือดและความเกลียดแค้นชิงชัง คนในราชวงศ์หยางจึงไม่อาจส่งมอบบัลลังก์ให้แก่กันได้โดยสงบ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนต่อรุ่นไหนก็มีแต่การนองเลือดกันเองภายในครอบครัว จนเหลือแต่ผู้ที่เลือดเย็น...ที่เหลือเป็นคนสุดท้ายของราชวงศ์เท่านั้นที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์บัลลังก์เลือดที่โดดเดี่ยว บัลลังก์เลือดที่เหมือนต้องเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ไปเสียหมดทุกครั้งที่เปลี่ยนองค์จักรพรรดิ และมีจุดจบที่การนองเลือดเช่นเดิมซ้ำ ๆกรณีของอดีตจักรพรรดิ หยางไท่ซาน บิดาบังเกิดเกล้าของหยางซิงอีเองก็เช่นกัน เพราะเลือดเย็นที่สุดในบรรดาพี่น้อง สุดท้ายจึงเหลือเพียงหนึ่งเดียว และเพียงขึ้นบัลลังก์ ทั้งวังหลวงก็คล้ายจะเย็นยะเยือกราวกับไม่เคยต้องแสงตะวัน เป็นเช่นนั้นอยู่นาน จนกระทั่งวันที่พระมเหสีหลี่เหยียบเข้ามาในวังหลวงนั่นแล ที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปราวกับมีดวงตะวันอบอุ่นผุดกำเนิดขึ้นกลางพระราชวังน้ำแข็ง...ทั้งรอยยิ้มอ่อนหวาน และเสียงสรวลสดใสไม่ดังไม่เบาคู่ไปกับพระสุรเสียงทุ้มต่ำขององค์จักรพรรดิ บังเกิดเป็นโม
บางอย่างคล้ายสัญชาตญาณ...คล้ายลางสังหรณ์บอกนางว่า พระองค์จะไม่กลับมา ตั้งแต่พระองค์ตรัสว่า จะออกไปร่ำสุราเพียงลำพังในคืนวันคล้ายวันประสูติ แต่นางก็เลือกที่จะไม่เชื่อมัน และเมื่อพระองค์ตื่นมาไม่เหมือนเดิมในสายวันถัดมา แม้พระองค์จะลืมพระเนตรขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก นางก็ยังเลือกที่จะไม่เชื่อสิ่งที่ตาเห็นและหัวใจรับรู้อยู่ดีเฉินฝู่หมิง คือหญิงรับใช้เพียงหนึ่งเดียวที่กล้าปรนนิบัติรับใช้ดูแลองค์ชายเจ็ด หากกล่าวกันตามจริง นางอาจเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับมารดาที่สุดสำหรับหยางซิงอีแล้วก็เป็นได้ และสำหรับนาง หยางซิงอีเองก็เปรียบได้กับลูกในไส้คนหนึ่งเช่นกัน ไม่ว่าหยางซิงอีจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและร้ายกาจเพียงไร จะคว้างปาสิ่งของหรือโมโหร้ายแค่ไหน นางก็ไม่เคยทอดทิ้งยุวกษัตริย์พระองค์นี้ไปที่ใดเลยสักครั้ง เพราะนางรู้ดีว่า ใต้เปลือกนอกอันแข็งกระด้างของเขา หยางซิงอีน่าสงสารและโดดเดี่ยวเพียงไรนางเห็นมาตลอด เห็นหยางซิงอีมาตั้งแต่เขายังเป็นทารกน้อย และอยู่กับเขามาตั้งแต่เขายังอยู่ในพระครรภ์ของพระมเหสีหลี่พระมเหสีหลี่เป็นสตรีผู้อ่อนหวาน และเป็นรักสุดท้ายของจักรพรรดิหยางองค์ก่อน แต่ก็เพราะรักมากเหลือเกิน