“ลองบอกมาก่อนสิว่าคุณจะให้ผมทำอะไรถ้าเกิดเป็นเรื่องผิดกฎหมายขึ้นมาผมก็ซวยแย่สิ”
“โธ่...คุณไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายอะไรหรอกนะ ง่ายๆ เองตกลงไหม”
“แน่นะครับ”
“ค่ะ ฉันแค่จะขอยืมมือคุณแค่นั้น”
“ยืมมือผมเอาไปทำอะไร” ชายหนุ่มมองเธออย่างสงสัย
“เถอะน่า ตกลงไหมล่ะ”
“อือ แล้วผมต้องทำยังไง” ภาวินท์ตอบตกลงเพราะเขาเองก็อยากจะรู้ว่าหญิงสาวจะทำอะไรต่อ
“คุณนั่งจับช้อนกับตะเกียบไว้แบบนั้นนะ ทำเหมือนกำลังจะกินก๋วยเตี๋ยว ฉันขอถ่ายรูปคุณแป๊บเดียวเอง”
“ถ่ายรูปเหรอ”
“ก็ใช่นะสิ”
“จู่ๆ จะมาถ่ายรูปกันได้ไง”
“ฉันไม่ถ่ายให้เห็นหน้าคุณหรอกน่า ฉันถ่ายแค่ข้อมือเองนะ”
“แล้วคุณจะเอารูปผมไปทำอะไร”
“ฉันก็แค่จะโพสต์ลงในสตอรี่ว่าฉันมากินก๋วยเตี๋ยวกับผู้ชาย”
“ผมว่าเหตุผลมันฟังดูแปลกๆ นะ”
“ไม่แปลกหรอกน่าตกลงนะ” หญิงสาวไม่รอฟังคำตอบเธอถ่ายรูปเขาจากนั้นก็โพสต์ลงสตอรี่ทันที
“นี่ไงคะ” พูดแล้วเธอยื่นโทรศัพท์ให้กับชายหนุ่มดู
“ก๋วยเตี๋ยวมื้อนี้หวานมาก คืออะไร” เขาอ่านข้อความใต้ภาพแล้วถามขึ้นและมองหน้าเธอสลับกับโทรศัพท์
“ก็หมายความว่าวันนี้ฉันมากินก๋วยเตี๋ยวกับผู้ชายไงล่ะ”
“จะไม่มีปัญหาตามมาทีหลังแน่นะ”
“ไม่หรอก เพราะไม่ได้เห็นหน้าคุณสักหน่อย”
“แล้วทำไมคุณถึงโพสต์ลงไปแบบนั้นล่ะ”
“ก็ฉันอยากจะให้คนอื่นรู้ไงว่าตอนนี้ฉันมีคนมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวด้วยแล้วไม่ได้กินคนเดียวอย่างเคย”
“ถ้าเดาไม่ผิดคงอยากจะให้แฟนคุณหึงใช่มั้ยล่ะ”
“เรียกว่าแฟนเก่าดีกว่าค่ะเพราะฉันกับเขาเลิกกันแล้วและตอนนี้ฉันก็กำลังมีคนใหม่”
“คุณคงไม่ได้หมายถึงผมใช่มั้ย”
“ฉันไม่ได้หมายถึงคุณหรอกค่ะ ก็แค่โพสต์ไปอย่างนั้นเอง เอาล่ะตกลงเราแยกกันตรงนี้นะเดี๋ยวฉันจะจัดการจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวให้”
“คุณจะไม่ให้ผมโอนค่าก๋วยเตี๋ยวคืนให้แน่นะครับ”
“ไม่ต้องหรอกแค่นี้ก็ถือว่าหายกันแล้ว”
“เอาไว้เจอกันครั้งหน้าผมจะเป็นฝ่ายเลี้ยงคุณตกลงไหม”
“ถ้าเราได้เจอกันอีกครั้งนะคะ แต่ฉันว่าคงยากค่ะ ไปก่อนนะคะ”
หญิงสาวเดินไปชำระเงินค่าก๋วยเตี๋ยวสามชามจากนั้นก็เดินหายเข้าไปในซอย
ภาวินท์มองตามอย่างไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เธอทำเท่าไหร่ แต่ก็นับว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่มีน้ำใจอยู่มาก เธอกับเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่เธอก็ชำระค่าก๋วยเตี๋ยวให้เขาซึ่งถ้าหากเธอไม่ทำแบบนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าแม่ค้าจะยอมให้เขาติดเงินค่าก๋วยเตี๋ยวไว้ก่อนไหม วันนี้เขารีบออกมาจากบริษัทจนไม่ได้เอากระเป๋าสตางค์มาอีกทั้งแบตโทรศัพท์ก็หมดอีกด้วย
ชายหนุ่มกลับมายังคอนโดมิเนียมของตัวเองในเวลาเกือบจะเที่ยงคืน เขาอาบน้ำแต่งตัวและมานั่งทำงานต่อดึก
ภาวินท์เรียนจบคณะวิศวกรรมศาสตร์และทำงานหาประสบการณ์อยู่สี่ปีก่อนจะลาออกมาเปิดบริษัทรับสร้างบ้านและออกแบบบ้านครบวงจรจากบริษัทเล็กๆ เมื่อหลายปีก่อนตอนนี้กลายเป็นบริษัทที่มีโครงการระดับใหญ่ซึ่งมันก็หมายถึงเขาต้องรับผิดชอบมากขึ้นด้วย
ชายหนุ่มชวนรุ่นพี่และรุ่นน้องที่เคยเรียนด้วยกันเขามาทำงาน ด้วยกันอยู่หลายคน แม้ตำแหน่งที่เขาทำอยู่จะเป็นถึงเจ้าของบริษัทแต่ทุกครั้งที่ไซต์งานมีปัญหาเขาก็มักลงไปดูแลและช่วยวิศวกรที่คุมโครงการแก้ปัญหาเพราะตนเองก็ผ่านงานด้านนี้มาก่อนจึงมีประสบการณ์ค่อนข้างมากอยู่
เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จมากมายขนาดนี้จากครอบครัวชนชั้นกลางที่มีบิดามารดาทำงานรับราชการเป็นครูทั้งคู่และท่านก็ไม่เห็นด้วยเลยที่เขาลาออกจากบริษัทใหญ่เพื่อมาเปิดบริษัทของตัวเอง
เนื่องจากบิดามารดาของเขากลัวว่าลูกชายจะไปไม่รอด แต่ภาวินท์ก็พิสูจน์ตัวเองให้ท่านทั้งสองเห็นแล้วว่าเขาสามารถประคับประคองบริษัทและขยายจนมันเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาห้าปีเท่านั้น
ชายหนุ่มทำให้บิดามารดาภูมิใจมากแต่ก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่เขายังไม่สามารถทำให้บิดามารดาได้ตามที่ท่านร้องขอก็คือการแต่งงานและมีครอบครัว เพราะยังสนุกกับการใช้ชีวิตแบบนี้และไม่อยากมีข้อผูกมัดหรือพันธะกับใครทั้งนั้น
ภาวินท์คิดว่าการใช้ชีวิตแบบนี้มันอิสระและมีความสุขมากกว่าการที่ต้องกลับบ้านไปเจอคนเดิมๆ กินข้าวกับคนเดิมๆ ซึ่งเขาคิดว่าตนเองไม่ได้ต้องการสิ่งนั้น ชายหนุ่มต้องการความสนุกและความตื่นเต้น เขาไม่มีผู้หญิงคนไหนที่คบอย่างจริงจังเพราะรู้ดีว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เข้ามาหาเขาไม่มีใครจริงจังกับเลย พวกเธอก็เห็นแก่เงินของเขาทั้งนั้น
ที่เขาคิดแบบนี้ก็เพราะผู้หญิงบางคนเขาเคยคุยด้วยตอนที่ทำงานเป็นลูกจ้างของบริษัทพวกเธอไม่สนใจจะมองเขาด้วยซ้ำ
แต่เมื่อกลายมาเป็นเจ้าของบริษัทพวกเธอกลับให้ความสนใจและอยากจะคุยด้วย ซึ่งมันทำให้เขาเข้าใจดีว่าพวกเธอไม่ได้ชอบที่ตัวตนของเขาแต่ชอบเงินของเขามากกว่า ตอนนี้ภาวินท์ยังไม่เจอผู้หญิงที่ชอบเขาด้วยใจจริงและคิดว่าคงยากมากที่จะเจอผู้หญิงแบบนั้นเนื่องจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เขาค่อนข้างดูถูกผู้หญิงและไม่เปิดใจคบหากับใคร
เรื่องที่พิมพ์พริมากับภาวินท์คบหาเป็นแฟนกันมีคนรู้ไม่มากเท่าไหร่ แม้ว่าทั้งสองจะมาทำงานตั้งแต่เช้าและกลับคอนโดมิเนียมพร้อมกันในตอนเย็น แต่เรื่องมันก็ยังคงเป็นความลับเนื่องจากพิมพ์พริมาไม่เคยแสดงตัวว่าตนเองเป็นแฟนของเจ้าของบริษัทและขณะอยู่ที่บริษัทภาวินท์ก็พยายามวางตัวไม่เดินมาหาคนรักในช่วงเวลากลางวัน เนื่องจากกลัวว่าหญิงสาวจะอึดอัดแต่หลังจากกำหนดการแต่งงานและการ์ดแต่งงานถูกแจกออกไปตามแผนกต่างๆ ทุกคนก็รู้ความจริงสายตาที่มองพิมพ์พริมาของบางคนเปลี่ยนไปแต่บางคนก็ยังคงมองเธออย่างเดิม หญิงสาวเองก็วางตัวดีเคยพูดคุยทักทายหรือไหว้ใครก็ทำแบบนั้นตลอดมัน เลยทำให้คนอื่นยอมรับมากขึ้นหลังจากหญิงสาวเข้าทำงานในบริษัทได้ครบหนึ่งปีทั้งสองก็แต่งงานกันงานแต่งงานถูกจัดขึ้นที่จังหวัดพิจิตรภาวินท์และเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวรวมถึงญาติสนิทไปร่วมงานกันที่นั่นก่อนจะกลับมาฉลองพิธีมงคลสมรสที่กรุงเทพซึ่งจัดค่อนข้างใหญ่เพราะภาวินท์อยากให้พนักงานทุกคนได้เข้าร่วมและถือโอกาสเลี้ยงทุกคนไปในตัว“เหนื่อยไหมว่าน” เขาถามหลังจากที่อยู่กันตามลำพังในห้องสวีทของโรงแรม“เหนื่อยมากค่ะ แต่ก็มีความสุขมากๆ ด้วย”“พี่ก็มีความสุขมากเห
เมื่อได้คุยกับหัวหน้าแล้วพิมพ์พริมาก็รู้สึกสบายใจขึ้น แต่ยังมีอีกสองด่านที่เธอจะต้องผ่านให้ได้ก็คือการบอกกับนารีรัตน์และพี่กิ่งแก้ว สำหรับพี่กิ่งแก้วหญิงสาวคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาส่วนนารีรัตน์นั้นต้องค่อยๆ พูด แต่เท่าที่ได้รู้จักกันมาประมาณสามเดือนก็พอจะรู้ว่านารีรัตน์เป็นคนที่พูดเยอะ แต่จิตใจค่อนข้างดี ถ้าหากมีเหตุผลที่ดีพอเธอเชื่อเหลือเกินว่านารีรัตน์จะต้องไม่โกรธที่เธอปิดบังแบบนี้ในบ่ายวันหนึ่งพิมพ์พริมาได้มีโอกาสออกไปวางบิลกับพี่กิ่งแก้วเลยถือโอกาสนี้บอกพี่กิ่งแก้วว่าตนเองกำลังคบหาอยู่กับภาวินท์ เธอตกใจมากเพราะไม่คิดว่าคนใกล้ตัวของตัวเองคือผู้หญิงผู้โชคดีที่ทุกคนพูดถึงมาตลอดหลายวันนี้“พี่กิ่งไม่โกรธว่านใช่ไหมคะ ที่ว่านปิดบังความจริงมานานหลายเดือน”“พี่ไม่โกรธหรอกจ้ะ พี่เข้าใจดีเพราะถ้าหากเป็นพี่ก็ไม่กล้าบอกทุกคนตอนที่ตัวเองยังไม่ผ่านการทดลองงานหรอกเพราะถ้าเป็นแบบนั้นคนที่ลำบากใจน่าจะเป็นพี่สุมากกว่า”“ขอบคุณนะคะที่ไม่โกรธและยังเข้าใจว่าน ที่ว่านบอกพี่แบบนี้ไม่ใช่อยากจะอวดว่าตัวเองเป็นแฟนเจ้าของบริษัทแต่ที่บอกเพราะไม่อยากจะปิดบังค่ะ ว่านอยากให้พี่มองว่าว่านเป็นน้องสาวและเพื่อนร่วม
เมื่อทุกคนกลับไปหมดแล้วพิมพ์พริมาก็เดินมาหาสุกัญญาที่โต๊ะทำงาน“หาเก้าอี้มานั่งก่อนสิว่าน”พิมพ์พริมาลากเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดมาข้างโต๊ะทำงานของสุกัญญาก่อนจะถอนหายใจอย่างหนักเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นพูดเรื่องนี้ยังไง“มีอะไรจะพูดกับพี่ ท่าทางเครียดเลยนะ”“พี่สุคะ ที่นี่มีกฎว่าถ้าจะคบใครก็ต้องเปิดเผยใช่ไหมคะห้ามแอบคบหากันใช่ไหมคะ”“ใช่จ้ะ ว่านถามแบบนี้หมายถึงว่านกำลังคบใครในบริษัทอยู่หรือเปล่า”“ใช่ค่ะ แต่ว่านไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะบอกคนอื่นดีไหม”“ทำไมล่ะหรือคนที่คบอยู่เขาไม่อยากให้ว่านบอกคนอื่น”“เขาให้บอกได้ค่ะแต่ว่านกลัวว่าบอกไปแล้วมันจะไม่เป็นผลดีเท่าไหร่ ว่านกลัวมันจะกระทบกับการทำงานและเพื่อนร่วมงานแต่ถ้าว่านไม่บอกแล้วมีคนมารู้ทีหลังก็กลัวจะเกิดปัญหา อีกอย่างว่านก็ไม่ค่อยอยากจะปิดบังเพื่อนร่วมงานเท่าไหร่แต่ จ่ๆ จะให้พูดออกไปตรงมันก็ดูไม่ดี”“ว่านกำลังจะพูดอะไรเหรอ พี่ตามไม่ทันเลย”“ก่อนที่ว่าจะบอกว่ากำลังคบกับใครว่านขอถามพี่สุหน่อยได้ไหม”“ได้สิ”“เรื่องการประเมินงานของว่านที่สุพิจารณาจากอะไรคะ”“ก็พิจารณาจากการทำงานไงล่ะ แล้วก็การทำงานเป็นทีมรวมถึงการมาทำงานตรงเวลา ทำไมว่านถามพี่แ
“ดีใจด้วยนะว่านดีใจเรื่องอะไรคะพี่สุ” พิมพ์พริมาหันไปถามหัวหน้าที่เดินยิ้มเข้ามาแต่ไกล“ลืมไปหรือเปล่าว่าวันนี้ว่านทำงานที่นี่สามเดือนแล้วนะ และผลการประเมินมันก็ออกมาแล้ว”“ว่านผ่านใช่ไหมคะ” หญิงสาวถามด้วยความดีใจเพราะเห็นสีหน้าของพี่สุกัญญาก็พอจะเดาออก“ใช่จ้ะผ่านแล้วเดี๋ยวเคลียร์งานข้างหน้าเสร็จ ก็ไปเปลี่ยนบัตรพนักงานที่แผนกบุคคลนะอาจจะต้องเซ็นสัญญาบางอย่างเพิ่มเติมก่อนเซ็นก็ดูให้ดีๆ ล่ะ”“ค่ะพี่สุ” เมื่อได้ยินแบบนั้นหญิงสาวก็รีบทำงานตรงหน้า ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อย“พี่สุคะว่านขอไปแผนกบุคคลก่อนนะคะ”พิมพ์พริมาเดินไปที่แผนกบุคคลอย่างมีความสุขเพราะเธอเองก็ลุ้นมาหลายวันแล้วว่าตนเองจะผ่านการทดลองงานไหม“สวัสดีค่ะพี่จิตรา”“สวัสดีจ้ะว่านพี่ดีใจด้วยนะผ่านการทดลองงานแล้ว นี่ก็เป็นรายละเอียดและสัญญาของพนักงานประจำจ้ะว่านอ่านก่อนเซ็นนะ”“ค่ะพี่จิตรา” หญิงสาวนั่งอ่านสัญญาการทำงานซึ่งไม่ได้แตกต่างจากบริษัทเดิมมากนักเมื่ออ่านอย่างละเอียดและทำความเข้าใจและดูว่าไม่มีตรงไหนที่ตัวเองจะถูกเอาเปรียบก็รีบเซ็นชื่อลงไปในนั้น“เรียบร้อยแล้วค่ะพี่จิตรา ถ้ายังงั้นว่านขอไปทำงานที่แผนกนะคะ”“ได้จ้ะ
การเจรจากับมารดาของพิมพ์พริมาและญาติของเธอผ่านไปได้ด้วยดี มารดาของหญิงสาวยอมให้ภาวินท์หมั้นหมายกับพิมพ์พริมาไว้ก่อน ส่วนงานแต่งงานนั้นจะตามมาหลังจากครบหนึ่งปีหลังจากทั้งสองได้คบหากันอย่างจริงจังคุณพิมพ์พรมารดาของพิมพ์พริมารู้สึกดีใจมากที่ได้เจอรุ่นพี่อีกครั้ง เธอยังจำคำพูดของคุณวสันต์บิดาของภาวินท์ในอดีตได้ดี ว่าถ้าหากพิมพ์พริมาโตขึ้นก็อยากให้หมั้นหมายกับลูกชายของตนเพื่อจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน ซึ่งไม่คิดเลยว่าเรื่องนั้นมันจะเป็นจริงได้แต่สิ่งที่พิมพ์พริมายังกังวลอยู่ตอนนี้ก็คือสถานะของตนเองในบริษัทเพราะยังต้องคอยหลบซ่อนสายตาของคนอื่นๆ และปกปิดเรื่องที่ตนเองกับภาวินท์คบหากันไว้ให้ได้นานที่สุด ช่วงนี้ชายหนุ่มมักจะแวะมาแผนกบัญชีบ่อยๆ บางครั้งก็มักจะสั่งอาหารมาให้พนักงานทุกคนในบริษัทซึ่งพิมพ์พริมารู้ดีว่าที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะเธออยากให้เธอได้ทานของอร่อยๆ“พี่วินคะว่านว่าพี่วินไม่ต้องเลี้ยงอาหารพนักงานทุกคนในบริษัทก็ได้นะคะว่านเกรงใจพี่วิน”“พี่ก็ไม่ได้เลี้ยงทุกวันสักหน่อย”“แต่พี่วินเลี้ยงทุกอาทิตย์เลยนะคะ ว่านถามพี่สุแล้วแต่ก่อนพี่วินไม่ได้เลี้ยงบ่อยแบบนี้ แล้วอาหารแต่ละอย่างก็ไม่ใช่ถู
พิมพ์พริมาหอบเหนื่อยอย่างหนักช่องทางรักของหญิงสาวบีบรัดแท่งร้อนแรงและถี่ไปตามสัญชาตญาณที่ไม่อาจคุมได้ภาวินท์เองก็ปวดร้าวไปทั่วท่อนเอ็นแต่ต้องพยายามข่มอารมณ์ของตนเองไว้ให้นานที่สุดเพราะอยากมอบความสุขให้กับคนรักอย่างเต็มที่“อ่าห์....ว่านจ๋าครั้งนี้เสร็จแรงมากรัดพี่จะขาดอยู่แล้ว”“พี่วินขา...”“ดีไหมว่าน ชอบไหม”“พี่วิน....เสียวอีกแล้วว่านเสียวอีกแล้ว...อ่ะ...อื้อ...”เสียงหวานเรียกอย่างคนละเมอความเสียวพุ่งสูงอีกครั้ง ภาวินท์จับขาข้างหนึ่งพาดไปบนบ่าและตอกสะโพกเข้าหาอย่างหนักหน่วงจนเกิดเสียงเนื้อกระทบกันดังลั่นห้อง“สุดยอดมากว่าน เอามันที่สุดเลยที่รัก ใกล้แล้วใช่ไหม ตอดพี่แรงแบบนี้ พี่ชอบจัง อ่าห์เสียวมากที่รัก....อ่าห์....พี่เสียวมาก”เสียงภาวินท์แหบพร่าแรงตอดรัดกำลังทำให้เขาเสียวมากขึ้นและอีกไม่นานก็คงจะถึงขอบสวรรค์“อื้อ....พี่วินขา....ว่านจะไม่ไหวแล้วนะคะ ว่านเสียว....”เสียงเธอหอบกระชั้นชายหนุ่มรู้ว่าตัวเองก็กำลังจะแตะขอบสวรรค์ ความเป็นสาวของเธอบีบรัดจนเขาแทบจะขาดใจ ไม่คิดเลยว่าความสุขจะมากมายถึงเพียงนี้สะโพกสอบถาโถมแรงขึ้นเร็วขึ้นจนคนรักเกร็งสะท้านกรีดร้องอีกครั้งชายหนุ่มกระแทกกร