“หากยังอยากมีชีวิตอยู่ เจ้าก็ต้องเชื่อใจข้า”
“ท่านขู่ข้า?”
หญิงสาวหันกลับมามองอีกฝ่าย แม้รู้สึกว่าใบหน้าของตนใกล้กับใบหน้าขาวคมมากเกินไป ทว่าในตอนนี้ชีวิตของนางอยู่ในช่วงความเป็นความตายที่ไม่รู้ว่าปราณเทพจะแผลงฤทธิ์ขึ้นมาเมื่อไร หากไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ นางก็ไม่อาจหาทางหลอมรวมปราณได้เช่นกัน
“ข้ามีเจตนาดีแต่แรก เพียงแต่เจ้าไม่เชื่อข้าเอง”
คราวนี้เทียนเหวินเอ่ยอย่างจริงจัง
“ในเมื่อช่วยเจ้ามาก่อนหน้านี้แล้วทำให้เจ้าต้องลำบาก ข้าก็กังวลใจไม่น้อยเลย จึงได้อยากช่วยเจ้าให้ถึงที่สุด”
เสี่ยวเหลียนเริ่มมีสีหน้าลังเล ชายหนุ่มจึงย้ำ
“ในทุกครั้งที่เจ้าพยายามใช้พลังปราณ ร่างกายของเจ้าจะยิ่งทรมานเพราะพลังที่มากเกินจะรับไหว ดวงจิตวิญญาณที่บาดเจ็บของเจ้าจะยิ่งบอบช้ำ เมื่อถึงที่สุด เจ้าก็จะแหลกสลาย”
แม้จะยังไม่ไว้ใจอีกฝ่าย หากนางก็ไม่มีทางเลือกใดอีกแล้ว
“ข้าต้องทำอย่างไร”
เทียนเหวินแทบจะลอบถอนหายใจเมื่อหญิงสาวเหมือนจะยินยอมให้ตนช่วยแล้ว
“นั่งนิ่งๆ หลับตา ข้าจัดการเอง”
คำพูดอีกฝ่ายดูมีเลศนัยทำให้คิ้วเรียวงามขมวดมุ่น สีหน้าแววตาสงสัยชัดเจน
“เถิดน่า หากไม่รีบ คนอื่นกลับมาระหว่างนี้แล้วมาพบเข้า ข้ากับเจ้าอาจบาดเจ็บหนักเพราะธาตุไฟเข้าแทรกทั้งคู่”
ชายหนุ่มเร่งด้วยเรื่องนี้ค่อนข้างอันตรายทีเดียว
“แล้วท่านกลับมาได้อย่างไร คนอื่นล่ะ”
“หึ เรื่องนี้สำคัญด้วยหรือ เจ้าสนใจเพียงชีวิตเจ้าก็พอแล้วไม่ใช่หรือ”
เทียนเหวินนึกขันคนอยากรู้อยากเห็น หากก็ยอมบอก
“พวกข้าแยกกันตามหาศิษย์พี่เฉิงเคอ แล้วบังเอิญกระดิ่งสวรรค์ที่ขุนพลห้าวอี้ให้ข้ามาดังขึ้น พอตามไปดูก็เห็นศิษย์พี่เจียอินกับหลินเฟย ข้าจึงรู้ว่าเวลานี้เจ้าอยู่ที่โรงเตี๊ยมลำพัง เพราะไม่มีทางที่หลินเฟยจะยอมให้เจ้าแยกเดินในตลาดคนเดียวแน่”
กระดิ่งสวรรค์สามารถรับรู้ได้ถึงปราณเซียนแม้ว่าคนผู้นั้นจะอำพรางไอเซียนเอาไว้ก็ตาม ผู้ที่มีกระดิ่งนี้คือระดับขุนพลขึ้นไปเท่านั้น
ฉะนั้นจึงไม่ยากนักที่เขาจะรู้ว่าเสี่ยวเหลียนพักอยู่ห้องไหน อีกอย่างเพียงก้าวมาใกล้ห้องนี้เขาก็ได้กลิ่นดอกบัวกรุ่นกำจายแล้ว
“เอ่อ...”
“สงสัยสิ่งใด ไว้ข้าช่วยเจ้าหลอมรวมปราณสำเร็จค่อยถามก็ได้ อย่าเสียเวลาอีกเลย”
ร่างสูงใหญ่ทรุดลงนั่งบนเตียงด้วยกัน เสี่ยวเหลียนรีบขยับมาอีกฝั่งด้วยความรู้สึกแปลกๆ แต่ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นทันที ไม่ให้นางได้มีเวลาลังเลหรือคิดสิ่งใด
“นั่งสมาธิ เผชิญหน้ากับข้า หลับตาลง”
เจ้าของร่างบางทำตามที่อีกฝ่ายบอกโดยเร็ว เมื่อนั่งมองหน้ากันแล้วนางไม่กล้าสบดวงตาคู่เข้มดุจึงรีบหลับตา
“ต่อจากนี้เจ้าอาจต้องทรมานมาก แต่ควบคุมดวงจิตให้ตั้งมั่นเข้าไว้ ไม่ต้องกังวล”
หลังเอ่ยจบชายหนุ่มก็หลับตากำหนดจิต ยื่นมือข้างหนึ่งไปใกล้หน้าผากมน สองนิ้วจรดถ่ายทอดพลังเข้าไปเคลื่อนย้ายปราณของตนภายในร่างเซียนดอกบัวให้เข้าที่เข้าทาง
‘ปล่อยวางและเปิดใจรับข้าเสี่ยวเหลียน’
เทียนเหวินบอกอีกฝ่ายด้วยดวงจิต
หญิงสาวได้ยินคำพูดชายหนุ่ม นางพยายามกำหนดดวงจิตวิญญาณของตน ขณะเดียวกันราวมีไอร้อนวิ่งวนอยู่ในร่างกายของนาง รวดร้าวจนผิวเนื้อแทบปริแตกออกเป็นเสี่ยง อยากกรีดร้องหากเสี่ยวเหลียนกลั้นไว้เต็มกำลัง ใช้เวลาอึดใจใหญ่ในการข่มอารมณ์แตกตื่นให้นิ่ง บอกตนเองว่าให้ผ่อนคลาย จมจ่อมอยู่ในห้วงสมาธิแท้จริง กระทั่งภายในมโนสำนึกว่างเปล่าเหมือนลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
‘สำเร็จแล้ว’
เทียนเหวินลืมตาในทันใดเมื่อตนเองช่วยหญิงสาวได้ และก็เห็นร่างบอบบางเอียงตัวล้มหมดสติเขาจึงรีบประคองไว้
ผลัวะ...
ในตอนนั้นเองประตูห้องก็เปิดขึ้นพร้อมเสียงหลินเฟย
“เสี่ยวเหลียน ซาลาเปาโลกมนุษย์อร่อยมาก ข้าซื้อมาฝากเจ้า...”
เจ้าตัวหยุดนิ่งหน้าประตู มองร่างบอบบางของสหายซึ่งอยู่ในอ้อมกอดของเทียนเหวินขณะอยู่บนเตียงด้วยความอึ้งงัน
“ทำไม...ท่านมาอยู่ที่นี่”
นางเอ่ยถามแผ่วเบา อยู่ๆ หัวใจก็ราวถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น
“ข้ามาช่วยสหายเจ้า”
เทียนเหวินตอบโดยสีหน้ายังเรียบเฉยเช่นเดิม หากก็ค่อยผ่อนร่างของเสี่ยวเหลียนให้นอนลงอย่างเบามือแล้วลงจากเตียง
หลินเฟยสูดหายใจเข้าลึกพร้อมก้าวเข้ามาในห้อง ไม่ได้รีบร้อนซักไซ้ รอให้เทียนเหวินบอกเล่าด้วยตนเอง
“ก่อนหน้านี้ข้ามอบปราณของข้าให้เสี่ยวเหลียนเพื่อช่วยชีวิตนาง แต่ดวงจิตวิญญาณของนางอ่อนแอเกินกว่าจะควบคุมปราณเทพได้ ข้าจึงต้องช่วยนางหลอมรวมปราณเข้าด้วยกัน”
“อย่างนั้นหรือ”
หญิงสาวเพียงตอบรับขณะก้าวเข้าไปยืนชิดเตียง ใบหน้าขาวซีดของสหายยังมีเหงื่อซึม หากสีหน้าดูปกติดี
“ตอนนี้สำเร็จแล้ว ปล่อยให้นางพักให้เต็มอิ่ม อาจต้องใช้เวลาสักหน่อยกว่าดวงจิตวิญญาณจะค่อยๆ ปรับตัวได้และฟื้นคืนพลังได้ดีขึ้น แต่นางจะไม่ทรมานในยามบำเพ็ญเพียรอีกแล้ว”
เทียนเหวินเอ่ยจบก็ตั้งใจจะออกไปจากห้อง ทว่าหลินเฟยกลับถามขึ้น
“ไยท่านจึงช่วยนาง”
ร่างสูงใหญ่ที่เพิ่งเดินผ่านหญิงสาวหยุดแล้วหันกลับมาตอบน้ำเสียงเรียบ
“เห็นผู้อื่นจะตายอยู่ตรงหน้า ใครบ้างจะไม่ช่วย”
จากนั้นก็หันกลับก้าวเดินต่อ ขณะได้ยินเสียงแผ่วเบาตามหลังมา
“ขอบคุณท่านมาก”
ชายหนุ่มไม่ได้หันไปมองอีก เขาเพียงเดินออกจากห้องและปิดประตูลง
หลินเฟยมองประตูด้วยแววตาหม่นหมอง ก่อนจะถอนสายตากลับมามองสหายของตนพร้อมถอนหายใจยาวราวหนักใจ
‘ท่านให้ความใกล้ชิดกับผู้อื่นมากถึงเพียงนี้ แต่กับข้าที่เป็นคู่หมาย ท่านกลับไม่เคยแม้แต่จะชายตาเหลียวแล’
นางเคยพบเทียนเหวินตอนวัยเยาว์ ในตอนที่จักรพรรดิสวรรค์ขึ้นปกครองสวรรค์ แล้วทุกเผ่าไปร่วมยินดี วันนั้นมีข่าวดีอีกหนึ่งเรื่องคือสวรรค์ยังคงผูกสัมพันธ์กับเผ่าวิหคต่อเนื่องเช่นที่ผ่านมา ให้ทายาทสองเผ่าเป็นคู่หมายกัน
มาอยู่สำนักซ่างเซียนไม่นาน มีโอกาสได้เห็นเทียนเหวินในยามที่สองสำนักประลองกันแต่ไม่เคยพูดคุย มาครั้งนี้พบเจอต่อหน้าทว่าชายหนุ่มกับคุยตนเพียงเพราะจำเป็นเท่านั้น ไม่แสดงออกใดที่แตกต่างจากผู้อื่น ทว่าที่นางรับรู้ได้คือ เทียนเหวินดูใส่ใจเสี่ยวเหลียนเป็นพิเศษ
=====
อ้าว เทียนเหวินกับหลินเฟยเป็นคู่หมายกันหรือ? ^^"
ต่างฝ่ายต่างแตะต้องกันและกัน มือกระด้างบีบนวดผิวบางในทุกสัดส่วน มือนุ่มก็เคล้นไปตามกล้ามแน่น ทั้งแขนกำยำ แผงอกกว้าง หน้าท้องแกร่ง รวมถึงต้นขาชายหนุ่มที่แข็งแรงชวนให้ต้องกลืนน้ำลาย ยิ่งยามที่มืออุ่นทาบทับแนบดอกไม้แสนงาม หญิงสาวก็เกาะกุมตัวตนแกร่งร้อนไว้ในมือตนเช่นกันสองหนุ่มสาวแบ่งปันห้วงอารมณ์วาบหวาม เร่งเร้านำพาให้ร่างกายทั้งคู่ค่อยๆ พลุ่งพล่านขึ้น ตาสบตา ขณะที่ต่างก็หอบหนัก เอินเอินรู้สึกได้ว่ามือตนแทบไหม้ทีเดียว อึดใจต่อมาร่างสูงใหญ่จึงขยับมาชิดบดเบียดเรือนกายเสียดสีเร้าใจเปลือกตาบางปิดลงพร้อมครางเสียงหวานข้างใบหูชายหนุ่ม สองแขนเรียวกอดร่างหนา กางกรงเล็บเล็กเกาะเกี่ยวข่วนบางเบาบนแผ่นหลังอีกฝ่าย ทั้งฟันเล็กยังกัดใบหูชายหนุ่มยั่วเย้า“อา คนดีของข้า เจ้าทำให้ข้าร้อนยิ่งกว่าร้อนแล้วในตอนนี้”เทียนเหวินเสียวสยิวไปทั้งกาย เพราะร่างที่แนบชนิดทั้งหอมกรุ่นและนุ่มนิ่ม ทั้งเจ้าตัวยังรู้ดีว่าต้องปลุกเร้าตนเช่นไร นานวันที่ได้ร่วมรัก เอินเอินสั่งสมประสบการณ์มาอย่างโชกโชน เขากระตุ้นนาง นางก็กระตุ้นกลับไม่แพ้กัน หากนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มยิ่งพอใจในคนรักของตน เพราะหญิงสาวเร่าร้อนได้ถึงเพียงนี้ก็เพื่อ
ณ ศาลาริมสระน้ำตำหนักเทียนหลันอีกหมื่นปีต่อมาปลายนิ้วเรียวงามกรีดไปตามเส้นสายบรรเลงพิณตามที่ผู้เป็นเจ้าของตำหนักชี้แนะอย่างช้าๆ ด้วยความตั้งใจ ดวงหน้างามมีความจริงจังจนคิ้วขมวดมุ่น ริมฝีปากอิ่มเม้มจดจ่อร่างสูงใหญ่ที่เพิ่งก้าวเข้ามาหยุดยืนกอดอกพิงต้นไม้ใหญ่ห่างออกมา ทอดสายตามองภาพที่คล้ายตนเคยฝันถึง ทว่าในเวลานั้นเทพธดาจันทราผิงเชี่ยนบรรเลงพิณได้ไพเราะยิ่ง ขณะที่เอินเอินไม่เคยแตะต้องมาก่อน เวลานี้หญิงสาวกำลังเรียนรู้ในสิ่งที่มารดากับท่านยายของเขาสอนสั่งเอินเอินต้องฝึกฝนตนให้เหมาะสมกับที่กำลังจะเป็นสตรีที่เคียงข้างทายาทสวรรค์ ด้วยอีกไม่นานองค์จักรพรรดิสวรรค์จะแต่งตั้งเทียนเหวินขึ้นเป็นรัชทายาท เนื่องจากชายหนุ่มอุทิศตนในหน้าที่ของตนมาตลอดหมื่นปีมานี้จนกระทั่งได้ตำแหน่งหนึ่งในแม่ทัพสวรรค์ นับว่าเป็นเวลาเหมาะสมแล้วที่ชายหนุ่มจะเข้าไปช่วยงานราชกิจของเทพสงครามกับองค์จักรพรรดิเต็มตัวและงานอภิเษกขององค์รัชทายาทก็จะตามมา แม้จะไม่เร็ววันนี้ก็ตาม เพราะเอินเอินสำเร็จเซียนขั้นสูงแล้ว หญิงสาวจึงฝึกหัดสิ่งที่สตรีชาววังสรรค์ต้องสามารถทำได้ไปพลางยืนมองจนพอใจแล้วเทียนเหวินก็ก้าวเข้าไปที่ศาลา และผู้
“ข้าต้องการเจ้า”ชุดบางลอยเหนือผิวน้ำแทบไม่ปกปิดร่างกายงดงาม เทียน เหวินเองก็ใส่เพียงกางเกงตัวเดียว สองเรือนกายแทบเปลือยเปล่า เมื่อโอบกอดเสียดสี ความรุ่มร้อนย่อมก่อเกิด แรงบดเคล้าจากตัวตนเบียดสะโพกอวบ มือกร้านกระด้างวนเวียนเหนือเกสรอ่อนบางทำเอาร่างอรชรอ่อนระทวยแทบทรงกายไม่ได้เพียงอึดใจต่อมาแรงแทรกลึกก็ล่วงล้ำอย่างรวดเร็ว เสียงหวานครางแผ่วอย่างหมดแรงต้านทาน จิตใจหญิงสาวหวั่นไหวไปพร้อมกับหัวใจที่เต้นระทึกกับสถานที่อันแปลกใหม่ ได้เพียงรับกายแกร่งไว้ยามอีกฝ่ายส่งตัวตนดุนดันแนบสะโพก สองมือหนาย้ายมาโอบตระกองปทุมถันคู่งามราวโอบร่างเล็กไว้กลายๆทว่ายิ่งเบียดเร้าหญิงสาวยิ่งขาอ่อนแรงจนตัวลอย ชายหนุ่มจึงกอดเอวเล็กไว้แล้วพาไปยืนชิดโขดหินก้อนใหญ่ ให้เจ้าตัวได้เกาะพยุงกาย ก่อนปลายนิ้วแกร่งจะกลับมาระรานเกสรดอกไม้แสนงาม บดขยี้พร้อมแรงรักจากสะโพกหนาภายในกายเอินเอินกำลังถูกพายุอารมณ์ร้อนแรงบ้าคลั่งพัดโหมอยู่ภายใน ความเสียวสยิวพุ่งสูงละลิ่วรวดเร็วจนกระตุกรุนแรงกะทันหัน“อื้อ”หญิงสาวครวญครางเสียงพร่าด้วยสุดจะทานทน เรือนร่างงามสั่นรัวพร้อมหอบหนัก เอนอิงพิงหลังกับแผ่นอกหนาขณะเดียวกันนั้นเทียนเหวินปลดชุ
สองร้อยปีในดินแดนมนุษย์ของเทียนเหวินกับเอินเอินผ่านไป ทว่าความหวานชื่นของคู่สามีภรรยากลับไม่ลดลง ทั้งสองดำรงชีวิตด้วยการลงไปขายของป่า และไม่ได้ต้องการทรัพย์สมบัติเงินทองมากไปกว่านี้ พอใจที่จะอยู่เพียงบนภูเขา ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบแต่การที่ลงไปในตัวเมืองก็จำต้องพานพบผู้คน ในบางครั้งความงดงามของเอินเอินก็เป็นปัญหา เมื่อขายผักผลไม้ป่าตามลำพัง ในยามที่เทียนเหวินไปซื้ออาหารหรือข้าวของบางอย่างเพราะเขาไม่ต้องการให้นางลำบากดอกไม้งามย่อมมีภมรเข้ามาดอมดม เอินเอินก็ย่อมมีบุรุษเข้ามาเกี้ยวพา“แม่นาง เจ้าจะลำบากอยู่กับสามีที่ยากจนไปไย นายท่านของข้ายินดีรับเจ้าเป็นอนุ พาไปอยู่ในจวนอย่างสุขสบาย รับรองว่าเจ้าไม่ต้องนั่งตากแดดขายของป่าทั้งวันให้เหนื่อยยากเช่นนี้”“ใช่ นายท่านของพวกข้าสามารถมอบให้เจ้าได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเครื่องประทินโฉม หรือชุดสวยงาม เจ้าเพียงแต่งเนื้อแต่งตัวให้งดงาม ยิ้มหวานรอปรนนิบัติพัดวียามนายท่านกลับมาที่จวนก็เพียงเท่านั้น”บางครั้งผู้ที่เข้ามาถามไถ่พูดคุยก็ไม่รู้ว่านางสามีแล้ว ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไปนาน หากก็มีบ้างที่รู้แก่ใจ ทว่ายังไม่วายตามตอแย ภูเขาที่เทียนเหวินกับเอินเอิน
“ข้าอยากแตะต้องเจ้า”“สุดแล้วแต่ท่านต้องการ ข้าไม่ได้ห้าม”บอกแล้วเอินเอินก็กลับมาจูบซ้ำเหนือริมฝีปากได้รูป ครั้งนี้ปลายลิ้นเล็กไล้เย้ายวนตามมาด้วย แน่นอนว่าชายหนุ่มย่อมต้องเปิดรับหญิงสาว ทั้งสองรวบรัดเกี่ยวกระหวัดปลายลิ้นอย่างเร่าร้อน ขณะที่มือหนาเริ่มเคลื่อนไล้ไปตามเนื้อตัวหญิงสาว สัดส่วนงดงามกับผิวเนียนน่าสัมผัสทำให้เขาไม่อาจอยู่นิ่งได้ฝ่ามือกระด้างไต่ข้างเอวบางกับสะโพกอวบ ส่วนอีกข้างเคล้าคลึงหน้าอกหน้าใจนุ่มหยุ่น เอินเอินเริ่มกายอ่อยระทวยกับความเร่าร้อนที่ตนเป็นฝ่ายจุดชนวน และชายหนุ่มสานต่ออย่างเร้าใจ หญิงสาวทรุดกายลงช้าๆ พร้อมมือบางก็ลูบไล้แผงอกหนาขณะริมฝีปากอิ่มขยับลงจูบคางแกร่ง แตะแผ่วไซ้ลำคอหนาและได้ยินเสียงเครางเข้มในลำคอเทียนเหวินปลายนิ้วเรียวเกลี่ยสะกดเหนือยอดอกที่แข็งเป็นไตของชายหนุ่ม ขณะที่เขายังบีบเคล้นหน้าอกตน มือบางอีกข้างวางยันต้นขาแกร่งเพื่อพยุงกาย โดยลืมคิดไปว่านั่นเป็นการกระทำสุดล่อแหลม ยิ่งทำให้เจ้าของร่างสูงใหญ่ถอนหายใจแรง ทว่าที่ทำเอาเขาต้องครางเสียงเข้มต่ำก็เพราะริมฝีปากนิ่มจูบเม้มยอดอกสีเข้ม“อืม”เหมือนเอินเอินจะค่อยๆ รับรู้ได้ว่าตนต้องทำอย่างไรให้ชายหนุ่มพ
หลังจากช่วยกันขนย้ายข้าวของมายังกระท่อม โดยที่เทียน เหวินยกของหนักเสียเป็นส่วนใหญ่จนเสร็จ ทั้งยังใจดีตักน้ำมาให้เอินเอินอาบในส่วนที่เขาล้อมไม้ไผ่กั้นแบ่งด้านหลัง แม้นางจะเกรงใจบอกว่าไปอาบที่น้ำตกเช่นเดิมได้ หากชายหนุ่มก็ยืนยัน“ข้าตั้งใจทำไว้ให้เจ้า...”ใบหน้าขาวคมขยับมาใกล้พร้อมส่งสายตาวาววามพร้อมเอ่ยเสียงกระเส่าทำเอาใจสาวหวิว“กับข้าลงอาบในถังด้วยกัน”หลังปลายนิ้วแกร่งไล้แก้มนวล ทว่าสีหน้าแววตากลับเปลี่ยนไปเป็นแสนเสียดายแทน“แต่วันนี้เจ้าอาบคนเดียวเถิด ข้ายังต้องไปหาอาหารด้วย คงอาบจากที่น้ำตกมาเลย”เพราะวันนี้ค่อนข้างวุ่นวาย เร่งมือสร้างกระท่อมเสร็จ พาเอินเอินมาที่นี่แล้วก็ขนของ ชายหนุ่มจึงยังไม่ได้จัดการเรื่องอาหารเย็น“ลำบากท่านแล้ว หรือข้าไปช่วยท่านดีกว่า”“อย่าเลย เจ้าเหนื่อยขนของขึ้นลงทางลาดชันหลายรอบแล้ว อาบน้ำพักให้สบายใจเถิด”“ท่านเหนื่อยกว่าข้าเสียอีก”“เถิดน่า หากข้าอยู่ด้วยเจ้าคงไม่ได้อาบน้ำเสร็จง่ายๆ”สุดท้ายเอินเอินก็เชื่อฟัง เพราะหาคำมาแย้งไม่ได้ จำต้องพยักหน้ารับอย่างเขินอายค่ำคืนมาเยือนหลังจากทานอาหารมื้อเย็น เทียนเหวินก็นอนเอนกายรับลมเย็นที่ระเบียง สองมือยกขึ้นรองใ