แอบรักเธออีกสักที
ตอนที่ 3
สิบห้านาทีต่อมา
เพราะตอนนี้เป็นเวลาช่วงสาย หน้าตลาดยังคงมีคนเดินจับจ่ายซื้อของกันคึกคัก รถราหน้าสถานีรถไฟก็ยังคงหนาตา ฉันจอดจักรยานลงหน้าร้านข้าวมันไก่ที่มีป้ายตัวเบ้อเร่อเขียนกำกับเอาไว้ และวงเล็บพ่วงท้ายด้วยว่ารับจัดเลี้ยงโต๊ะจีน
แม้ว่าอำเภอเราจะไม่ใหญ่มาก แต่เพราะนี่เป็นร้านข้าวมันไก่เจ้าดังเลื่องชื่อของจังหวัดทำให้มีคนมาเข้าคิวซื้อกันให้ควั่ก ทั้งยังมีกระบะสองสามคันจอดเทียบฟุตพาตอยู่หน้าร้าน ลูกจ้างร้านหลายคนกำลังกุลีกุจอขนเอาถุงใส่กล่องข้าวเหมือนกันกับที่พี่เหนือแวะเอาไปให้ที่บ้านเมื่อชั่วโมงก่อนขึ้นท้ายกระบะพวกนั้น
นอกจากร้านข้าวมันไก่ขนาดใหญ่แล้ว ถัดออกไปข้างกันก็มีร้านขายน้ำเต้าหู ถัดออกไปอีกก็มีร้านขายโจ๊ก รวมถึงร้านรวงที่ตั้งแผงขายอาหารอยู่ริมฟุตพาต และถัดไปอีกก็คือถนนตัดเข้าตลาดสด
ฝั่งตรงข้ามกับตลาดเป็นสถานีรถไฟประจำอำเภอ ขบวนรถกำลังเคลื่อนตัวออกจากหน้าสถานี พร้อมกับเสียงประกาศออกลำโพงว่ารถไฟกำลังจะเคลื่อนขบวนไปยังสถานีถัดไปดังก้องได้ยินมาถึงตรงนี้
เอาเป็นว่าแถวนี้เรียกได้ว่าเจริญพอสมควรเทียบกับที่อื่น ๆ ในอำเภอเดียวกัน
ฉันจอดจักรยานทิ้งไว้หน้าร้านเดินเข้าไปกวาดตามองหาคนที่ต้องการจะคุยด้วย และมันก็จริงอย่างที่พี่ปราณบอก นอกจากลูกค้าที่กำลังนั่งกินข้าวกันเนืองแน่น ที่โต๊ะตัวหนึ่งมีคนกำลังนั่งกดเครื่องคิดเลขด้วยท่าทางเป็นงานเป็นการ เงยหน้าขึ้นมาสั่งงานเด็กร้านบ้างเป็นบางที
รายล้อมร่างสูงที่นั่งทำงานอยู่ มีสาว ๆ สองสามคนกำลังพากันโปรยยิ้มให้เถ้าแก่ร้านข้าวมันไก่ไม่ห่าง คนที่ว่าเองก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มกว้าง พูดคุยตอบโต้กับบรรดาสาว ๆ บ้างเป็นบางที
สาว ๆ ที่ว่าก็คุ้นหน้าคุ้นตาดี ถึงจะไม่ได้เจอมานานแต่ฉันก็จำหน้าแต่ละคนได้
มด กับกระถินคือเพื่อนสมัยเรียนของฉันเอง เราเรียนชั้นเดียวกัน แค่เรียนคนละห้อง มดน่าจะทำงานอยู่ร้านเสริมสวยแถวนี้สังเกตได้จากการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด รวมถึงที่ข้อแขนมีไดร์เป่าผมอันใหญ่กอดไว้อยู่ ส่วนกระถินในชุดเอี๊ยมสีแดงเป็นลูกสาวของเฮียเล็กร้านขายน้ำเต้าหู้ข้าง ๆ ที่บอกไปในตอนแรก
แม้ใจจะแอบกังวลขึ้นมาถึงขั้นเกือบจะหันหลังกลับแต่หนึ่งในสองคนนั้นคงจะบังเอิญหันมาเห็นฉันเข้าพอดี เสียงเล็กแหลมบาดแก้วหูที่ไม่ได้ยินมานานร้องตะโกนขึ้น เล่นเอาลูกค้าที่กำลังนั่งกินข้าวพากันหันมองมา
“ปาย!!!”
“นั่นปายจริง ๆ ด้วย!”
“ปาย!”
คงไม่ทันแล้วที่คิดจะหันหลังกลับ เพราะเสียงวี้ดว้ายของเพื่อนดังต่อเนื่องไม่หยุด ฉันหันกลับไปมองก่อนจะต้องเจอกับสายตาของใครต่อใครที่ยังคงจ้องมองมา และนาทีนี้คนทั้งร้านคงรู้แน่ว่าฉันชื่อปาย
ฉันทำใจเดินเข้าไปทักทายเพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนอย่างเลี่ยงไม่ได้ มดเอาแต่กรี๊ดกร๊าดไม่หยุด ในขณะที่กระถินรีบเข้ามาจับแขนฉันเขย่าอย่างดีใจ
“โอ๊ย! ไม่ได้เจอกันตั้งนาน!”
“ไม่คิดจะกลับมาบ้านบ้างเลย เพื่อน ๆ ถามถึงตลอดเลยนะ”
“แล้วนี่กลับมานานหรือยัง?”
“ปายสวยขึ้นนะเนี่ย”
“แล้วพี่ปราณไม่มาด้วยเหรอ?”
“จะ… ใจเย็น เราเพิ่งกลับมาเมื่อวาน”
ฉันยกมือขึ้นห้ามแทบไม่ทันเมื่อสองคนเอาแต่รัวคำถามเข้าใส่ไม่หยุด มดถึงกับวางไดร์เป่าผมที่ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าถือมาด้วยทำไมลงบนโต๊ะ กระถินเองก็ทำตาโตยื่นหน้าเข้ามากวาดสายตามองใบหน้ากันในระยะประชิด
ทั้งสองเป็นคนเสียงดัง และวี้ดว้ายกระตู้วู้มาแต่ไหนแต่ไรฉันถึงเกือบจะถอดใจกลับไปตั้งแต่เมื่อครู่เพราะไม่อยากจะเป็นจุดรวมสายตา แต่ตอนนี้จำต้องมายืนตอบคำถามเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานานแทน
คนอื่นหันกลับไปกินข้าวต่อแล้ว คงจะชินกับเสียงแหลม ๆ ของสองสาวที่น่าจะประจำการอยู่แถว ๆ นี้เป็นปกติ แต่ก็มีอยู่คนที่กำลังมองมา
พี่เหนือที่เมื่อครู่ก่อนยังนั่งก้มหน้าก้มตากดเครื่องคิดเลขตอนนี้กำลังยิ้มหล่อทอดสายตามองกันอยู่ เสียงกวนเอ่ยทักขึ้นเป็นครั้งที่สองของวัน
“ไง… ไหนว่าลดความอ้วน?”
“ปายไม่ได้จะมากินข้าว”
ฉันตอบกลับแทบจะในทันที และแน่นอนว่าการสนทนานี้มีอีกสองคนกำลังตะแคงคอฟังอยู่ด้วย ก่อนที่ทั้งคู่จะเอ่ยแทรกขึ้นแทบจะพร้อมกัน
“แอบไปเจอกันมาเมื่อไร? ทำไมพี่เหนือไม่เห็นบอกมดเลย!”
“นั่นสิ พี่เหนือไปบ้านปายมาเหรอ?”
“แล้วทำไมพี่ต้องบอกด้วยวะเนี่ย?” คนโดนยิงคำถามใส่หัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ใส่ใจ
“อาถิน! ลื้อกลับมาช่วยงานอั๊วสักทีซี มัวแต่ไปคุยกับอาเหนืออีอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน ไอ้ลูกคนนี้”
เสียงล้งเล้งที่ฉันจำได้ดีว่าเป็นเฮียเล็กเจ้าของร้านน้ำเต้าหู้ตะโกนเรียกลูกสาวเสียงดังเพราะมีลูกค้าหลายคนกำลังเข้าคิวซื้อน้ำเต้าหู้อยู่ คนถูกเรียกทำหน้างอแต่ถึงอย่างนั้นก็รีบกระแทกเท้าเดินกลับไปช่วยงานคนเป็นพ่อ พร้อมกันก็ส่งเสียงตอบแบบที่ได้ยินกันทั้งบาง
“ป๊าก็บ่นอยู่ได้ทุกวัน! ไม่อยากได้ลูกเขยหรือยังไง!”
“เชอะ! ทำเหมือนว่าจะได้เป็นเมียพี่เหนืองั้นแหละ” มดเองก็ทำหน้าบูดขึ้นมากะทันหัน ก่อนจะหันมากระซิบบอกฉัน “พี่เหนือฉันจอง”
ฉันทำได้แค่ยิ้มให้เท่านั้น ใจไม่ได้คิดอะไร สาว ๆ ก็จองพี่เหนือกันทั้งอำเภอนั่นแหละ จังหวะเดียวกันลูกจ้างร้านก็เอาถุงใส่ข้าวมาส่งให้คนข้าง ๆ พอดี มดจ่ายเงินแล้วรีบคว้าเอาถุงข้าวนั้นไว้ โดยไม่ลืมหยิบไดร์เป่าผมมาถือไว้อีกรอบ
“ไปทำงานก่อน ฉันทำงานอยู่ร้านเสริมสวยฝั่งสถานีตรงนู้น อยากทำผมก็แวะไปนะ ไม่ก็มาเจอที่นี่ก็ได้มาทุกวัน” ประโยคหลังเพื่อนกระซิบเข้าที่ข้างหูสีหน้ากรุ้มกริ่ม ทว่าอีกคนกลับได้ยินด้วย
“ไม่ต้องมาทุกวันก็ได้” พี่เหนือพูดเสียงกลั้วหัวเราะ เล่นเอาคนบอกมาทุกวันหันไปทำตาโตใส่
“พี่ไล่ลูกค้าแบบนี้ได้ยังไง?”
“ไล่บ้าอะไร? มาเช้ากลางวันเย็นไม่เบื่อบ้างหรือไง?”
“เบื่ออะไร… นี่ขนาดมาสามเวลาหลังอาหารพี่ยังไม่ใจอ่อนเลย”
“ไปทำงานไป เดี๋ยวเจ๊แดงก็โทรมาตามที่พี่อีก”
“ก็ฟีลตามเมียไง”
“เมียบ้าไรมด?”
“ไปแล้ว เดี๋ยวโดนหักตัง”
มดเดินจากไปอีกคนทิ้งไว้แค่เสียงหัวเราะของคนที่บังเอิญได้ยินบทสนทนาชวนหัวเมื่อครู่ คราวนี้พี่เหนือหันมามองฉันแทน คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากถาม
“ไม่กินข้าวแล้วมาทำไร?”
“พี่ปราณบอกว่าพี่กำลังหาพี่เลี้ยงเด็ก”
ฉันเอ่ยไปตรง ๆ ทิ้งตัวนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้าม พี่เหนือพยักหน้ารับรู้ทำท่าเหมือนคิดอะไรสักอย่างจนฉันแอบใจแป้วขึ้นมา กลัวก็แต่เขาจะรับคนอื่นทำไปเสียแล้ว ยิ่งได้เห็นว่าสองสาวเมื่อครู่รุกหนักแค่ไหนก็ยิ่งใจเสีย
บางทีอาจจะเป็นมดหรือกระถินที่ได้งานที่ว่าไป
“หรือพี่รับคนอื่นแล้ว?” ฉันอึกอักถามไม่เต็มเสียง แต่คนว่าจ้างกลับหัวเราะออกมาราวกับจะรู้ว่าฉันกำลังคิดถึงใคร
“สองคนนั้นไม่ทำหรอก”
“ทำไมอะ? ก็จีบพี่ทั้งสองคนนี่”
“พี่ชวนแล้ว”
“ฮะ?”
“สองคนนั้นบอกว่าพี่ใช้เวลาอยู่ที่ร้านมากกว่า”
“อ๋อ”
ฉันพยักหน้าเข้าใจได้ในทันที ถ้าเกิดรับงานที่ว่าก็จะเจอหน้าพี่เหนือแค่แป๊บเดียวน่ะสิ แต่ถ้าไม่ก็จะได้มาหาที่ร้านเช้ากลางวันเย็นแบบที่มดว่าเมื่อครู่ไง
“แล้วพี่ได้คนหรือยัง?”
“จริง ๆ ก็มีคนมาติดต่อหลายคนอยู่”
คนตรงหน้าหรี่ตาเล็กน้อยสีหน้าใช้ความคิด เพราะกลัวว่าคนอื่นจะได้งานไปฉันเลยอดไม่ได้ที่จะต้องพูดอะไรบางอย่างออกมา
“ก็ถ้าพี่หาคนไม่ได้จริง ๆ ให้ปายช่วยเลี้ยงก็ได้”
“…” ดวงหน้าหล่อหันมองกลับมา สีหน้าแปลกอกแปลกใจที่ฉันเสนอตัว
“และปาย… ไม่เอาตังเลยด้วย”
“…”
และพี่เหนือก็ยิ่งทำสีหน้าประหลาดใจหนักขึ้นไปอีกเมื่อเจอข้อเสนอสุดพิเศษที่ฉันเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าตัวเองจะหลุดพูดออกไป
พอคิดขึ้นมาได้ว่ามันดูจงใจมากเกินไปหน่อยฉันเลยขยับตัวลุกขึ้นยืน พยายามแสดงออกเหมือนว่าไม่ได้คิดอะไร
“พอดีปายว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ”
“รีบปั่นจักรยานมานี่เพราะจะมาบอกแค่นี้?”
“ปายไม่ได้รีบเลย แต่โทรมาแล้วพี่ไม่รับ” ฉันอึกอักตอบเบนสายตาหนี ชี้ไม้ชี้มือไปทางจักรยานที่ว่าซึ่งจอดอยู่นอกร้าน “ร้านพี่ก็อยู่แค่นี้เอง ปายอยากออกกำลังกายเลยปั่นมา”
“ไม่รีบ…”
“อือ”
“แต่ออกมาทั้งชุดนอนเนี่ยเหรอ?”
“…”
คราวนี้ฉันก็ถึงกับคิดหาคำแก้ตัวไม่ทัน หลุบตาลงมองสภาพตัวเองที่ตอนนี้ก็อยู่ในชุดนอนจริง ๆ เสียงหัวเราะของพี่เหนือยิ่งทำให้ไม่กล้าเงยหน้าสบตา แต่ก็เห็นได้จากทางหางตาว่าเขาหยัดตัวลุกขึ้นยืน ส่งเสียงตะโกนเรียกใครสักคน
“วีระ!”
“ครับลูกพี่!”
ลูกจ้างร้านคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาท่าทางเป็นงานเป็นการ แม้อายุน่าจะมากกว่าเจ้าของร้านแต่กลับเรียกพี่เหนือว่าลูกพี่ ฉันหันกลับไปมองก็เห็นว่าเขากำลังสั่งงานเป็นจริงเป็นจัง ว่าใครจะเข้ามารับของกี่โมง หรือว่าต้องออกไปส่งของที่ไหนกี่โมงบ้าง
เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีก็สั่งงานยาวเป็นหางว่าวเสร็จ สงสารก็แต่วีระที่จดรายละเอียดแทบไม่ทัน พี่เหนือส่งต่อเครื่องคิดเลขให้วีระ เดินนำออกจากร้านไปก่อนจะหันมาพยักหน้าเรียกฉันที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“ไปกัน”
“ไปไหน?”
“ไปรู้จักหลานพี่ไง”
“สรุปว่า…”
“อือฮึ เราได้งาน”
เขาหันกลับไปแล้ว จังหวะถัดมาก็คร่อมมอเตอร์ไซค์คันเดิม หันมาเห็นว่าฉันยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมก็พยักหน้าเรียก
“เอ้า ไม่ไปรึไง? หรือจะปั่นจักรยานตามไป?”
“ปะ… ปายปั่นตามไป”
“เค”
พี่เหนือบิดรถออกไปแล้ว ในขณะที่ฉันยังต้องเก็บสติสตางค์ที่หล่นเรี่ยราดเพราะความตกใจของตัวเองอยู่อีกครู่ใหญ่ ก่อนจะวิ่งไปกระโดดคร่อมจักรยานถีบปั่นตามเขาไปอย่างรีบเร่ง
แสงแดดช่วงสายของวันแผดเผารุนแรงอย่างกับอยู่ในนรกก็ไม่ปาน แต่ฉันกลับคลี่ยิ้มกว้างออกมาได้โดยที่ไม่รู้ตัว
เหนือรักปายตอนพิเศษ 4 ปัจจุบัน เสียงหัวเราะของคนหลายคนดังแว่วมาให้ได้ยิน ตอนที่ผมกำลังเดินไปยังเวิร์กช็อปเล็ก ๆ ข้างกันกับตัวบ้านของผมเองที่ ๆ ปายตั้งใจจะเปิดสอนศิลปะให้กับคนที่สนใจ และก็ได้รับการตอบรับดีพอสมควร เพราะในตัวอำเภอไม่มีที่ไหนเปิดสอนศิลปะเป็นจริงเป็นจัง หากจะเรียนก็ต้องเข้าเมืองไปไกลกว่าสองชั่วโมง ลูกค้าส่วนมากก็เป็นเด็กนักเรียนที่พ่อแม่สนใจจะสนับสนุนลูก ๆ ให้เอาดีทางด้านนี้ แต่ก็มีผู้ใหญ่หลายคนอยู่เหมือนกันที่ให้ความสนใจมาลงเรียน บางกลุ่มก็มาเรียนบ้างเป็นพัก ๆ บางคนก็ตั้งใจจะเรียนระยะยาวแม้งานที่ว่านี้จะไม่ได้ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่คนที่ตั้งใจทำก็ดูจะพอใจที่ทุกอย่างไปได้สวยอย่างที่คิด วันนี้เป็นเย็นวันธรรมดาคนเลยไม่เยอะเท่าไรนัก สังเกตได้จากรองเท้าที่ถอดเรียงเอาไว้บนชั้นวางรองเท้าด้านนอก หากเป็นวันเสาร์อาทิตย์คนก็จะเยอะกว่านี้ เสียงกริ่งประตูดังขึ้นตอนที่ผมผลักบานประตูเดินเข้าไป คนหลายคนด้านในหันมองมา เด็กนักเรียนผู้หญิงหลายคนกำลังนั่งจับกลุ่มวาดภาพสีน้ำ ตรงหน้าของแต่ละคนมีกระดานวาดภาพวางบนขาตั้งไม้ทรงสูง ผมได้แต่
เหนือรักปายตอนพิเศษ 3@ โรงเรียน “กูอยากถือป้าย” “ก็ถ้าไม่ใช่มึงเป็นดรัมฯ แล้วจะให้ใครเป็น?” “กูขี้เกียจซ้อม ขอถือป้ายแทนได้ปะ?” “ไอ้ฝ้ายก็จะนั่งเสลี่ยง มึงก็อยากจะถือป้าย ไม่มีใครอยากเป็นดรัมฯ บ้างเลยหรือยังไง?” “…” ผมได้แต่นั่งมองเพื่อนผู้หญิงโต้กันไปโต้กันมาเรื่องการเตรียมงานกีฬาสีของโรงเรียนที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ขนาดว่านั่งเฉย ๆ ไม่ออกความเห็นอะไร สายตาคนอื่นก็พากันหันมากดดัน ราวกับจะให้ผมเป็นคนออกความเห็นว่าใครควรจะเป็นดรัมเมเยอร์เสียอย่างนั้น “อะไร? กูจะรู้ไหมเนี่ย? กูผู้ชาย” “มึงเป็นประธานไงเหนือ และนี่ไม่มีใครอยากเป็นเลยสักคน ดรัมฯ ไม้แรกเลยนะเว้ย กูละงงจริง ๆ”ไอ้จ๋าเกาหัวแกรก ๆ สีหน้าคิดไม่ตก สายตากดดันเลื่อนมองกลับไปยังคิมซึ่งนั่งกอดอกอยู่บนโต๊ะเรียนอีกครั้ง คนถูกมองพ่นลมหายใจเสียงดังพลางก็บ่นกระปอดกระแปด “ก็กูอยากถือป้าย มึงก็เป็นดรัมฯ เองสิ” “ลดน้ำหนักให้ได้สักสิบห้ากิโลฯ กูจะเป็นให้” คนที่เพื่อนปัดภาระให้เ
เหนือรักปายตอนพิเศษ 2@ โรงเรียน วันนี้เป็นอีกครั้งที่ใต้โต๊ะเรียนของผมมีคนเอาจดหมายมาสอดไว้เหมือนกับหลายวันที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนเอาของมาส่งให้ หากแต่ไม่มีใครใช้วิธีส่งจดหมายแบบนี้ ส่วนมากเป็นขนมกับของขวัญเสียมากกว่าก็มีอยู่แค่คนเดียวที่ใช้วิธีส่งจดหมายมา และแค่เห็นซองจดหมายก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นของคน ๆ เดียวกัน คนอื่นรอบตัวผมในขณะนี้ยังคงตั้งหน้าตั้งตาลอกการบ้านกันเหมือนอย่างเคยตอนที่ผมดึงเอากระดาษโน้ตลายกระต่ายสีชมพูออกจากซอง ไล่สายตาอ่านสิ่งที่เขียนอยู่บนแผ่นกระดาษอันที่จริงก็ไม่ได้ต่างไปจากทุกฉบับที่ผ่านมา คนส่งยังคงเขียนทำนองว่า วันนี้แอบมองผมตอนทำนู่นทำนี่ พรรณนาว่าตัวผมหล่อแค่ไหน ไม่ก็ประเภทที่ว่าเมื่อคืนฝันถึงผมอะไรประมาณนั้นทุก ๆ ย่อหน้าจะมีสติกเกอร์รูปหัวใจแปะอยู่ ท้ายแผ่นจะมีรูปการ์ตูนที่วาดไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน อย่างวันนี้ก็เป็นผู้หญิงกำลังยืนเกาะแขนผู้ชายที่ก็คิดว่าคงแทนตัวผมเอง ผมได้แต่ระบายรอยยิ้มออกมา เพราะต้นทางคนส่งดูท่าจะตั้งใจมาก ไม่ว่าผมจะมาโรงเรียนเช้าแค่ไหน ก็จะเห็นว่ามีจดหมายสอดที่ใต้โต
เหนือรักปายตอนพิเศษ 1 สิบปีก่อน@ เหนือ “กูถึงแล้ว” ‘จอดรออยู่หลังสถานี’ “เค” ปลายสายวางไปแล้ว กระเป๋าเป้ใบใหญ่ถูกแบกขึ้นบ่าอีกรอบหลังจากถูกวางทิ้งไว้เมื่อนาทีก่อนเพราะผมเดินไปซื้อน้ำที่ร้านค้าหน้าสถานีรถไฟ อากาศประเทศไทยตอนกลางวันร้อนตับแตกแบบนี้ อะไรก็ไม่ดีเท่าได้กินน้ำแดงเย็น ๆ สักถุง หลังจากไปอยู่บ้านป้ามาตลอดปิดเทอมฤดูร้อนตอนนี้ก็ได้ฤกษ์กลับบ้านตัวเองเสียที เนื่องจากโรงเรียนใกล้เปิดเทอมแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงต้องกลับไปเรียนเหมือนอย่างเคย และคงเป็นปีสุดท้ายที่จะได้ใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียน เพราะปีนี้ผมกำลังจะขึ้นชั้นม.หก “ไปบ้านกูก่อนแล้วกัน” แค่เจอหน้ากันไอ้ปราณเพื่อนสนิทที่เอามอเตอร์ไซค์มาจอดรอรับก็เอ่ยบอก พลางเอาขาตั้งรถขึ้น ผมไม่ทันได้พูดอะไรมันก็เตรียมจะออกรถ สุดท้ายเลยต้องรีบคร่อมขาซ้อนท้ายมัน ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากถามเพื่อนว่าทำไมต้องไปบ้านมันก่อน เพราะถึงยังไงบ้านที่ว่าก็เป็นทางผ่านที่จะไปบ้านผมอยู่แล้ว สายลมพัดปะทะเข้าหาใบหน้าไม่ได้ช่วยให้คลายร้อนลงเท่า
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 49 หลายวันต่อมา หลังจากงานแต่งผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เราทุกคนก็กลับมาใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุข ฉันยังคงไปเลี้ยงจ๋อมเหมือนทุกวัน พี่เหนือก็ออกไปดูแลร้านของเขาเหมือนทุกที พี่ปราณก็ยังคงช่วยดูแลกิจการของที่บ้าน ส่วนจ๋อมก็กำลังเตรียมสอบปลายภาคของระดับชั้นประถมศึกษา เพราะงานวันแต่งเราเชิญคนรู้จักมาเยอะมาก และแขกหลายคนก็เป็นอาจารย์ที่โรงเรียนเก่าของเราทั้งคู่รวมถึงรุ่นพี่รุ่นน้องชั้นปีอื่น ๆ ช่วงท้ายของงานทางอาจารย์เลยมีการขอแรงจากศิษย์เก่าเข้าไปช่วยจัดการเรื่องการย้ายโต๊ะนักเรียนแบบเก่าไปเก็บไว้ที่โกดังหลังโรงเรียนเพื่อที่จะรับโต๊ะเขียนแบบเลกเชอร์เข้ามาแทน แน่นอนว่าฉันกับพี่เหนือเองก็อาสาจะไปช่วย พวกเพื่อน ๆ ของเขา และเพื่อนสมัยเรียนของฉันก็พากันมาร่วมแรงร่วมใจกันในวันนี้ด้วยเหมือนกัน “ดีไหม?” “อะไร…” “ก็แกกับพี่เหนือไง ใกล้ได้ลูกรึยัง?” “บ้า…” “อย่ามาเขินหน่อยเลย เห็นว่าลุงหมานอยากมีหลานให้อุ้มไว ๆ” “ก็กำลังช่วยกันทำอยู่” “โอ๊ย! ไม่น่าถามเลยจริง
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 48 สองชั่วโมงต่อมา หลังจากที่เดินไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่โต๊ะนู้นโต๊ะนี้จนเสร็จ ทุกคนก็ทานอาหารกันจนอิ่มหนำ ตอนนี้ก็เข้าสู่ช่วงเปิด VTR ของคู่บ่าวสาวที่พี่ปราณเป็นคนเสนอตัวจัดเตรียมให้เอง ฉันกับพี่เหนือได้แต่ยืนกลั้นขำกันอยู่บนเวทีเมื่อแต่ละรูปที่คนเป็นพี่เลือกมามันช่างน่าขำ ตั้งแต่รูปของเราสมัยยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ข้ามมาสมัยผมของฉันยังสั้นเท่าติ่งหู และตัดมาที่ภาพสมัยมัธยมปลายที่เริ่มจะดูดีขึ้นมาหน่อย ช่างต่างจากคนเป็นเจ้าบ่าวที่หน้าตาดีมาตั้งแต่เด็กแบบที่คงไม่เคยพบเจอยุคมืดของตัวเองมาก่อน วิดีโอเล่นผ่านไปเรื่อย ๆ จนเข้าสู่รูปพรีเวดดิ้งของเราทั้งคู่ ที่ออกจะหวานเกินไปเสียหน่อย ทุกรูปพี่เหนือจะมองกันด้วยสายตาแบบที่ทำเอาหัวใจละลาย บรรดาสาว ๆ ในงานพากันกรี๊ดกร๊าดวี้ดว้ายกันไม่หยุดกับสายตาประเภทนั้นแม้จะเป็นเพียงภาพถ่ายก็ตาม และตอนนี้เองที่พี่เหนือเลื่อนมือมากุมประสานเข้ากันกับมือของฉัน สายตาที่มองมาอย่างสื่อความหมายทำเอาใจเต้นแรง แม้ว่าเราจะอยู่ท่ามกลางคนหลายร้อยคนฉันก็ไม่อาจห้ามจังหวะหัวใจให้เต้นช้าลงได้เลย