แอบรักเธออีกสักที
ตอนที่ 2
เพราะเขาไปแล้วฉันถึงยกยิ้มขึ้นมาได้ เป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงของพี่ปราณดังมาจากในบ้านพอหันมองไปก็พบว่าคนเป็นพี่อยู่ในชุดลำลองเตรียมจะออกไปข้างนอก พี่คว้าเอาหมวกแก็ปมาสวม นิ้วมือหมุนควงกุญแจรถเดินออกมา
พี่ปราณเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบเก้าเท่ากันกับพี่เหนือทั้งยังเป็นเพื่อนซี้กันตั้งแต่เด็ก แถมหน้าตายังหล่อเหลาพอ ๆ กัน สมัยเรียนสองคนนี้เป็นหนุ่มหล่อประจำโรงเรียน อันที่จริงก็เรียกได้ว่าหล่อประจำอำเภอเลยดีกว่า และยิ่งโตแต่ละคนก็ยิ่งดูดี
“มันไปแล้วเหรอ?” พี่ปราณเดินมาถึงตัวพอดี พร้อมกันก็คว้าเอาถุงข้าวมันไก่ไปถือไว้เอง
“พี่เหนือมาส่งแบบนี้ทุกวันเหรอ?” ฉันเอ่ยปากถามทันที คนถูกถามยักไหล่ก่อนจะเอ่ยตอบ ทั้งพยายามจะแย่งน้ำเต้าหู้ไปด้วย
“มันก็มาเองบ้าง ให้เด็กที่ร้านมาบ้าง”
“นี่ของปาย” ฉันดึงเอาถุงน้ำเต้าหู้คืนมาพร้อมซ่อนมันไว้ด้านหลัง
“ไอ้เหนือซื้อมาให้ว่างั้น?” พี่ปราณยกยิ้มเล็กน้อย แล้วถอนหายใจเสียงดัง “อยู่มาตั้งกี่ปีพี่ไม่เห็นเคยได้กิน”
“พี่เหนือคงจะเห็นว่าปายเพิ่งกลับมา”
“อือฮึ”
“พี่จะเข้าสวนเหรอ?”
“เออ เอาข้าวไปเลี้ยงคนงานที่สวน”
“ปายไปด้วยได้ไหม?”
“ไม่ต้องหรอกวันนี้งานยุ่ง พักผ่อนอยู่บ้านไปก่อนพรุ่งนี้ค่อยไปแล้วกัน”
“อยากเจอพ่อกับแม่จะแย่อยู่แล้ว”
ฉันได้แต่ปั้นหน้าบึ้ง นึกถึงคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ไม่ได้เจอมานาน ครั้งสุดท้ายที่เจอกันก็คือตอนที่พวกท่านไปทำธุระที่กรุงเทพฯ และถึงตอนนี้ฉันกลับมาอยู่ที่บ้านแล้วแต่ก็ยังไม่ได้เจอเพราะเพิ่งจะลงเครื่องเมื่อคืนที่ผ่านมานี้เอง
“มีคนขอดูที่แถวนั้น แกเลยยังต้องอยู่ต่ออีกสองสามวัน” พี่ปราณบอกย้ำมาเป็นรอบที่สองนับจากเมื่อคืนที่ก็บอกมาแล้วรอบหนึ่ง
“ปายก็เลยอยากไปนี่ไง”
“พรุ่งนี้แล้วกัน”
“ก็ได้”
“สรุปว่าหยุดงานยาวเลย?”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น อันที่จริงปายไม่อยากหยุดด้วยซ้ำ แต่หาคนมาทำแทนพรีมยากจะตาย ช่วงนี้เลยว่าจะรับวาดรูปไปพลาง”
พี่ปราณพยักหน้าเข้าอกเข้าใจ แต่วินาทีถัดมาพี่ก็ยกมือขึ้นเกาหางคิ้วทำสีหน้าแปลก ๆ จะไปก็ไม่ไปเอาแต่ยืนมองกันอยู่อย่างนั้น จนฉันหมุนตัวจะเดินกลับเข้าบ้านคนตรงหน้าถึงได้เอ่ยออกมา
“พี่ก็รู้ว่าเราอยากพักผ่อนนะ แต่ว่าสนใจรับงานเสริมไหม?”
“งานเสริม?” ฉันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ใจไม่ศรัทธากับงานเสริมที่ว่า บ้านเราเราอยู่ในตัวอำเภอก็จริงแต่ก็ไม่ได้มีงานอะไรที่น่าสนใจจะให้ทำนัก
“ก็ถ้าว่าง สนใจเลี้ยงเด็กไหม?” พี่ปราณเอ่ยต่อไม่รอช้า พร้อมกันก็ปลดล็อกรถกระบะ เดินเอาถุงใส่ข้าวกล่องไปเก็บ
“หน้าอย่างปายเลี้ยงเด็กเหรอ?” ฉันแทบจะหัวเราะออกมาในทันที ถึงตัวคนเสนองานเองก็หลุดขำออกมาเหมือนกัน
“ไม่ได้เลี้ยงเป็นจริงเป็นจังขนาดนั้น ก็แค่ช่วงเย็นถึงหัวค่ำ”
“ไม่เอาหรอก ปายไม่เก่งเรื่องดูแลเด็ก”
“ไม่ฟังให้จบก่อน?”
“ฟังจบก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอก”
“หลานไอ้เหนือมัน”
“…”
ทั้งที่ทำปากดีบอกไปแบบนั้น แต่ประโยคถัดมาของพี่ปราณก็ทำให้ฉันถึงกับยิ้มค้าง ร่างสูงของพี่กระโดดขึ้นรถกระบะที่ล้อรถเต็มไปด้วยดินลูกรังเกรอะกรัง ประตูเหวี่ยงปิดลงพร้อมกับเสียงสตาร์ตรถดังขึ้น
พี่ปราณหันมามองกันอีกครั้งก่อนจะเอ่ยต่อ
“ตอนนี้พ่อแม่ไอ้เหนือแยกกันอยู่ ตัวมันอยู่บ้านคนเดียว แล้วล่าสุดลูกพี่ลูกน้องมันดันเอาหลานมาฝากให้เลี้ยงอีกคน อายุประมาณเจ็ดแปดขวบ ไม่น่าดื้อเท่าไรหรอกมั้ง”
“หลานพี่เหนือเหรอ?” แม้จะบอกว่าไม่สนใจไปในตอนแรก แต่ตอนนี้ฉันกลับคุมอาการอยากรู้อยากเห็นไว้แทบไม่ได้เลย
“หลานชาย”
“อืม…”
“มันกำลังหาคนไปดูแลอยู่ เพราะงานที่ร้านตอนเย็นค่อนข้างยุ่ง คงแค่ช่วงเย็น ถ้าเราสนใจลองไปถามมันดูแล้วกัน”
“…”
“แต่ถ้าไม่สนก็ไม่เป็นไร สาว ๆ จีบมันเยอะจะตาย วันสองวันนี้คงหาพี่เลี้ยงได้ไม่ยาก”
“…”
คำพูดของพี่ปราณทำให้ฉันถึงกับเม้มริมฝีปาก ในใจกำลังจินตนาการตามคำบอกเล่า คนเตรียมไปสวนไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่เคลื่อนรถห่างออกไปโดยไม่ได้บอกลา
ที่บอกว่าพี่เหนือคงจะหาพี่เลี้ยงเด็กได้ไม่ยากก็น่าจะจริงตามนั้น ฉันกล้าฟันธงเลยว่าตอนนี้เจ้าตัวก็ยังเป็นที่หมายปองของบรรดาสาว ๆ ในตัวอำเภอ แม้ในตอนแรกจะไม่สนใจแต่พอมีชื่อคนที่ว่าเข้ามาเกี่ยว ฉันกลับคิดหนักขึ้นมา
พี่ปราณออกไปสวนกว่าจะกลับก็คงมืดค่ำ แม้ว่าสวนทุเรียนกิจการของที่บ้านจะอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไร แต่บางทีเขาก็นอนที่นั่น กระทั่งพ่อกับแม่เองก็เหมือนกัน
นอกจากบ้านหลังนี้ที่อยู่ในละแวกตลาดซึ่งค่อนข้างจะเจริญ เราก็มีบ้านสวนอีกหลังอยู่ในสวนทุเรียน นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมฉันถึงยังไม่ได้เจอหน้าพวกท่านเลย
เดินกลับเข้ามาในบ้านก็เอาน้ำเต้าหู้ไปเทใส่แก้วใบเก่าที่เคยใช้กินประจำครั้งยังอยู่ที่นี่ ในบ้านไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก ต่อให้ไม่ได้กลับมานานแต่ทุกอย่างก็เหมือนเดิม กลับมาครั้งสุดท้ายคงเป็นตอนที่เรียนจบกระมัง
ฉันกลับขึ้นมาบนห้องนอน ปากก็เคี้ยวเม็ดแมงลักไปด้วย น้ำเต้าหู้ร้านเฮียเล็กยังรสชาติกลมกล่อมเหมือนเคย จากที่ว่าจะนอนต่อตอนนี้กลับเดินไปเดินมารอบห้อง ไล่นิ้วไปตามชั้นวางของในห้องนอนที่ได้รับการทำความสะอาดเป็นอย่างดีไม่มีฝุ่นเลยแม้แต่น้อย
แค่เห็นข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวที่ล้วนเคยผ่านการใช้งานมาแล้วทำให้ต้องยกยิ้มขึ้นมา กรอบรูปกับเพื่อนร่วมชั้นสมัยยังใส่คอซองแขวนเรียงกันอยู่ที่ผนังตรงโต๊ะเขียนหนังสือ หนังสือเก่าบางเล่มที่อ่านค้างเอาไว้เมื่อหลายปีก่อนวางซ้อนกันอยู่ที่เดิม
ไล่สายตามองอยู่ครู่ก็สะดุดตาเข้ากับอะไรบางอย่าง อะไรที่ถึงกับทำให้ต้องวางแก้วที่ถืออยู่ลง
ข้างกันกับชั้นวางของขนาดเล็กซึ่งสามารถตั้งบนโต๊ะได้ มีกล่องกระดาษเก่า ๆ กล่องหนึ่งแอบซ่อนอยู่ตรงนั้น ฉันดึงมันออกมาดูด้วยความรู้สึกคิดถึงเหลือประมาณ
เพราะเวลาผ่านมานานทำให้มันยิ่งดูเก่าขึ้นไปอีก แต่ก็ดีแล้วจะได้ไม่เป็นที่เตะตาหากมีใครมาพบเห็นเข้า
ด้านในกล่องขนาดกลางไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไปนัก เต็มไปด้วยซองจดหมาย ตราปั๊ม และปากกาลูกลื่นที่ป่านนี้หมึกคงจะเหือดแห้งไปหมดแล้ว
เก้าอี้ไม้แบบมีพนักพิงถูกเลื่อนออก พร้อมกันฉันก็หย่อนกายนั่งลงดึงเอากระดาษโน้ตลายกระต่ายสีชมพูออกมาดู มันยังเหลืออีกกว่าครึ่งที่ยังไม่ได้ถูกใช้ ซองจดหมายลายการ์ตูนพวกนี้ก็เหมือนกัน
ความทรงจำวัยนั้นย้อนกลับเข้ามาทักทายอีกครั้งราวกับเมื่อวานนี้นี่เองที่กำลังนั่งจรดปลายปากกาเขียนพร่ำเพ้อถึงผู้ชาย แบบที่เด็กสาวช่างฝันคนหนึ่งชอบที่จะทำ นั่งบิดตัวขัดเขินไปมากับอีแค่ได้บรรยายความรู้สึกถึงคนที่แอบชอบ
จินตนาการว่าระหว่างวันได้เจอกับคนคนนั้นที่ไหนบ้าง ถ้าวันไหนได้คุยกันก็จะมีเรื่องให้เขียนยาวหน่อย แต่ถึงวันไหนไม่ได้คุยก็เขียนยาวอยู่ดี แค่ได้บังเอิญสบตาแค่นั้นก็เขียนได้เป็นเรื่องเป็นราว
“หึ…”
ฉันได้แต่คลี่ยิ้มกว้างตอนดึงเอาซองจดหมาย กับกระดาษโน้ตที่ยังไม่ผ่านการใช้งานออกมาวางบนโต๊ะ ด้านล่างสุดก้นกล่องมีกระดาษโน้ตหลายใบที่แม้เวลาจะผ่านไปนานแต่หมึกที่อยู่บนกระดาษเหล่านั้นกลับยังคงชัดเจน
จดหมายหลายฉบับถูกส่งไปหาคนที่แอบชอบแม้จะไม่ได้ลงชื่อคนส่งแต่อย่างน้อยก็ได้ส่งอย่างที่ตั้งใจ ต่างจากกระดาษบางแผ่นที่ถูกเก็บซ่อนไว้ลึกถึงก้นกล่องนี่
แม้ว่าจะเขียนมันจนทั้งหน้าเต็มไปด้วยลายมือยึกยือ กระนั้นก็ไม่สามารถส่งไปได้ เพราะทุกแผ่นจะลงชื่อไว้ที่มุมขวาล่างว่า ‘ปาย’
จดหมายรักที่ส่งไม่ได้ระบุชื่อคนส่ง…
แต่จดหมายรักที่ระบุชื่อคนส่ง กลับไม่กล้าพอที่จะส่งไป…
ไม่รู้ว่าป่านนี้คนคนเดียวที่ได้รับ จะยังเก็บมันไว้ หรือไม่เคยสนใจมันเลย เขาอาจจะทิ้งจดหมายที่เต็มไปด้วยการพร่ำเพ้อพรรณนาของฉันไปหมดแล้วก็ได้
ก็น่าตลก… คนที่ว่าอยู่ห่างออกไปแค่ปลายจมูกนี้เอง…
พี่เหนือคงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนที่เคยคลั่งไคล้เขาสมัยเรียน อยู่ใกล้ตัวแค่นี้เอง แต่ใกล้แค่ไหนก็เหมือนจะยิ่งห่างออกไป ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งความทรงจำพวกนั้นจะกลายเป็นเรื่องเก่าไปแล้ว
เพราะเวลาผ่านไปทำให้ฉันหลงลืมความรู้สึกพวกนี้ไปแทบจะไม่เหลือ แต่การเจอหน้ากันแค่ไม่กี่นาทีเมื่อครู่ก่อน ทำให้จิตใจเหี่ยวเฉาที่เอาแต่เรียนกับทำงานกลับมากระตุกเต้นเป็นจังหวะประหลาดได้อีกครั้ง
ก็ไม่ถึงกับเป็นความรู้สึกหลงใหลคลั่งไคล้แบบตอนเรียน แต่ก็ทำให้ยิ้มขึ้นมาได้ชนิดที่น่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน
หลังจากนั่งคิดอะไรในหัวอยู่ครู่ ฉันก็ตัดสินใจคว้าโทรศัพท์มากดโทรออกหาพี่ปราณ รอสายอยู่ไม่นานปลายสายก็รับ ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรเสียงปลายสายก็หัวเราะออกมา
‘จดเบอร์มันไว้ให้แล้วอยู่ที่หน้าตู้เย็น’
“อะไร…” ฉันได้ขมวดคิ้วงุนงง ก่อนที่พี่จะเอ่ยต่อ
‘จะโทรไปล็อกคิวไม่ใช่หรือไง?’
“…”
‘รีบไปแล้วกัน เมื่อกี้ขับผ่านร้านมัน สาว ๆ ต่อคิวสมัครเพียบเลย’
“ปายว่างเลยอยากช่วย” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันจะต้องรีบแก้ตัว
พี่ปราณหัวเราะ ‘หึ ๆ’ อย่างไร้ความหมายและไม่คิดจะอธิบาย พี่วางสายไปแล้วโดยที่ไม่คิดจะเอ่ยอะไรอีก
อันที่จริงก็ไม่ได้อยากทำขนาดนั้น…
แต่รู้ตัวอีกทีฉันก็มาหยุดยืนที่หน้าตู้เย็นดึงเอากระดาษโน้ตที่แปะอยู่มาถือไว้แล้วเลื่อนโทรศัพท์โทรออกทันที รอสายอยู่เกือบนาทีก็ไม่มีคนรับ โทรไปอีกครั้งก็ยังไม่มีคนรับ
รู้อีกทีฉันก็รีบวิ่งไปคว้าเอาจักรยานแม่บ้านที่ไม่ได้ขี่มานานออกมาจากโรงรถ โชคยังดีที่ยางมันยังไม่แบน และอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน อาจเป็นเพราะว่าบางครั้งแม่ก็คงเอาไว้ถีบไปตลาดที่อยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านเท่าไร
จุดมุ่งหมายของฉันก็คือร้านข้าวมันไก่ที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับสถานีรถไฟ
ก็แค่งานเลี้ยงเด็กเอง จะยากแค่ไหนกันเชียว…
เหนือรักปายตอนพิเศษ 4 ปัจจุบัน เสียงหัวเราะของคนหลายคนดังแว่วมาให้ได้ยิน ตอนที่ผมกำลังเดินไปยังเวิร์กช็อปเล็ก ๆ ข้างกันกับตัวบ้านของผมเองที่ ๆ ปายตั้งใจจะเปิดสอนศิลปะให้กับคนที่สนใจ และก็ได้รับการตอบรับดีพอสมควร เพราะในตัวอำเภอไม่มีที่ไหนเปิดสอนศิลปะเป็นจริงเป็นจัง หากจะเรียนก็ต้องเข้าเมืองไปไกลกว่าสองชั่วโมง ลูกค้าส่วนมากก็เป็นเด็กนักเรียนที่พ่อแม่สนใจจะสนับสนุนลูก ๆ ให้เอาดีทางด้านนี้ แต่ก็มีผู้ใหญ่หลายคนอยู่เหมือนกันที่ให้ความสนใจมาลงเรียน บางกลุ่มก็มาเรียนบ้างเป็นพัก ๆ บางคนก็ตั้งใจจะเรียนระยะยาวแม้งานที่ว่านี้จะไม่ได้ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่คนที่ตั้งใจทำก็ดูจะพอใจที่ทุกอย่างไปได้สวยอย่างที่คิด วันนี้เป็นเย็นวันธรรมดาคนเลยไม่เยอะเท่าไรนัก สังเกตได้จากรองเท้าที่ถอดเรียงเอาไว้บนชั้นวางรองเท้าด้านนอก หากเป็นวันเสาร์อาทิตย์คนก็จะเยอะกว่านี้ เสียงกริ่งประตูดังขึ้นตอนที่ผมผลักบานประตูเดินเข้าไป คนหลายคนด้านในหันมองมา เด็กนักเรียนผู้หญิงหลายคนกำลังนั่งจับกลุ่มวาดภาพสีน้ำ ตรงหน้าของแต่ละคนมีกระดานวาดภาพวางบนขาตั้งไม้ทรงสูง ผมได้แต่
เหนือรักปายตอนพิเศษ 3@ โรงเรียน “กูอยากถือป้าย” “ก็ถ้าไม่ใช่มึงเป็นดรัมฯ แล้วจะให้ใครเป็น?” “กูขี้เกียจซ้อม ขอถือป้ายแทนได้ปะ?” “ไอ้ฝ้ายก็จะนั่งเสลี่ยง มึงก็อยากจะถือป้าย ไม่มีใครอยากเป็นดรัมฯ บ้างเลยหรือยังไง?” “…” ผมได้แต่นั่งมองเพื่อนผู้หญิงโต้กันไปโต้กันมาเรื่องการเตรียมงานกีฬาสีของโรงเรียนที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ขนาดว่านั่งเฉย ๆ ไม่ออกความเห็นอะไร สายตาคนอื่นก็พากันหันมากดดัน ราวกับจะให้ผมเป็นคนออกความเห็นว่าใครควรจะเป็นดรัมเมเยอร์เสียอย่างนั้น “อะไร? กูจะรู้ไหมเนี่ย? กูผู้ชาย” “มึงเป็นประธานไงเหนือ และนี่ไม่มีใครอยากเป็นเลยสักคน ดรัมฯ ไม้แรกเลยนะเว้ย กูละงงจริง ๆ”ไอ้จ๋าเกาหัวแกรก ๆ สีหน้าคิดไม่ตก สายตากดดันเลื่อนมองกลับไปยังคิมซึ่งนั่งกอดอกอยู่บนโต๊ะเรียนอีกครั้ง คนถูกมองพ่นลมหายใจเสียงดังพลางก็บ่นกระปอดกระแปด “ก็กูอยากถือป้าย มึงก็เป็นดรัมฯ เองสิ” “ลดน้ำหนักให้ได้สักสิบห้ากิโลฯ กูจะเป็นให้” คนที่เพื่อนปัดภาระให้เ
เหนือรักปายตอนพิเศษ 2@ โรงเรียน วันนี้เป็นอีกครั้งที่ใต้โต๊ะเรียนของผมมีคนเอาจดหมายมาสอดไว้เหมือนกับหลายวันที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนเอาของมาส่งให้ หากแต่ไม่มีใครใช้วิธีส่งจดหมายแบบนี้ ส่วนมากเป็นขนมกับของขวัญเสียมากกว่าก็มีอยู่แค่คนเดียวที่ใช้วิธีส่งจดหมายมา และแค่เห็นซองจดหมายก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นของคน ๆ เดียวกัน คนอื่นรอบตัวผมในขณะนี้ยังคงตั้งหน้าตั้งตาลอกการบ้านกันเหมือนอย่างเคยตอนที่ผมดึงเอากระดาษโน้ตลายกระต่ายสีชมพูออกจากซอง ไล่สายตาอ่านสิ่งที่เขียนอยู่บนแผ่นกระดาษอันที่จริงก็ไม่ได้ต่างไปจากทุกฉบับที่ผ่านมา คนส่งยังคงเขียนทำนองว่า วันนี้แอบมองผมตอนทำนู่นทำนี่ พรรณนาว่าตัวผมหล่อแค่ไหน ไม่ก็ประเภทที่ว่าเมื่อคืนฝันถึงผมอะไรประมาณนั้นทุก ๆ ย่อหน้าจะมีสติกเกอร์รูปหัวใจแปะอยู่ ท้ายแผ่นจะมีรูปการ์ตูนที่วาดไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน อย่างวันนี้ก็เป็นผู้หญิงกำลังยืนเกาะแขนผู้ชายที่ก็คิดว่าคงแทนตัวผมเอง ผมได้แต่ระบายรอยยิ้มออกมา เพราะต้นทางคนส่งดูท่าจะตั้งใจมาก ไม่ว่าผมจะมาโรงเรียนเช้าแค่ไหน ก็จะเห็นว่ามีจดหมายสอดที่ใต้โต
เหนือรักปายตอนพิเศษ 1 สิบปีก่อน@ เหนือ “กูถึงแล้ว” ‘จอดรออยู่หลังสถานี’ “เค” ปลายสายวางไปแล้ว กระเป๋าเป้ใบใหญ่ถูกแบกขึ้นบ่าอีกรอบหลังจากถูกวางทิ้งไว้เมื่อนาทีก่อนเพราะผมเดินไปซื้อน้ำที่ร้านค้าหน้าสถานีรถไฟ อากาศประเทศไทยตอนกลางวันร้อนตับแตกแบบนี้ อะไรก็ไม่ดีเท่าได้กินน้ำแดงเย็น ๆ สักถุง หลังจากไปอยู่บ้านป้ามาตลอดปิดเทอมฤดูร้อนตอนนี้ก็ได้ฤกษ์กลับบ้านตัวเองเสียที เนื่องจากโรงเรียนใกล้เปิดเทอมแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงต้องกลับไปเรียนเหมือนอย่างเคย และคงเป็นปีสุดท้ายที่จะได้ใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียน เพราะปีนี้ผมกำลังจะขึ้นชั้นม.หก “ไปบ้านกูก่อนแล้วกัน” แค่เจอหน้ากันไอ้ปราณเพื่อนสนิทที่เอามอเตอร์ไซค์มาจอดรอรับก็เอ่ยบอก พลางเอาขาตั้งรถขึ้น ผมไม่ทันได้พูดอะไรมันก็เตรียมจะออกรถ สุดท้ายเลยต้องรีบคร่อมขาซ้อนท้ายมัน ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากถามเพื่อนว่าทำไมต้องไปบ้านมันก่อน เพราะถึงยังไงบ้านที่ว่าก็เป็นทางผ่านที่จะไปบ้านผมอยู่แล้ว สายลมพัดปะทะเข้าหาใบหน้าไม่ได้ช่วยให้คลายร้อนลงเท่า
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 49 หลายวันต่อมา หลังจากงานแต่งผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เราทุกคนก็กลับมาใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุข ฉันยังคงไปเลี้ยงจ๋อมเหมือนทุกวัน พี่เหนือก็ออกไปดูแลร้านของเขาเหมือนทุกที พี่ปราณก็ยังคงช่วยดูแลกิจการของที่บ้าน ส่วนจ๋อมก็กำลังเตรียมสอบปลายภาคของระดับชั้นประถมศึกษา เพราะงานวันแต่งเราเชิญคนรู้จักมาเยอะมาก และแขกหลายคนก็เป็นอาจารย์ที่โรงเรียนเก่าของเราทั้งคู่รวมถึงรุ่นพี่รุ่นน้องชั้นปีอื่น ๆ ช่วงท้ายของงานทางอาจารย์เลยมีการขอแรงจากศิษย์เก่าเข้าไปช่วยจัดการเรื่องการย้ายโต๊ะนักเรียนแบบเก่าไปเก็บไว้ที่โกดังหลังโรงเรียนเพื่อที่จะรับโต๊ะเขียนแบบเลกเชอร์เข้ามาแทน แน่นอนว่าฉันกับพี่เหนือเองก็อาสาจะไปช่วย พวกเพื่อน ๆ ของเขา และเพื่อนสมัยเรียนของฉันก็พากันมาร่วมแรงร่วมใจกันในวันนี้ด้วยเหมือนกัน “ดีไหม?” “อะไร…” “ก็แกกับพี่เหนือไง ใกล้ได้ลูกรึยัง?” “บ้า…” “อย่ามาเขินหน่อยเลย เห็นว่าลุงหมานอยากมีหลานให้อุ้มไว ๆ” “ก็กำลังช่วยกันทำอยู่” “โอ๊ย! ไม่น่าถามเลยจริง
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 48 สองชั่วโมงต่อมา หลังจากที่เดินไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่โต๊ะนู้นโต๊ะนี้จนเสร็จ ทุกคนก็ทานอาหารกันจนอิ่มหนำ ตอนนี้ก็เข้าสู่ช่วงเปิด VTR ของคู่บ่าวสาวที่พี่ปราณเป็นคนเสนอตัวจัดเตรียมให้เอง ฉันกับพี่เหนือได้แต่ยืนกลั้นขำกันอยู่บนเวทีเมื่อแต่ละรูปที่คนเป็นพี่เลือกมามันช่างน่าขำ ตั้งแต่รูปของเราสมัยยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ข้ามมาสมัยผมของฉันยังสั้นเท่าติ่งหู และตัดมาที่ภาพสมัยมัธยมปลายที่เริ่มจะดูดีขึ้นมาหน่อย ช่างต่างจากคนเป็นเจ้าบ่าวที่หน้าตาดีมาตั้งแต่เด็กแบบที่คงไม่เคยพบเจอยุคมืดของตัวเองมาก่อน วิดีโอเล่นผ่านไปเรื่อย ๆ จนเข้าสู่รูปพรีเวดดิ้งของเราทั้งคู่ ที่ออกจะหวานเกินไปเสียหน่อย ทุกรูปพี่เหนือจะมองกันด้วยสายตาแบบที่ทำเอาหัวใจละลาย บรรดาสาว ๆ ในงานพากันกรี๊ดกร๊าดวี้ดว้ายกันไม่หยุดกับสายตาประเภทนั้นแม้จะเป็นเพียงภาพถ่ายก็ตาม และตอนนี้เองที่พี่เหนือเลื่อนมือมากุมประสานเข้ากันกับมือของฉัน สายตาที่มองมาอย่างสื่อความหมายทำเอาใจเต้นแรง แม้ว่าเราจะอยู่ท่ามกลางคนหลายร้อยคนฉันก็ไม่อาจห้ามจังหวะหัวใจให้เต้นช้าลงได้เลย