Share

บทที่ 12

Author: สั่งไม่หยุด
หรงจือจือฟังคำพูดของสาวใช้จ้าว มุมปากปรากฏรอยยิ้มถากถาง เมื่อรู้ว่าที่ท่านแม่มีคำสั่งเช่นนี้ นางไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเลยสักนิด

สาวใช้จ้าวมองรอยยิ้มถากถางของนาง เกิดความไม่พอใจขึ้น “คุณหนูใหญ่ สีหน้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ? ไม่พอใจต่อการจัดการของฮูหยินหรือเจ้าคะ?”

“เช่นนั้นบ่าวอยากจะขอเตือนท่าน กิจภายในจวนตอนนี้ ฮูหยินเป็นผู้ตัดสินใจเจ้าค่ะ ฮูหยินบอกว่าไม่ให้ข้าวเที่ยงท่าน แม้ท่านจะไม่พอใจ ก็ทำได้เพียงอดทนเจ้าค่ะ”

หรงจือจือกล่าวอย่างอ่อนโยน “ไม่อนุญาตให้ข้ากิน หรือไม่ให้อาหารข้า?”

สาวใช้จ้าวเกิดความสงสัยขึ้นในใจ ทั้งสองคำถามนี้มีอะไรแตกต่างกันหรือ?

นางยิ้มอย่างเยาะเย้ย กล่าว “หากคุณหนูใหญ่อยากกินจริง ๆ ก็ไม่ยากเจ้าค่ะ หากท่านมีความสามารถ ทำให้บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนยอมให้ท่านกินข้าวได้ บ่าวก็คงเข้าไปยุ่งไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ หรือว่าคุณหนูใหญ่มีความสามารถ เสกของกินออกมาเองได้ คิดว่าทางฝั่งฮูหยินเอง ก็คงจะไม่พูดอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ”

ฮูหยินจัดการบ่าวรับใช้ในจวนจนเชื่อง รู้ดีอยู่แก่ใจว่าหากฮูหยินไม่อนุญาต จะมีใครกล้าไม่ลืมหูลืมตา โง่จนถึงขนาดเอาของกินให้คุณหนูใหญ่กัน?

ดังนั้นที่สาวใช้จ้าวจงใจทำเช่นนี้ เพื่อทำให้หรงจือจือรู้สึกรังเกียจ

หรงจือจือกล่าวเสียงเบา “ข้าเข้าใจแล้ว ก็คือกินได้ เพียงแค่ไม่มีของกินให้ข้า ใช่หรือไม่?”

สาวใช้จ้าวรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ เหมือนว่าโดนชี้นำอะไรบางอย่าง แต่นางไม่ได้คิดมาก พยักหน้า ทำท่าทางสูงส่ง “ถูกต้องเจ้าค่ะ!”

นางเป็นแม่นมที่ติดตามนางหวังมาตอนแต่งงาน นับว่ามีอำนาจในจวน มักจะทำตัวราวกับตนเองเป็นนาย

ก่อนหน้านี้ตอนที่หรงจือจือยังเป็นฮูหยินของซื่อจื่อแห่งจวนโหว นางยังหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ทว่าตอนนี้จวนโหวต้องการให้หรงจือจือเป็นอนุ นางย่อมยิ่งไม่เห็นหรงจือจืออยู่ในสายตา

หรงจือจือกล่าวเสียงเรียบ “ไม่เป็นไร คนในจวนไม่ให้ข้าก็ช่าง จ้าวหมัวมัวกลับไปรายงานผลได้แล้ว”

จ้าวหมัวมัวตกตะลึงไปทันที ยังคิดว่าคำถามเหล่านั้นที่หรงจือจือถามตน อยากจะแก้ต่างกับตน กลับไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะตอบรับแบบนี้?

ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย หลังจากนางเดินออกไป ยังคงไม่วางใจ ย้อนกลับมาแอบดูที่หน้าประตู

ในใจคิดว่าหรือว่ามีบ่าวที่มีตาหามีแววไม่ในจวน ถูกคุณหนูใหญ่ซื้อตัวไปแล้ว?

หางตาของหรงจือจือ เหลือบมองสาวใช้จ้าว เพียงแต่นางไม่ได้สนใจ หลังจากที่เจาซีแต่งหน้าให้นางอยู่ครู่หนึ่ง ก็ออกคำสั่ง “ไปเอาของกินมาเถอะ”

เจาซีส่งคนรับใช้ที่ตามกลับมาสกุลหรง ไปหยิบกล่องอาหารกล่องหนึ่งบนรถม้ามา

หยิบขนมอบออกมาทีละชิ้น ๆ วางลงตรงหน้าของหรงจือจือ ต่อหน้าต่อตาจ้าวหมัวมัวที่แอบอยู่บริเวณมุมหนึ่งด้านนอกประตู

เจาซีแต่งหน้าให้นางต่อ พร้อมกล่าวขึ้น “คุณหนูรีบกินเถอะเจ้าค่ะ อย่าปล่อยให้ท้องหิว!”

ขนมอบนี้ประณีตยิ่ง ทำโดยร้านขายขนมอบที่ดีที่สุดในเมืองหลวง แค่จานเดียวก็มีราคาถึงสองตำลึงแล้ว หมัวมัวระดับหนึ่งอย่างจ้าวหมัวมัว เงินเดือนเดือนหนึ่งของนางก็แค่สองตำลึงเท่านั้น

ขนมอบสี่จานจัดวางบนโต๊ะน้ำชาตัวนั้น คนทั่วไปต่อให้มีอาหารกลางวัน คิดว่าก็คงจะไม่อยากจะกินแล้วเช่นกัน

จ้าวหมัวมัวเบิกตากว้าง ทำได้เพียงมองหรงจือจือกินต่อหน้าของตนเท่านั้น นางยังร้องเรียกเจาซีอีกด้วย “เจ้าก็มากินด้วยกันสักสองสามชิ้นสิ!”

เจาซีรู้สึกว่าคุณหนูของตนช่างรู้จักคาดการณ์ล่วงหน้าเสียจริง ก่อนออกนอกจวนก็บอกให้ตนไปซื้อขนมอบเอาไว้ แล้วพกกลับมาด้วย ไม่อย่างนั้นวันนี้คงจะไม่ได้กินข้าวจริง ๆ

รีบกล่าว “ขอบพระคุณคุณหนูที่ตกรางวัลให้เจ้าค่ะ!”

จ้าวหมัวมัวกระทืบเท้าด้วยความโมโห รู้ว่าตนทำงานที่ได้รับมอบหมายงานนี้พัง รีบวิ่งออกไปกล่าว “คุณหนูใหญ่ ฮูหยินห้ามไม่ให้ท่านกินข้าวเที่ยงมิใช่หรือ ท่านก็ยังกิน นี้เท่ากับไม่เห็นฮูหยินอยู่ในสายตาหรือเจ้าคะ? อกตัญญูต่อบิดามารดาเช่นนี้ ส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของท่านนะเจ้าคะ!”

หรงจือจือกินขนมอบในมือคำเล็ก ๆ หันไปมองนางด้วยสีหน้าแปลกใจ “จ้าวหมัวมัว ท่านพูดเองไม่ใช่หรือว่า ท่านแม่ไม่ได้ห้ามไม่ให้ข้ากิน หากข้าสามารถเสกของกินออกมาได้ ท่านแม่ก็ไม่มีทางตำหนิข้าไม่ใช่หรือ?”

สีหน้าของจ้าวหมัวมัวซีดขาวทันที คิดไม่ถึงว่าหรงจือจือกลับมาที่สกุลหรง จะพกของกินติดตัวมาด้วย?

หากรู้เช่นนี้ เมื่อครู่นี้นางไม่มีทางปากไวแบบนั้น

ระหว่างที่นางโมโห หรงจือจือยังกินขนมอบอีกหลายชิ้นต่อหน้าของนาง ราวกับเป็นการยั่วยุ ในใจของจ้าวหมัวมัวรู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ริมฝีปากหนาสั่นระริกอยู่ครู่ใหญ่ แต่กลับพูดไม่ออกสักคำ

มองท่าทางที่ทุกข์ใจของจ้าวหมัวมัว หรงจือจือที่กินอิ่มไปครึ่งทางแล้ว ถามราวกับได้ดูละครสนุก “ทำไม? หรือว่าจ้าวหมัวมัวเข้าใจความหมายของท่านแม่ผิดไปแล้ว? สารที่นำมาส่งให้ข้าจึงผิดพลาด?”

จ้าวหมัวมัวรีบกล่าว “ถูกต้องเจ้าค่ะ! บ่าวนึกออกแล้ว ความหมายของฮูหยินบอกว่าไม่ให้ท่านกิน...”

หรงจือจือกล่าวอย่างอ่อนโยน “น่าเสียดายที่กินไปแล้ว สารก็เป็นจ้าวหมัวมัวที่ส่งผิดพลาด อีกเดี๋ยวเจ้าไปขอรับโทษกับท่านแม่เองก็แล้วกันนะ”

“จ้าวหมัวมัว แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ เจ้ายังทำได้ไม่ดี จะเป็นหมัวมัวระดับหนึ่งคนสนิทของท่านแม่ได้อย่างไรกัน? คิดว่าท่านแม่จะต้องผิดหวังต่อท่านมากเป็นแน่ ท่านคงจะต้องขอพรให้ตัวเองมาก ๆ แล้ว”

จ้าวหมัวมัวหยิ่งยโสมาแต่ไหนแต่ไร ก่อนหน้าที่หรงจือจือยังไม่ได้แต่งออกไป เคยเสียเปรียบด้วยน้ำมือนางหลายครั้ง ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเห็นแก่หน้าของท่านแม่ หรงจือจือจึงไว้หน้าอีกฝ่ายอยู่พอสมควร แต่สองวันมานี้อารมณ์ของนางไม่ค่อยดีนัก พอแล้วกับการเป็นหญิงสาวที่มีจิตใจดีงาม เป็นภรรยาที่มีคุณธรรม และยิ่งไม่มีทางตามใจบ่าวคนนี้อีกต่อไป

จ้าวหมัวมัวจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน หลังจากนางหวังโมโห ก็จะลงโทษบ่าวรับใช้อย่างไม่มีความเมตตาแม้แต่น้อย

หากให้ฮูหยินรู้ว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ตนยังทำได้ไม่ดีละก็...นางยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นตระหนก สุดท้ายเหลือกตาทีหนึ่ง แล้วก็หมดสติไปทันที

หรงจือจือ “...”

เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ?

คิดว่าเป็นเพราะหลายปีมานี้ อีกฝ่ายใช้ชีวิตอยู่ข้างกายท่านแม่อย่างสบายใจเกินไป ถึงได้รับเรื่องสะเทือนอารมณ์เล็กน้อยแบบนี้ไม่ไหว

นางมองบ่าวรับใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูแวบหนึ่ง กล่าวเสียงอ่อนโยน “นำตัวจ้าวหมัวมัวส่งกลับไปที่เรือนของท่านแม่ ต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ อธิบายให้ท่านแม่ฟังตามจริงก็พอ”

บรรดาบ่าวรับใช้ “เจ้าค่ะ!”

ในใจของพวกเขารู้เคารพเลื่อมใสเป็นอย่างมาก บัดนี้คุณหนูใหญ่ไม่เหมือนเดิมแล้วจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่ถูกขนานนามว่าหญิงสาวผู้มีคุณธรรมอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ความสามารถในการจัดการกับบ่าวชั่ว และรับมือกับฮูหยินที่ชอบกลั่นแกล้ง ล้วนทำได้ยอดเยี่ยม วิธีการเช่นนี้ แม้ฮูหยินจะไม่พอใจ คิดว่าก็คงจะพูดอะไรไม่ได้เช่นกัน

เมื่อจ้าวหมัวมัวถูกหามออกไป ก็มีคนมารายงาน “คุณหนูใหญ่ นายหญิงใหญ่ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ!”

รอยฝ่ามือบนใบหน้าของหรงจือจือในตอนนี้ ก็จางลงไปไม่น้อยแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นจึงรีบไปที่เรือนของท่านย่าทันที

นายหญิงผู้เฒ่าหรงนอนอยู่ในห้อง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของหรงจือจือ จึงกล่าวด้วยความดีอกดีใจ “ใช่...แค่กแค่ก ใช่หลานสาวคนดีของข้ากลับมาแล้วใช่หรือไม่?”

หรงจือจือรีบเดินไปที่ด้านหน้าเตียงของท่านย่า คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม “ท่านย่า ข้าเอง!”

นายหญิงผู้เฒ่าหรงรีบกล่าว “เด็กโง่ บนพื้นเย็น เจ้าคุกเข่าอยู่ทำไม? รีบลุกขึ้น!”

หรงจือจือรีบลุกขึ้น

นายหญิงผู้เฒ่าหรงตบมือของนางเบา ๆ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินว่าสามีของเจ้ากลับมาแล้ว สร้างความชอบอันใหญ่หลวง ดีเหลือเกิน ก่อนหน้านี้ท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้าสติฟั่นเฟือน อยากจะให้เจ้าแต่งงานไปที่สกุลฉีให้ได้ ข้าเองก็ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ตอนนี้ดีแล้ว ในที่สุดเจ้าก็ลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้แล้ว!”

ในระหว่างที่พูด นางก็สงสารหลานสาวของตนเองจับใจ หากแต่งงานกับคุณชายผู้สูงศักดิ์ที่สุขภาพร่างกายแข็งแรง ชีวิตคงจะราบรื่นมากกว่านี้ไม่ใช่หรือ? นางเป็นหลานสาวที่ดีขนาดนี้ ยังจะให้แต่งงานกับเจ้าขี้โรคสกุลฉีนั่นอีก ทำให้ต้องทนกับความทุกข์ความทรมานทั้งหมดนี้โดยเปล่าประโยชน์

หรงจือจือเป็นห่วงสุขภาพของท่านย่า ย่อมไม่ได้พูดเรื่องจริงออกไป เพียงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านย่ากล่าวถูกต้องแล้ว ต่อไปจะต้องมีชีวิตที่ดีแน่!”

นายหญิงผู้เฒ่าหรงพยักหน้า กล่าวอีกว่า “หลังจากที่เขากลับมา ได้ใกล้ชิดกับเจ้าหรือเปล่า? สามปีมาแล้ว รู้สึกห่างเหินกันหรือไม่? ไม่สิ ไม่มีทางห่างเหินแน่นอน หลานสาวคนดีของข้า ออกจะสมบูรณ์แบบราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า”

“รูปโฉมเทพธิดายังเทียบไม่ได้ อุปนิสัยก็ดีเยี่ยม หากใครไม่ชมชอบเจ้า ปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดี เช่นนั้นต้องเป็นคนผู้นั้นเองที่ตาบอด โง่ที่สุดในโลก ต่อให้คุกเข่าอ้อนวอนหมอเทวดา ก็รักษาโรคตาและสมองที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเขาให้หายดีไม่ได้!”

หรงจือจือได้ยินดังนั้น ก็หลุบตาลงเล็กน้อย น้ำตาเกือบไหลออกมา

ฉีจื่อฟู่ทำเรื่องแบบนี้ออกมา ทุกคนรวมถึงท่านพ่อท่านแม่ ต่างพูดว่าเป็นปัญหาของนาง เป็นนางที่ดูแลสามีไม่ดี ครอบครองหัวใจของสามีไม่ได้ เป็นนางที่ทำได้ไม่ดีพอ เป็นนางที่...

มีเพียงท่านย่า ที่ยืนหยัดที่จะอยู่ข้างนาง พูดว่าหากมีความผิด ทั้งหมดก็เป็นความผิดของคนอื่น!
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 468

    ไทเฮาทรงพิโรธ ถลึงพระเนตรใส่ฮ่องเต้น้อย “ฮ่องเต้ นี่เจ้าปฏิบัติต่อเสด็จแม่ของเจ้าแบบนี้รึ?”เฉินเยี่ยนซูพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “หากไทเฮาทรงรู้สึกว่าฝ่าบาทปฏิบัติต่อพระองค์ไม่ดี มองว่าท่านอ๋องดูแลพระองค์ได้ดีกว่า เช่นนั้นกระหม่อมก็ยินดีช่วยส่งพระองค์ไปยังที่ดินศักดินาของท่านอ๋องใหญ่ ให้ท่านอ๋องดูพระองค์ในช่วงบั้นปลาย”พระพักตร์ของไทเฮาซีดขาว สังเกตเห็นความประชดประชันในแววตาโอรสตัวเองใช้มือข้างหนึ่งจับพนักเก้าอี้พร้อมกับตรัส “ช่างเถอะ ข้าเองก็รู้สึกคิดถึงอดีตฮ่องเต้เช่นกัน”เช่นนี้ก็หมายความว่ายอมจำนน บ่งบอกว่ายอมถูกกักบริเวณและคัดคัมภีร์นางคิดมาโดยตลอดว่าฮ่องเต้ยังชันษาน้อย คงจะจำอะไรไม่ได้มาก แต่ดูจากตอนนี้ เหมือนว่าฮ่องเต้จะยังจำได้มิน่าเล่า เขาถึงได้ไม่ยืนอยู่ฝั่งของนางกับสกุลเซี่ย เอาแต่เข้าข้างราชเลขาธิการเมื่อพูดถึงท่านอ๋องใหญ่ หรือก็คือพระเชษฐาต่างมารดาของฮ่องเต้ นางเซี่ยมีอาการตกใจเช่นกัน เกี่ยวกับเรื่องเมื่อตอนนั้น นางยอมรับว่าไทเฮาเลอะเลือนไปเล็กน้อยฮ่องเต้น้อยมีท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ้มว่า “ในเมื่อเรื่องนี้จบลงแล้ว เช่นนั้นเราจะกลับไปจัดการราชกิจก่อน”เฉินเ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 467

    แม้แต่ฮ่องเต้น้อยก็ยังต้องยกนิ้วหัวแม่มือให้หรงจือจือในใจ ไม่แปลกเลยที่ท่านราชเลขาธิการจะชอบนาง ช่างฉลาดหลักแหลม แม้แต่วิธีแก้ปัญหาเช่นนี้ก็ยังสามารถคิดออกมาได้ นางเซี่ยรีบพูดด้วยรอยยิ้ม “ความจริงจวนอ๋องเฉียนของพวกข้าก็ไม่เลว หากมหาราชครูหรงต้องเลือกระหว่างสองสกุลก็คงตัดสินใจได้ยากเช่นกัน”“จือจือ เจ้าลองเลือกใหม่อีกครั้งดีหรือไม่ หากเจ้าเลือกอู๋เหิง บิดาของเจ้าก็ไม่น่าจะว่าอะไร”“เจ้าก็รู้ แม่สามีของข้าชอบเจ้ามากมาโดยตลอด หลายปีมานี้ก็ปกป้องและรักใคร่เจ้าไม่น้อย”หัวคิ้วของหรงจือจือกระตุก เข้าใจว่านางเซี่ยกำลังยกพระชายาอ๋องเฉียนมาเพื่อโน้มน้าว อยากให้นางเห็นแก่การดูแลที่พระชายาอ๋องเฉียนมีต่อตัวเองตลอดหลายปีมานี้และเลือกจีอู๋เหิงไทเฮาฟังถึงตรงนี้ก็ตรัสเช่นกัน “พระชายาซื่อจื่อพูดได้ถูกต้อง! หรงจือจือ ตอนนี้ข้าต้องการให้เจ้าแต่งงานกับอู๋เหิง ส่วนฮ่องเต้นั้นต้องการให้เจ้าแต่งงานกับราชเลขาธิการเฉิน”“พวกข้าสองแม่ลูกแทบจะบาดหมางกันเพราะเจ้าอยู่แล้ว เจ้าลองตรองดูให้ดีว่าจะแต่งงานกับผู้ใด!”“ในเมื่อเจ้าแต่งเพราะคำสั่งของบิดา คิดว่าหากมีข้าอยู่ด้วย ต่อให้เจ้าเลือกอู๋เหิง บิดาเจ้าก็คงไ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 466

    ฮ่องเต้หย่งอันเข้าใจแล้วว่า เหตุใดท่านราชเลขาธิการได้ยินว่าเสด็จแม่เรียกตัวหรงจือจือมาพบแล้วจึง…เขามองไทเฮาพร้อมกับตรัสด้วยความเสียใจ “โอ้? มันสายไปแล้ว! ลูกพระราชทานสมรสไปแล้ว ราชโองการก็เขียนเสร็จแล้ว ประทับตราพระราชลัญจกรแล้วเช่นกัน!”“เหตุใดเสด็จแม่จึงไม่หารือกับลูกตั้งแต่เมื่อวาน หากเป็นเมื่อวาน เรื่องนี้คงพอมีหนทางให้ตกลงกันได้”ไทเฮาตรัสอย่างไม่เชื่อ “เป็นความจริงหรือ?”ฮ่องเต้หย่งอัน “ย่อมเป็นความจริง ราชโองการยังอยู่ในมือเซิ่งเฟิงอยู่เลย!”ตอนแรกเขาจะให้ขันทีอาวุโสหยางเป็นคนถือ ประเดี๋ยวหรงจือจือกลับสกุลหรงไปแล้วค่อยประกาศราชโองการ แต่ท่านราชเลขาธิการไม่วางใจยืนกรานที่จะขอรับไป ให้เซิ่งเฟิงเป็นคนเก็บรักษาไทเฮาพิโรธมากนางเซี่ยร้อนใจเช่นกัน รีบคุกเข่าว่า “ฝ่าบาท ได้โปรดถอนราชโองการด้วยเถิด อู๋เหิงต้องการแต่งงานกับท่านหญิงเช่นกัน!”ฮ่องเต้หย่งอันยิ้มเยาะ “พระชายาซื่อจื่อกล่าวเช่นนี้ ฟังดูเหมือนท่านราชเลขาธิการไม่ได้ตั้งใจจะแต่งงานกับหรงจือจืออย่างไรอย่างนั้น สินสอดแปดร้อยหาบ เกรงว่านี่คงเป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นต้าฉีมา!”นางเซี่ยรีบพูด “ฝ่าบาท จวนอ๋องเฉียนของพ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 465

    ฮ่องเต้น้อยเห็นนางเซี่ยยอมรับผิดรวดเร็วแบบนี้ก็ไม่ได้ทำให้นางลำบากใจอีก อย่างไรเมื่อครู่นี้เขาก็เห็นว่า อีกฝ่ายก็พยายามช่วยขอความเมตตาให้หรงจือจืออย่างสุดความสามารถ แต่เมื่อฮ่องเต้น้อยมองไปที่นางกำนัลนางนั้น เขายิ่งคิดก็ยิ่งโมโหเดินเข้าไปถีบอีกฝ่าย “ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง แม้แต่ท่านราชเลขาธิการก็ยังกล้าสาด! เจ้าจงสวดภาวนาให้ท่านราชเลขาธิการปลอดภัย มิเช่นนั้น ครอบครัวเจ้าทั้งเก้าชั่วโคตรก็ยังชดใช้ไม่ได้!”นางกำนัลถูกถีบกลิ้งกับพื้นรู้สึกได้รับความอยุติธรรม นางจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านราชเลขาธิการจะมาและช่วยบังน้ำเย็นให้กับท่านหญิง หากรู้มาก่อน ต่อให้นางจะใจกล้าเพียงใดก็ไม่กล้าทำแบบนี้แต่ฮ่องเต้กำลังพิโรธ นางไม่กล้าร้องว่าอยุติธรรม กลัวว่าฮ่องเต้จะพิโรธหนักกว่าเดิมได้แต่คำนับศีรษะด้วยความเคารพ “บ่าวสมควรตาย ฝ่าบาทโปรดประทานอภัย!”เจาซีมองด้วยความสะใจ เมื่อครู่นี้นางกำนัลคนนี้ใช้อำนาจข่มขู่ บอกว่าเป็นคำสั่งของไทเฮา ห้ามขัดขืนเด็ดขาดตอนนี้ ฮ่องเต้จะทุบตีนางอย่างไร สั่งสอนนางอย่างไร นางก็ได้แต่ทนรับไว้เสียงความเคลื่อนไหวด้านนอกย่อมดังเข้าไปในตำหนักเมื่อฮ่องเต้หย่งอันเข้าไป พระ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 464

    หรงจือจืออยากอธิบายว่าตัวเองไม่ได้กลัว แต่เมื่อสบเข้ากับสายตาห่วงใยของเขา จู่ๆ นางก็พบว่าตัวเองพูดอะไรไม่ออก ภายในใจอ่อนระทวยไปหมดทั้งๆ ที่เขาถูกราดน้ำเย็น ทั้งๆ ที่เขากำลังหนาวทว่าเขากลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย มีเพียงความรู้สึกที่เป็นห่วงนางนางรีบนำผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำเย็นบนใบหน้าเขาโดยไม่ได้มาสนใจว่าชายหญิงไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน อย่างไรก็จะแต่งงานกับเขาอยู่แล้วเฉินเยี่ยนซูผงะ ดวงตาหงส์เร่าร้อนขึ้นมาหลายส่วนฮ่องเต้น้อยตรัส “มัวทำอันใดกันอยู่? ยังไม่รีบไปเตรียมเสื้อผ้าสะอาดกับน้ำร้อนให้ท่านราชเลขาธิการอีก!”“หากท่านราชเลขาธิการป่วยไข้ขึ้นมา! เราจะตัดหัวพวกเจ้าให้หมด”“น้ำขิงด้วย! เตรียมน้ำขิงให้ท่านหญิงกับท่านราชเลขาธิการทันที!”หรงจือจือจะบอกตัวเองไม่ต้องการน้ำขิง แต่เมื่อเห็นท่าทีของฮ่องเต้หย่งอัน นางก็ไม่ได้ปฏิเสธนางกำนัลที่ราดน้ำเย็นใส่เฉินเยี่ยนซูตกใจกลัวจนน้ำตาแทบเล็ด คุกเข่าตัวสั่นเทิ้มร่วมกับนางกำนัลคนอื่นๆผู้ที่ถูกราดน้ำเย็นคือท่านราชเลขาธิการ นั่นคือท่านราชเลขาธิการของฮ่องเต้เชียวนะ ก่อนที่ฮ่องเต้จะทรงว่าราชกิจ พระองค์จะต้องถวายการคำนับแด่ท่านราชเลขาธิการตาม

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 463

    ไทเฮาโกรธจนหน้าเขียว ชี้นิ้วไปที่นาง “ดี ดี ดี เจ้าดีมาก!”แม้ภายในใจนางจะไม่พอใจถึงขีดสุด กระนั้นก็มีความนับถือบางส่วนเจืออยู่ด้วยอดนึกถึงถ้อยคำที่อดีตฮ่องเต้เคยพูดกับตัวเองไม่ได้ มหาราชครูหรงเป็นเสาหลักของบ้านเมือง อุทิศความสามารถและความทุ่มเททั้งหมดเพื่อชาติบ้านเมือง เขาถึงกล้ากราบทูลฎีกาที่ภัยถึงชีวิต เสียก็แต่เถรตรงเกินไปมองหรงจือจือตอนนี้แล้วเหมือนบิดาของนางมาก!ทว่า ความชื่นชมนี้ไม่อาจระงับเพลิงโทสะภายในใจนางแต่อย่างใด “ไปเตรียมน้ำเย็นเดี๋ยวนี้ ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดไปเห็นผู้บันทึกประวัติศาสตร์กล่าวโทษข้าหนือไม่!”นางเซี่ย “ไทเฮา!”ไทเฮามองนางปราดหนึ่ง พูดด้วยหน้าบึ้งตึง “พอแล้ว พี่หญิงนั่งลงเถอะ ข้าเองก็ทำเพื่อสั่งสอนลูกสะใภ้ในอนาคตให้ท่าน!”นางเซี่ยเห็นหรงจือจือเดินออกไปภายในใจปั่นป่วนว้าวุ่น จากนั้นลุกขึ้นเพื่อเข้าไปห้ามปรามด้วยตัวเองพระพักตร์ของไทเฮาย่ำแย่กว่าเดิมเมื่อเห็นพี่หญิงของตนเป็นเช่นนี้สั่งว่า “ห้ามพระชายาซื่อจื่อเอาไว้ อย่าให้นางก่อกวน!”บรรดานางกำนัล “เพคะ!”หรงจือจือคุกเข่าท่ามกลางหิมะ มองนางกำนัลยกถังน้ำเย็นเข้ามา ส่วนนางเซี่ยที่จะเข้

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status