หลังจากได้นอนพักอยู่สามวัน ร่างกายของคุณหนูใหญ่สกุลโจวก็แข็งแรงขึ้น เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบกลับมาสดใสมากกว่าเดิม ชีวิตวัยเด็กของฉินเซี่ยหรูนั้นแสนน่าเบื่อ นางต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องที่สตรีต้องเรียนรู้ แต่พอได้กลับมาอยู่ในวัยนี้อีกครั้ง น้องสาวของนางกลับมิได้บังคับให้บุตรีต้องทำเรื่องที่น่าเบื่อเช่นเดียวกัน เรื่องนี้นางอดที่จะชื่นชมน้องสาวและน้องเขยมิได้ ที่เลี้ยงดูหลานทั้งสองของนางด้วยความรักและความเข้าใจ มากกว่าการบังคับให้ทำในสิ่งที่พวกตนต้องการ
“โอ้..หลานย่า เจ้าแข็งแรงขึ้นมากแล้วสิท่า” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามหลานสาววัยเจ็ดขวบที่เข้ามาคำนับนางถึงเรือนนอน พอได้สำรวจใบหน้าเล็กก็พอจะเดาออกว่าหลานสาวของนางมีอาการดีขึ้นมากแล้ว ดูจะสดใสมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ “หลานคารวะท่านย่าเจ้าค่ะ… ยามนี้หลานแข็งแรงขึ้นมากแล้ว” นางมิได้คุ้นชินกับฮูหยินผู้เฒ่าสกุลโจวแต่จากนี้ไปนางจะต้องทำความรู้จักทุกคนในจวนแห่งนี้ใหม่ เพราะว่านางมิใช่คนของเรือนนี้มาตั้งแต่เกิด มีเพียงน้องสาวอย่างฉินเซี่ยหรงเท่านั้นที่นางรู้จักอีกฝ่ายดีเพราะเป็นพี่น้องแท้ๆ ที่มีอายุห่างกันเพียงหนึ่งปี “ดี…ดี… ไหนเข้ามาใกล้ๆ ย่าสิ” คนเป็นย่ากวักมือเรียกหลานสาวให้เข้ามาใกล้ ร่างเล็กจึงค่อยๆ เดินเข้าไปหาแล้วนั่งลงข้างๆ ท่านย่า “อืม…. ดูหน้าตาสดใสขึ้นมากจริงๆ มาลูกมา มาชิมขนมกุ้ยฮวา ย่าเพิ่งจะลงมือทำก่อนหน้าที่เจ้าจะมาเพียงหนึ่งเค่อเอง ยังร้อนๆ อยู่เลย” นางสำรวจใบหน้าของหลานสาวก่อนที่จะฉีกยิ้มออกมาแล้วเอ่ยชวนกินขนมตรงหน้าด้วยกัน “ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านย่า” มือเล็กหยิบขนมขึ้นมากัดก่อนที่จะเคี้ยวแล้วกลืนลงคอไปอย่างเอร็ดอร่อย คนเป็นย่าหัวเราะออกมาอย่างชอบใจที่เห็นว่าหลานสาวกินเก่งขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน เพียงเท่านี้ท่านก็มีความสุขมากแล้ว เพราะคนที่นางห่วงมากที่สุดในจวนก็คงจะเป็นหลานสาวคนโตของสกุลนี่แหละ ที่ร่างกายมิค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่เกิด แต่หลังจากสลบไปสามวันนางก็ตื่นมาพร้อมกับร่างกายที่แข็งแรงขึ้นราวกับปาฏิหาริย์ “อี้ถง… ข้าอยากไปเดินเล่นรอบๆ จวนหน่อย เจ้าพาข้าไปได้หรือไม่” หลังจากนั่งเล่นอยู่ที่เรือนของท่านย่าครู่ใหญ่นางจึงขอตัวกลับเรือนของตน ซึ่งฮูหยินผู้เฒ่าก็มิได้รั้งตัวหลานสาวเอาไว้แต่อย่างใด เพราะเห็นว่าหลานสาวคงอยากจะพักผ่อน “เจ้าค่ะคุณหนูใหญ่ แต่ถ้าเหนื่อยคุณหนูต้องนั่งพักก่อนนะเจ้าคะ” อี้ถง สาวรับใช้ที่ดูแลโจวเจินเจินมาตั้งแต่ห้าขวบตอบออกมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น นางเข้าใจว่าคุณหนูใหญ่คงอยากจะเดินไปเยี่ยมชมสถานที่ในจวนแห่งนี้ เพราะตั้งแต่นางเติบโตมาจนอายุเจ็ดขวบ คุณหนูใหญ่ของนางก็อยู่แต่ในเรือนนอนเสียเป็นส่วนใหญ่ อี้ถงรู้เรื่องราวในจวนแห่งนี้เป็นอย่างดี ทำให้ฉินเซี่ยหรูรับรู้ว่าน้องสาวของนางมีความสุขกับครอบครัวที่นางเลือกเอง แตกต่างจากนางที่มีความทุกข์จนต้องตรอมใจตายก่อนวัยอันสมควร แต่เรื่องนี้นางมิได้โทษน้องสาว ที่เป็นแบบนี้ก็เป็นเพราะนางเลือกที่จะไม่ปฏิเสธ ยามเมื่อท่านพ่อท่านแม่หาคู่ที่เหมาะสมมาให้ นางตกลงปลงใจโดยคิดว่าอยู่ไปก็รักกันเอง แต่สุดท้ายมันก็มิได้เป็นอย่างที่นางคิด จวนสกุลโจวมีอยู่ทั้งหมดสี่เรือน เรือนใหญ่เป็นของโจวถงกวงและฮูหยินเอกอย่างฉินเซี่ยหรง เรือนกลางเป็นของฮูหยินรองฉีจินเหยาที่อาศัยอยู่กับบุตรชายวัยห้าขวบโจวเชินและบุตรีคนเล็กโจวเจินหลิงวัยสามขวบ เรือนสามเป็นของฮูหยินผู้เฒ่า และเรือนสี่เป็นของโจวเจินเจินบุตรีของภรรยาเอก โดยโจวเจินเจินได้แยกออกมาอยู่เรือนนี้เมื่อหกเดือนก่อน เพราะเรือนนี้อยู่ใกล้กับลำธาร บิดาคิดว่าการที่บุตรีได้มาอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติจะทำให้สุขภาพร่างกายของนางแข็งแรงขึ้น แรกๆ ฉินเซี่ยหรงคัดค้านเพราะอยากให้บุตรสาวได้อยู่ใกล้ชิดกับนาง แต่พอได้ฟังความหวังดีของสามีจึงได้อนุญาตให้โจวเจินเจินย้ายมาอยู่ที่เรือนแห่งนี้เพราะสามีก็มิได้คิดจะรับอนุมาเพิ่มอีก ฉินเซี่ยหรูใช้ชีวิตอยู่ในร่างของโจวเจินเจินได้อย่างราบรื่น นางแสร้งทำตัวเป็นเด็กให้สมกับวัย มิได้ทำตัวให้ดูเคร่งขรึมเช่นชาติภพก่อนที่ตนยังมีชีวิตอยู่ นางรู้ดีว่าชีวิตในชาติภพก่อนของนางนั้นแสนน่าเบื่อ วันๆ ทำแต่เย็บปักถักร้อย สนใจแต่การทำอาหารในครัวเพื่อเอาใจคนในตระกูลของสามี แต่ผลที่ได้รับคือทรยศหักหลัง และการไม่ให้เกียรติ ทั้งๆ ที่นางเป็นภรรยาเอกและสะใภ้เอก แม้จะเป็นเช่นนั้นนางก็มิเคยได้รับความรักจากเขา หรือแม้แต่สัมผัสเขาก็นึกรังเกียจอย่างไร้เหตุผล ร่างเล็กเดินไปหยุดยืนมองสายน้ำที่ไหลผ่านไป ความงดงามทางธรรมชาติทำให้ฉินเซี่ยหรูรู้สึกผ่อนคลาย แต่ทว่าเมื่อความเงียบเข้ามาปกคลุมจิตใจยามใด ภาพในอดีตก็ไหลย้อนวนมาเป็นฉากๆ ให้นางได้เจ็บปวดอยู่เช่นเดิม เหตุใดท่านเทพช่างใจร้ายยิ่งนัก ทำให้นางลืมอดีตชาติไปเลยก็มิได้ นางไปทำกรรมทำเวรอันใดไว้กันหรือ ถึงแม้นางจะได้มาเกิดใหม่ แต่ก็ยังหนีไม่พ้นที่เกิดมาอยู่บนโลกใบเดิม โลกที่มีแต่คนใจร้ายและเห็นแก่ตัวเช่นคนพวกนั้น เพียงแค่นึกไปถึงเรื่องราวในอดีต น้ำตาของนางก็ไหลลงมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่….“ท่านป้า… ท่านป้าเจ้าคะ”เสียงหวานเล็กที่ล่องลอยมาตามหมอกควันนั้นช่างแผ่วเบาจนโจวเจินเจินแทบจะไม่ได้ยิน นางค่อยๆ เยื้องย่างฝ่ากลุ่มหมอกควันที่ขาวโพลนมองแทบจะไม่เห็นสิ่งใด แต่แล้วภาพที่นางได้มองเห็นเบื้องหน้ากลับทำให้นางต้องตาเบิกโพลงด้วยความตระหนกตกใจ“จะ…เจินเอ๋อร์….”เสียงหวานขานนามของเด็กหญิงตรงหน้าออกมา รอยยิ้มจากใบหน้าเล็กนั้นทำให้นางร่ำไห้ด้วยความคะนึงหาผู้เป็นหลานสาว เจ้าของร่างที่แท้จริงที่นางได้มามีชีวิตใหม่“หลานยินดียิ่งนักที่ท่านป้าได้พบกับความรักที่แท้จริงแล้ว” เสียงเล็กดังแผ่วมาจากเด็กหญิงตรงหน้า“ใช่แล้วหลานรัก ป้าได้พบกับความรักที่ป้าไม่เคยได้รับมาในชีวิตก่อน มันช่างเป็นสิ่งที่งดงามยิ่งนัก”“ที่ท่านได้กลับมา… ก็เพื่อการนี้แหละเจ้าค่ะ ท่านป้า… ท่านเหมาะสมคู่ควรที่จะได้รับความรักจากทุกคน หลานขอให้ท่านป้าใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของร่างนี้ให้มีความสุขนะเจ้าคะ”ฉินเซี่ยหรูที่เป็นโจวเจินเจินในร่างผู้ใหญ่พยักหน้าทั้งน้ำตา ที่แท้สวรรค์ให้โอกาสนางได้กล
หนึ่งปีต่อมาเสียงหัวเราะของเด็กน้อยวัยกำลังหัดเดินดังมาจากสวนดอกไม้ที่อยู่ภายในจวนสกุลเจียง นัยน์ตากลมจ้องมองไปยังบุตรชายตัวน้อยด้วยความห่วงใย ร่างเล็กกำลังเดินเตาะแตะตามซิ่วจิ่นไปรอบๆ สวนดอกไม้ที่กำลังผลิดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ แสงแดดอ่อนๆ ที่สาดส่องลงมานั้นไม่ได้ทำให้อากาศร้อนมากนัก แต่ทว่ากลับเย็นสบายไปด้วยลมหนาวที่พัดผ่านมา“ดื่มน้ำชาก่อนเถิดเจ้าค่ะนายหญิง” อี้ถงรินน้ำชาใส่ถ้วยชาให้แก่โจวเจินเจิน ควันของชาลอยกรุ่นปะทะกับอากาศ เหมันตฤดูปีนี้ไม่หนาวเท่าใดนัก“ข้าไม่เคยนึกถึงภาพเช่นนี้มาก่อนเลยอี้ถง” จู่ๆ โจวเจินเจินก็กล่าวออกมา อี้ถงยิ้มเพียงเล็กน้อย“แล้วคุณหนูใหญ่ของบ่าวมีความสุขใช่หรือไม่เจ้าคะ” โจวเจินเจินหันไปมองหน้าสาวรับใช้คนสนิทพลางพยักหน้า“เพียงแค่นี้ก็ไม่มีอันใดให้นึกเสียดายแล้วล่ะเจ้าค่ะ”คนฟังยิ้มออกมาในขณะที่สายตาก็ยังคงจับจ้องมองไปที่ร่างเล็กที่ส่งเสียงหัวเราะเอิ้กอ้าก จากเดินเพียงช้าๆ ตามหลังของพี่เลี้ยง คุณชายน้องเจียงจางหย่งกลับเร่งความไวขึ้นแซงหน้าซิ่วจิ่นไป โจวเ
“น้องยินดีด้วยนะเจ้าคะท่านพี่ใหญ่ ในที่สุดพี่สะใภ้ก็ไม่เหม็นหน้าท่านแล้วคิกๆๆๆ”เจียงมู่หลานที่ได้ออกเรือนไปบุตรชายท่านเจ้าเมืองฮวาหลานเมื่อสามเดือนก่อนกล่าวหยอกล้อพี่ชายพลางหัวเราะออกมาวันนี้นางได้มีโอกาสกลับมาเยี่ยมเยือนท่านพ่อท่านแม่ พี่ชายใหญ่และพี่สะใภ้ รวมไปถึงหลานในท้องของพี่สะใภ้ หลังจากที่ไม่ได้แวะเวียนมานานนับเดือนเพียงเพราะไปท่องเที่ยวเมืองหลวงกับสามีของนาง นางนั้นทราบเรื่องที่พี่สะใภ้แพ้ท้องเหม็นพี่ชายตั้งแต่ก่อนออกเรือน ครั้นได้รู้ว่าพี่สะใภ้ไม่มีอาการแพ้ท้องแล้วจึงนึกสนุกแซวพี่ชายของตนออกมา เจียงมู่จื้อจึงยกกำปั้นขึ้นมาโขกศีรษะของนางอย่างแรง‘โป๊ก’“โอ๊ย!!! พี่ใหญ่ ท่านรังแกน้อง”“อืม… หมั่นไส้ ระวังเอาไว้ให้ดีเถิด ระวังถึงคราที่ตัวเจ้ามีครรภ์และมีอาการเช่นนี้ใส่น้องเขยบ้าง" เจียงมู่หลานหันหลังใส่พี่ชายแล้วไปฟ้องพี่สะใภ้ทันที“พี่สะใภ้ ดูสามีของท่านเถิด ช่างพูดจาได้ไม่น่าฟังยิ่งนัก”นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเง้างอนจนโจวเจินเจินนึกขัน ทั้งที่สองพี่น้องวัยก็ห่างกันหลายป
หลังจากที่กลับมาจากจวนสกุลโจว โจวเจินเจินก็ได้บอกเรื่องที่นางกำลังมีครรภ์ให้แก่ท่านพ่อและท่านแม่ของสามีได้ทราบ ใต้เท้าเจียงและเจียงฮูหยินนั้นต่างรู้สึกยินดีกับเรื่องที่ได้ยินยิ่งนัก เพราะการได้มีหลานคนแรกถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีของตระกูลเจียง เจียงฮูหยินที่กำลังจะกลายเป็นฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับน้ำตาไหลลงมาอาบใบหน้าด้วยความปีติยินดี“นี่เรากำลังจะได้เป็นปู่เป็นย่ากับเขาแล้วหรือนี่ น้องมิได้ฝันไปใช่หรือไม่เจ้าคะท่านพี่” เจียงฮูหยินเอ่ยถามใต้เท้าเจียงออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“เจ้ามิได้ฝันไปหรอกหนาน้องหญิง ก็เจินเอ๋อร์บอกว่านางได้ให้ท่านหมอตรวจมาจากจวนสกุลโจวแล้ว ก็ย่อมเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว ใช่หรือไม่เจินเอ๋อร์” ท่านใต้เท้าเจียงตอบภรรยาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนที่จะถามลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงเช่นเดียวกัน“เจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกกำลังมีครรภ์จริงเจ้าค่ะ ท่านหมอตู้ตรวจดูแล้วไม่ผิดแน่”ท่านหมอตู้นั้นเป็นหมอที่มีชื่อเสียงในเมืองฮวาหลาน มีหรือที่เขาจะตรวจผิดพลาด อีกทั้งอาการของนางก็บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังมีครรภ์แน่นอน“ฮือ…. ขอบน้ำใจเ
สามเดือนต่อมาหลังจากออกเรือนไปโจวเจินเจินก็ไม่ลืมที่จะแวะเวียนกลับมาเยี่ยมเยือนบิดามารดาที่จวนสกุลโจว ใต้เท้าเจียงและเจียงฮูหยินเอ็นดูลูกสะใภ้ยิ่งนัก ทั้งสองไม่เคยห้ามให้นางได้ทำในสิ่งที่นางต้องการเลย ยิ่งสามียิ่งมอบความรักและคอยดูแลทะนุถนอมนางเป็นอย่างดี ทำให้โจวเจินเจินไม่นึกเสียใจเลยที่ได้ออกเรือนไปกับเขา“กลับมาเยี่ยมย่าทุกเดือนเช่นนี้ พ่อแม่สามีของเจ้ามิตำหนิหรือเจินเอ๋อร์….” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามหลานสาวออกมาด้วยความสงสัย“ไม่เลยเจ้าค่ะท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่เมตตาหลานยิ่งนัก หลานอยากจะไปที่ใด หรืออยากจะทำสิ่งใด ท่านทั้งสองมิเคยเข้ามายุ่งหรือนึกสงสัยในสิ่งที่ข้าทำเลยสักนิดเจ้าค่ะ”“ดี… ดียิ่งนัก เป็นโชคดีของหลานแล้วล่ะเจินเอ๋อร์… มีสามีที่รักและทะนุถนอมเจ้า ยังไม่ดีเท่ามีพ่อแม่สามีที่รักและเอ็นดูเจ้า” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวออกมาทั้งใบหน้าที่ยิ้มแย้มนางรู้สึกยินดีกับหลานสาวยิ่งนักที่ได้พบกับตระกูลที่ดี ตั้งแต่ออกเรือนไปนางยังไม่เคยเห็นหลานสาวมีปัญหาอันใดมาบอกเล่าให้ฟังเลย ครั้นหลอกถามอี้ถงสาวรับใช้คนสนิ
โจวเจินเจินหัวใจเต้นแรงยามที่ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น อี้ถงออกไปข้างนอกนานเกือบหนึ่งเค่อแล้ว นางในยามนี้ยังคงนั่งอยู่บนเตียงที่มีผ้าแพรสีแดงประดับตกแต่ง ผ้าคลุมหน้านั้นบางจนเห็นภาพของผู้ที่กำลังเยื้องย่างเข้ามา กลิ่นของสุราลอยมาแตะจมูก นางขยับกายด้วยความประหม่าก่อนที่ผ้าคลุมหน้าจะถูกสามีใช้คันชั่งเปิดออก ดวงหน้างามเผยออกมาปะทะกับแสงจากตะเกียงไฟสีเหลืองนวล ริมฝีปากหนาของเจียงมู่จื้อผุดรอยยิ้มออกมา“รอพี่นานหรือไม่…น้องหญิง”เขานั่งเคียงข้างนางพลางเอ่ยถามออกมา ดวงหน้างามฉายแววของความเขินอาย ครั้นยังเป็นฉินเซี่ยหรูนางไม่เคยมานั่งจ้องหน้ากับหวงจิงอวี่เช่นนี้ด้วยซ้ำ ทำให้นางไร้ประสบการณ์ในด้านนี้อย่างแท้จริง“มะ…ไม่นานเลยเจ้าค่ะ” เสียงหวานตอบเขาออกไป“ถ้าเช่นนั้น… เรามาดื่มเหล้ามงคลกันก่อนเถิด”โจวเจินเจินพยักหน้า ชายหนุ่มจึงลุกจากที่นอนแล้วเดินไปยังโต๊ะที่อยู่กลางห้อง จอกสุรามงคลและจอกเพื่อใส่สุราถูกเจียงมู่จื้อถือกลับมายังเตียงนอน เขารินสุราใส่จอกก่อนที่จะส่งให้แก่สตรีที่กำลังจะเป็นภรรยาของเขาอย่างสมบู