“ร้องดังๆ”
เสียงเข้มสั่งคนใต้ร่าง เขาตั้งใจทำให้คนในเรือนใหญ่ได้ยิน อนุเซียวจึงร้องครางออกมาเสียงดังลั่นเพื่อให้สามีพึงพอใจกับรสรักและลีลาการอุ่นเตียงของนาง นางอยากจะรั้งเขาไว้ที่เรือนนี้นานๆ ยามนี้เป็นโอกาสดีของนางเพราะนายหญิงรองมีครรภ์และเขาก็มิได้ไปเยือนเรือนของนายหญิงใหญ่มานานแล้ว “นายหญิงใหญ่เจ้าคะ…” ชีโยวอดที่จะสงสารคุณหนูใหญ่ของนางมิได้ นายท่านทำร้ายจิตใจคุณหนูใหญ่มากเกินไปแล้ว ภายใต้สีหน้าที่แสดงความเย็นชาของคุณหนูเหตุใดนางจะมิล่วงรู้ว่าจิตใจของนางต้องเจ็บปวดมากถึงเพียงใด “ข้ามิเป็นอันใดหรอก…พวกเจ้าสองคนไปนอนเถอะ ข้าก็จะนอนแล้วเช่นกัน” ฉินเซี่ยหรูบอกก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้ตัวยาวติดหน้าต่างเดินเข้าไปภายในห้องนอน ทั้งชีโยวและหุ้ยเจินถึงกับถอนหายใจออกมา นางทั้งสองเป็นเพียงบ่าวข้างกายจะทำอันใดได้นอกจากคอยอยู่เคียงข้างคุณหนูของพวกนาง บ่าวทั้งสองทำตามคำสั่งทั้งคู่ออกจากห้องไปหลังจากเตรียมที่นอนให้แก่นายหญิงใหญ่และดับไฟในตะเกียงเรียบร้อย “ข้าไปทำอันใดให้ท่านกัน ท่านถึงได้ทรมานจิตใจข้าได้เลือดเย็นถึงเพียงนี้” ฉินเซี่ยหรูพึมพำเบาๆ พลางปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงมา ความเจ็บปวดที่มิอาจแสดงออกมาได้ทำให้นางรู้สึกอึดอัดและทนทุกข์ทรมานใจ นางร้องไห้จนตนเองผล็อยหลับไปโดยมิได้สนใจเสียงครางโหยหวนนั่นอีก แม้จิตใจของนางจะบอบช้ำเพียงใดแต่พอฉินเซี่ยหรงที่แต่งงานออกไปก่อนนางสองปีพาหลานสาววัยหนึ่งขวบมาเยี่ยมเยือนนางก็พอจะทำให้ชีวิตของนางที่เคยห่อเหี่ยวมีความสุขได้บ้าง เสียงหัวเราะของหลานสาวทำให้นางรู้สึกลืมความเจ็บปวดไปได้ชั่วขณะ “ท่านพี่… ท่านสบายดีหรือไม่” เห็นสีหน้าที่ยิ้มแย้มของพี่สาวฉินเซี่ยหรงก็พอวางใจว่าสกุลหวงคงมิได้แย่อย่างที่คนภายนอกนำไปติฉินนินทากัน “พี่สบายดี เจินเอ๋อร์….หลานรักของป้า มาให้ป้าหอมแก้มเจ้าสักทีสิลูก” เด็กหญิงวัยเกือบสองขวบเดินเตาะแตะเข้าไปหาผู้เป็นป้า สาวรับใช้คนสนิทของฉินเซี่ยหรูแม้จะรู้สึกคันปากยุบยิบอยากจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณหนูใหญ่ให้คุณหนูรองได้ฟังก็มิอาจบอกกล่าวต่อหน้าคุณหนูใหญ่ได้ มิเช่นนั้นนางคงจะโกรธเคืองพวกนางที่ไปเล่าเรื่องราวในจวนให้คนนอกฟัง “อืม… ชื่นใจที่สุด แค่นี้ป้าก็มีแรงแล้วล่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยยิ้มออกมาเมื่อถูกผู้เป็นป้าหอมแก้ม “หุ้ยเจินเจ้าไปหยิบเอากล่องเครื่องประดับมาให้ข้าหน่อย ข้าจะให้ของขวัญแก่เจินเอ๋อร์ หลานสาวของข้า” นางส่งยิ้มไปให้สาวรับใช้ หุ้ยเจินรับคำสั่งก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องของนายหญิงแล้วหยิบกล่องเครื่องประดับออกมา “เจินเอ๋อร์… ไหนลองเลือกสิว่าเจ้าชอบสิ่งใด ป้าจะยกให้” บอกหลานสาวก่อนที่จะส่งกล่องเครื่องประดับเปิดฝาเผยให้เห็นเครื่องประดับมากมายอยู่ภายใน มือเล็กของเด็กหญิงยื่นไปหยิบเอาปิ่นปักผมสีเขียวมรกตออกมาถือเอาไว้ราวกับชอบมัน ริมฝีปากอิ่มของผู้เป็นป้าและมารดายิ้มออกมา “หรงเอ๋อร์… ดูเจินเอ๋อร์จะชอบปิ่นนี่นะ พอนางอายุสิบห้าปีเจ้าใช้ปิ่นนี้ปักให้แก่นางด้วยล่ะ” เหมือนกับเป็นคำสั่งเสียที่ทุกคนมิอาจรับรู้ได้ในภายภาคหน้า “เจ้าค่ะท่านพี่” ฉินเซี่ยหรงยิ้มออกมาเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของพี่สาวที่ส่งมาให้ตน แม้รอยยิ้มจะสดใสแต่ทว่าแววตาของนางกลับมิได้มีความสุขเลย หลังจากที่พาบุตรีเยี่ยมเยือนพี่สาวอยู่นานเกือบครึ่งชั่วยาม ฉินเซี่ยหรงก็ขอตัวพาบุตรีกลับเพราะจวนจะถึงยามที่สามีของนางกลับมาจากทำงาน แต่ก่อนที่จะกลับออกจากจวนสกุลหวงไปนางก็มิวายถามไถ่เรื่องราวของพี่สาวจากสาวรับใช้คนสนิทของพี่สาวของนาง “เรื่องราวก็เป็นอย่างที่บ่าวเล่าให้คุณหนูรองฟังนั่นแหละเจ้าค่ะ คนที่จวนนี้เห็นคุณหนูใหญ่เป็นเพียงภรรยาเอก สะใภ้เอกไว้เพื่อประดับจวนสกุลหวงเท่านั้น บ่าวทราบดีว่าคุณหนูใหญ่ทุกข์ใจเพียงใด แต่บ่าวก็มิอาจจะพูดมากได้ สองปีแล้วนะเจ้าคะ สองปีกับการต้องทนอยู่กับพวกคนใจดำพวกนี้ โดยเฉพาะท่านเขย เขามิเพียงมิเคยร่วมเตียงกับนายหญิง ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งหมางเมิน สร้างเรือนให้แก่อนุก็สร้างมิไกลจากเรือนใหญ่ ยามค่ำคืนก็มักจะส่งเสียงมารบกวนคุณหนูใหญ่อยู่บ่อยครั้งอีกด้วยเจ้าค่ะ” หุ้ยเจินเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้คุณหนูรองฟังทั้งหมด ด้วยความคับอกคับใจ “มีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ ถึงว่าพี่ใหญ่ของข้านางมีแววตาที่แสนเศร้าเช่นนั้น นางบัดนี้มิได้สดใสเช่นกับยามเมื่ออยู่ที่จวนสกุลฉินเลย แล้วข้าจะทำเช่นไรได้บ้าง บัดนี้ข้าก็เปรียบเสมือนกับเป็นคนนอก จะเข้ามาก้าวก่ายเรื่องราวของต่างสกุลก็มิได้” ฉินเซี่ยหรงถอนหายใจออกมาเมื่อรับรู้ถึงความทุกข์ของพี่สาว แต่นางจะช่วยเหลือพี่สาวนางได้เช่นไรเพราะนี่ถือว่าเป็นเรื่องราวภายในครอบครัวของพี่สาวนาง จะยื่นมือเข้าไปก็มิใช่เรื่องที่ถูกที่ควร “เอาอย่างนี้… เดี๋ยวรอข้าไปปรึกษาหารือเรื่องนี้กับท่านพ่อท่านแม่ก่อนก็แล้วกัน ระหว่างนี้พวกเจ้าก็ช่วยกันดูแลและปกป้องพี่สาวของข้าด้วยนะหุ้ยเจิน…ชีโยว” “พวกข้าจะดูแลปกป้องคุณหนูใหญ่เท่าที่จะทำได้เจ้าค่ะ” ฉินเซี่ยหรงฝากฝังสองสาวรับใช้ก่อนที่จะเดินไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่ด้านหน้าจวน สองสาวรับใช้คนสนิทของฉินเซี่ยหรูมองตามรถม้าของคุณหนูรองไปด้วยแววตาแห่งความหวัง ผู้ใดกันจะมาช่วยให้คุณหนูใหญ่ของพวกนางหลุดพ้นจากความทุกข์ใจในครานี้ได้ นี่หรือหน้าที่ของบุตรีที่ควรจะกระทำ แต่งงานออกมาก็กลายเป็นคนนอกสกุลไป หามีผู้ใดกลับมาสนใจไยดี แต่งงานทั้งทีสามีผู้นี้ก็มิได้เห็นค่า อีกทั้งยังทำร้ายจิตใจนางซ้ำแล้วซ้ำแล้วซ้ำเล่า“ท่านป้า… ท่านป้าเจ้าคะ”เสียงหวานเล็กที่ล่องลอยมาตามหมอกควันนั้นช่างแผ่วเบาจนโจวเจินเจินแทบจะไม่ได้ยิน นางค่อยๆ เยื้องย่างฝ่ากลุ่มหมอกควันที่ขาวโพลนมองแทบจะไม่เห็นสิ่งใด แต่แล้วภาพที่นางได้มองเห็นเบื้องหน้ากลับทำให้นางต้องตาเบิกโพลงด้วยความตระหนกตกใจ“จะ…เจินเอ๋อร์….”เสียงหวานขานนามของเด็กหญิงตรงหน้าออกมา รอยยิ้มจากใบหน้าเล็กนั้นทำให้นางร่ำไห้ด้วยความคะนึงหาผู้เป็นหลานสาว เจ้าของร่างที่แท้จริงที่นางได้มามีชีวิตใหม่“หลานยินดียิ่งนักที่ท่านป้าได้พบกับความรักที่แท้จริงแล้ว” เสียงเล็กดังแผ่วมาจากเด็กหญิงตรงหน้า“ใช่แล้วหลานรัก ป้าได้พบกับความรักที่ป้าไม่เคยได้รับมาในชีวิตก่อน มันช่างเป็นสิ่งที่งดงามยิ่งนัก”“ที่ท่านได้กลับมา… ก็เพื่อการนี้แหละเจ้าค่ะ ท่านป้า… ท่านเหมาะสมคู่ควรที่จะได้รับความรักจากทุกคน หลานขอให้ท่านป้าใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของร่างนี้ให้มีความสุขนะเจ้าคะ”ฉินเซี่ยหรูที่เป็นโจวเจินเจินในร่างผู้ใหญ่พยักหน้าทั้งน้ำตา ที่แท้สวรรค์ให้โอกาสนางได้กล
หนึ่งปีต่อมาเสียงหัวเราะของเด็กน้อยวัยกำลังหัดเดินดังมาจากสวนดอกไม้ที่อยู่ภายในจวนสกุลเจียง นัยน์ตากลมจ้องมองไปยังบุตรชายตัวน้อยด้วยความห่วงใย ร่างเล็กกำลังเดินเตาะแตะตามซิ่วจิ่นไปรอบๆ สวนดอกไม้ที่กำลังผลิดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ แสงแดดอ่อนๆ ที่สาดส่องลงมานั้นไม่ได้ทำให้อากาศร้อนมากนัก แต่ทว่ากลับเย็นสบายไปด้วยลมหนาวที่พัดผ่านมา“ดื่มน้ำชาก่อนเถิดเจ้าค่ะนายหญิง” อี้ถงรินน้ำชาใส่ถ้วยชาให้แก่โจวเจินเจิน ควันของชาลอยกรุ่นปะทะกับอากาศ เหมันตฤดูปีนี้ไม่หนาวเท่าใดนัก“ข้าไม่เคยนึกถึงภาพเช่นนี้มาก่อนเลยอี้ถง” จู่ๆ โจวเจินเจินก็กล่าวออกมา อี้ถงยิ้มเพียงเล็กน้อย“แล้วคุณหนูใหญ่ของบ่าวมีความสุขใช่หรือไม่เจ้าคะ” โจวเจินเจินหันไปมองหน้าสาวรับใช้คนสนิทพลางพยักหน้า“เพียงแค่นี้ก็ไม่มีอันใดให้นึกเสียดายแล้วล่ะเจ้าค่ะ”คนฟังยิ้มออกมาในขณะที่สายตาก็ยังคงจับจ้องมองไปที่ร่างเล็กที่ส่งเสียงหัวเราะเอิ้กอ้าก จากเดินเพียงช้าๆ ตามหลังของพี่เลี้ยง คุณชายน้องเจียงจางหย่งกลับเร่งความไวขึ้นแซงหน้าซิ่วจิ่นไป โจวเ
“น้องยินดีด้วยนะเจ้าคะท่านพี่ใหญ่ ในที่สุดพี่สะใภ้ก็ไม่เหม็นหน้าท่านแล้วคิกๆๆๆ”เจียงมู่หลานที่ได้ออกเรือนไปบุตรชายท่านเจ้าเมืองฮวาหลานเมื่อสามเดือนก่อนกล่าวหยอกล้อพี่ชายพลางหัวเราะออกมาวันนี้นางได้มีโอกาสกลับมาเยี่ยมเยือนท่านพ่อท่านแม่ พี่ชายใหญ่และพี่สะใภ้ รวมไปถึงหลานในท้องของพี่สะใภ้ หลังจากที่ไม่ได้แวะเวียนมานานนับเดือนเพียงเพราะไปท่องเที่ยวเมืองหลวงกับสามีของนาง นางนั้นทราบเรื่องที่พี่สะใภ้แพ้ท้องเหม็นพี่ชายตั้งแต่ก่อนออกเรือน ครั้นได้รู้ว่าพี่สะใภ้ไม่มีอาการแพ้ท้องแล้วจึงนึกสนุกแซวพี่ชายของตนออกมา เจียงมู่จื้อจึงยกกำปั้นขึ้นมาโขกศีรษะของนางอย่างแรง‘โป๊ก’“โอ๊ย!!! พี่ใหญ่ ท่านรังแกน้อง”“อืม… หมั่นไส้ ระวังเอาไว้ให้ดีเถิด ระวังถึงคราที่ตัวเจ้ามีครรภ์และมีอาการเช่นนี้ใส่น้องเขยบ้าง" เจียงมู่หลานหันหลังใส่พี่ชายแล้วไปฟ้องพี่สะใภ้ทันที“พี่สะใภ้ ดูสามีของท่านเถิด ช่างพูดจาได้ไม่น่าฟังยิ่งนัก”นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเง้างอนจนโจวเจินเจินนึกขัน ทั้งที่สองพี่น้องวัยก็ห่างกันหลายป
หลังจากที่กลับมาจากจวนสกุลโจว โจวเจินเจินก็ได้บอกเรื่องที่นางกำลังมีครรภ์ให้แก่ท่านพ่อและท่านแม่ของสามีได้ทราบ ใต้เท้าเจียงและเจียงฮูหยินนั้นต่างรู้สึกยินดีกับเรื่องที่ได้ยินยิ่งนัก เพราะการได้มีหลานคนแรกถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีของตระกูลเจียง เจียงฮูหยินที่กำลังจะกลายเป็นฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับน้ำตาไหลลงมาอาบใบหน้าด้วยความปีติยินดี“นี่เรากำลังจะได้เป็นปู่เป็นย่ากับเขาแล้วหรือนี่ น้องมิได้ฝันไปใช่หรือไม่เจ้าคะท่านพี่” เจียงฮูหยินเอ่ยถามใต้เท้าเจียงออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“เจ้ามิได้ฝันไปหรอกหนาน้องหญิง ก็เจินเอ๋อร์บอกว่านางได้ให้ท่านหมอตรวจมาจากจวนสกุลโจวแล้ว ก็ย่อมเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว ใช่หรือไม่เจินเอ๋อร์” ท่านใต้เท้าเจียงตอบภรรยาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนที่จะถามลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงเช่นเดียวกัน“เจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกกำลังมีครรภ์จริงเจ้าค่ะ ท่านหมอตู้ตรวจดูแล้วไม่ผิดแน่”ท่านหมอตู้นั้นเป็นหมอที่มีชื่อเสียงในเมืองฮวาหลาน มีหรือที่เขาจะตรวจผิดพลาด อีกทั้งอาการของนางก็บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังมีครรภ์แน่นอน“ฮือ…. ขอบน้ำใจเ
สามเดือนต่อมาหลังจากออกเรือนไปโจวเจินเจินก็ไม่ลืมที่จะแวะเวียนกลับมาเยี่ยมเยือนบิดามารดาที่จวนสกุลโจว ใต้เท้าเจียงและเจียงฮูหยินเอ็นดูลูกสะใภ้ยิ่งนัก ทั้งสองไม่เคยห้ามให้นางได้ทำในสิ่งที่นางต้องการเลย ยิ่งสามียิ่งมอบความรักและคอยดูแลทะนุถนอมนางเป็นอย่างดี ทำให้โจวเจินเจินไม่นึกเสียใจเลยที่ได้ออกเรือนไปกับเขา“กลับมาเยี่ยมย่าทุกเดือนเช่นนี้ พ่อแม่สามีของเจ้ามิตำหนิหรือเจินเอ๋อร์….” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามหลานสาวออกมาด้วยความสงสัย“ไม่เลยเจ้าค่ะท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่เมตตาหลานยิ่งนัก หลานอยากจะไปที่ใด หรืออยากจะทำสิ่งใด ท่านทั้งสองมิเคยเข้ามายุ่งหรือนึกสงสัยในสิ่งที่ข้าทำเลยสักนิดเจ้าค่ะ”“ดี… ดียิ่งนัก เป็นโชคดีของหลานแล้วล่ะเจินเอ๋อร์… มีสามีที่รักและทะนุถนอมเจ้า ยังไม่ดีเท่ามีพ่อแม่สามีที่รักและเอ็นดูเจ้า” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวออกมาทั้งใบหน้าที่ยิ้มแย้มนางรู้สึกยินดีกับหลานสาวยิ่งนักที่ได้พบกับตระกูลที่ดี ตั้งแต่ออกเรือนไปนางยังไม่เคยเห็นหลานสาวมีปัญหาอันใดมาบอกเล่าให้ฟังเลย ครั้นหลอกถามอี้ถงสาวรับใช้คนสนิ
โจวเจินเจินหัวใจเต้นแรงยามที่ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น อี้ถงออกไปข้างนอกนานเกือบหนึ่งเค่อแล้ว นางในยามนี้ยังคงนั่งอยู่บนเตียงที่มีผ้าแพรสีแดงประดับตกแต่ง ผ้าคลุมหน้านั้นบางจนเห็นภาพของผู้ที่กำลังเยื้องย่างเข้ามา กลิ่นของสุราลอยมาแตะจมูก นางขยับกายด้วยความประหม่าก่อนที่ผ้าคลุมหน้าจะถูกสามีใช้คันชั่งเปิดออก ดวงหน้างามเผยออกมาปะทะกับแสงจากตะเกียงไฟสีเหลืองนวล ริมฝีปากหนาของเจียงมู่จื้อผุดรอยยิ้มออกมา“รอพี่นานหรือไม่…น้องหญิง”เขานั่งเคียงข้างนางพลางเอ่ยถามออกมา ดวงหน้างามฉายแววของความเขินอาย ครั้นยังเป็นฉินเซี่ยหรูนางไม่เคยมานั่งจ้องหน้ากับหวงจิงอวี่เช่นนี้ด้วยซ้ำ ทำให้นางไร้ประสบการณ์ในด้านนี้อย่างแท้จริง“มะ…ไม่นานเลยเจ้าค่ะ” เสียงหวานตอบเขาออกไป“ถ้าเช่นนั้น… เรามาดื่มเหล้ามงคลกันก่อนเถิด”โจวเจินเจินพยักหน้า ชายหนุ่มจึงลุกจากที่นอนแล้วเดินไปยังโต๊ะที่อยู่กลางห้อง จอกสุรามงคลและจอกเพื่อใส่สุราถูกเจียงมู่จื้อถือกลับมายังเตียงนอน เขารินสุราใส่จอกก่อนที่จะส่งให้แก่สตรีที่กำลังจะเป็นภรรยาของเขาอย่างสมบู