“สวัสดีค่ะ ที่นี่คือ ‘สายด่วนชวนฝัน’ บริการที่จะทำให้ค่ำคืนของคุณนั้นเร่าร้อนกว่าที่เคย” หลินซีรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงล้อเลียนเหมือนพนักงานต้อนรับ ก่อนที่เจิ้งลี่ซาจะครางออกมา
“อย่าเพิ่งเล่นสิหลินซี”
“อ้าว เป็นอะไรไปลี่ซา”
“เจ้านายฉันมันทุเรศมากน่ะสิ แล้วฉันก็คิดว่าเขากำลังจะพยายามจะขายฉันไปค้าประเวณีหรืออะไรทำนองนั้นแหละ”
“ขายเธอไปค้าประเวณีเหรอ”
“หรือว่าค้าทาสหรืออะไรก็แล้วแต่เถอะน่า” เธอพูดอย่างหงุดหงิด “ฉันว่าฉันกำลังทำผิดพลาดครั้งใหญ่แล้วล่ะ”
“เธอหมายถึงงานนักเต้นยั่วนั่นน่ะเหรอ”
“มันไม่ใช่งานนักเต้นยั่วสักหน่อย” เธอครวญคราง “ฉันจะต้องไปเป็นผู้ช่วยของเขาเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ แล้วฉันก็จะต้องไปเต้นยั่วเร็ว ๆ ให้เขาดูในการประชุมของบริษัท แล้วเพื่อนเขาก็จะบุกเข้ามาแล้วก็พูดว่า ‘เซอร์ไพรส์’ หรืออะไรทำนองนั้นแหละ”
“แล้วเรื่องนั้นมันมีอะไรผิดปกติล่ะ มันก็แค่งาน ๆ หนึ่งเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ” หลินซีถามอย่างใสซื่อ
“ฉันรู้ว่ามันก็แค่งาน ๆ หนึ่ง แต่เขาดูหล่อ แล้วก็...แล้วถ้ามันเกิดอะไรขึ้นมาล่ะ”
“เธอหมายความว่ายังไง มันจะเกิดอะไรขึ้นได้ล่ะ” หลินซีพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง
“แล้วถ้าเขาเกิดมีอารมณ์ขึ้นมาระหว่างที่ฉันเต้นยั่วอยู่หรืออะไรทำนองนั้นล่ะ หรือว่า...เธอก็รู้นี่นา”
“รู้อะไรเหรอ” เธอถามอย่างตื่นเต้น
“แล้วถ้าฉันชอบเขาขึ้นมาล่ะ” เธอครางออกมา พลางนึกถึงรูปถ่ายใบนั้น “เขาก็ดูมีเสน่ห์มากจริง ๆ นะ”
“เพื่อนเอ๊ย แกนี่มันฟังดูเหมือนคนสิ้นหวังเลยนะ” หลินซีหัวเราะ “ไปออกเดตกับพวกผู้ชายจากในเน็ตสักคนหนึ่ง แล้วก็ไปสนใจพวกเขาแทนที่จะมาสนใจผู้ชายคนนี้ที่เธอยังไม่รู้จักเลยดีกว่าน่า”
“ฉันไม่อยากจะไปเจอพวกผู้ชายพวกนั้นสักหน่อย” เธอถอนหายใจออกมาเบา ๆ ขณะที่ก้าวขึ้นรถ “พวกนั้นดูไม่เหมือนสเปกฉันเลยสักนิด”
“เธอจะไม่มีวันรู้หรอกน่า จนกว่าจะได้เจอพวกเขาจริง ๆ” หลินซีพูดอย่างรู้ดี “แล้วผู้ชายคนนั้นล่ะ หม่าเค่อไง เขาดูหล่อดีออกนะ เธอต้องออกไปข้างนอกบ้างนะลี่ซา เธอสามารถจะใช้เวลาทั้งชีวิตที่เหลืออยู่คิดถึงคนที่เธอรู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นใคร”
“ใช่ เขาก็ดูหล่อดีในชุดทหารนั่นแหละ ถึงแม้ว่าหน้าเขาจะถูกบังไปบางส่วนก็เถอะ” เธอไม่ได้ยอมรับคำเหน็บแนมของเพื่อนเกี่ยวกับเฉิน แฟนเก่าของเธอ เพื่อนพูดถูกในเรื่องที่ว่าเขาไม่ควรค่าแก่การที่จะมานั่งคิดถึงอีกต่อไปแล้ว ไม่เลยสักนิดเดียว
“เขารับใช้ชาติเรานะลี่ซา เขาควรจะได้ออกเดตกับเธอสักครั้ง”
“ฉันว่าก็คงจะอย่างนั้นแหละ” เธอหัวเราะ “อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละที่จะได้ขอบคุณเขาสำหรับการรับใช้ชาติของเขา”
“เห็นไหมล่ะ ถ้าเธอมีแฟนเป็นทหารสุดหล่อ เธอก็จะไม่มานั่งแคร์เรื่องผู้ชายที่เธอแกล้งทำเป็นทำงานให้หรอก”
“ฉันไม่คิดว่าหม่าเค่อจะมาเป็นแฟนฉันได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์หรอกนะ” เธอพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบา ๆ แต่เธอก็กำลังยิ้มอยู่ขณะที่ขับรถกลับบ้าน “แกนี่มันติงต๊องจริง ๆ เลย”
“เธอจะไม่ได้พูดแบบนั้นหรอกนะ ถ้าเขาขอเธอแต่งงานขึ้นมาจริง ๆ น่ะ”
“หลินซี ให้โอกาสฉันบ้างสิ ฉันยังไม่ได้เจอเขาเลยด้วยซ้ำ”
“ไปเจอเขาสุดสัปดาห์นี้สิ แบบนั้นตอนที่เธอเริ่มงานในวันจันทร์ เธอก็จะได้มีใครสักคนให้ฝันกลางวันถึง แล้วก็จะได้ไม่ไปหลงเสน่ห์เจ้านายปลอม ๆ ของเธอ”
“อืม ฉันว่านั่นก็จริงนะ” เธอพยักหน้า “โอเค ฉันจะส่งข้อความกลับไปหาเขาคืนนี้ แล้วก็ลองดูว่าเขาอยากจะมาเจอกันในคืนวันศุกร์หรืออะไรทำนองนั้นไหม”
“ความคิดดีนี่ แล้วไม่นานเธอก็จะได้งานแสดงดี ๆ แล้วก็สามารถจะบอกลาเถ้าแก่ป๋อและก็นิสัยน่ารังเกียจของเขาให้ไปไกล ๆ ได้แล้ว”
“ฉันแทบจะรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหวแล้ว”
เธอพูดอย่างโหยหาขณะที่นึกถึงงานที่เพิ่งจะตอบตกลงไป เธอรู้ดีว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอะไรขนาดนั้น แต่เธอก็ยังรู้สึกไม่ค่อยดีนักกับความจริงที่ว่าเธอได้รับงานที่รู้ดีอยู่แล้วว่าจะต้องไปเต้นยั่วให้ผู้ชายคนหนึ่งดู เธอไม่แคร์ด้วยซ้ำไปว่าเขาจะดูหล่อเหลาแค่ไหน
อืม...ก็ไม่เชิงหรอกนะ
น้ำเสียงของเขาแหบพร่าขณะโน้มใบหน้ามากระซิบชิดริมหู ลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดทำให้ผิวเนื้อของเธอซาบซ่านไปทั่วร่าง ขาแข้งพลันอ่อนแรงขึ้นมาดื้อ ๆเขาไม่รอคำตอบ แต่กลับจงใจเว้นจังหวะ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำยั่วยวน“ครั้งหน้าที่คุณอยู่บนเตียงผม ผมจะมัดคุณไว้ไม่ให้ดิ้นไปไหน แล้วจะบีบวิปครีมลงบนยอดอกของคุณ แล้วก็จะ...”“ฉู่เฮ่าหราน!” เธอตัดบทเขาเสียงเข้ม ใบหน้าของเธอร้อนเห่อเมื่อเหลือบไปเห็นซ่งจื่อหานกับฉู่ลี่เหยียนที่มองมาจากอีกมุมห้องด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ พวกเธอกำลังเปิดอัลบั้มรูปสมัยมัธยมดูกันอยู่ระหว่างรอเล่นเกมต่อ“ครับ...คุณเจิ้งลี่ซา” ฉู่เฮ่าหรานก้าวถอยหลังเล็กน้อย ก่อนจะส่งยิ้มซื่อตาใสกลับมาให้“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เธอตวาดเสียงเบาพลางทุบหน้าอกเขาเบา ๆ เป็นเชิงเตือน เมื่อเห็นว่าสองสาวทางโน้นแกล้งทำเป็นไม่สนใจ“หยุดอะไรครับ” เขายิ้มมุมปาก ใช้นิ้วลากไล้ผ่านริมฝีปากของเธอแผ่วเบา“คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ!” ดวงตาของเธอฉายแวววาวโรจน์ขณะเหลือบมองไปทางสองสาวอีกครั้ง นี่เขาคิดจะเล่นอะไรกันแน่ คิดจะแฉเรื่องของเราหรือไง!ความร้อนวาบแล่นไปทั่วใบหน้าและช่องท้องขณะที่เธอยืนเผชิญหน้ากับชายหนุ่มโอ
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารของบ้านตระกูลฉู่อบอุ่นเกินกว่าที่เธอคาดไว้มาก เจิ้งลี่ซาแทบไม่เชื่อว่าตัวเองจะได้รับการต้อนรับอย่างดีถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะซ่งจื่อหานที่น่ารักและเป็นมิตรกับเธอจนน่าแปลกใจ แต่ก็คงเพราะตอนนี้ที่ความสัมพันธ์ของเธอกับฉู่เฮ่าชวนลงตัวแล้ว หญิงสาวก็คงหมดห่วงเรื่องเธอไปกระมังเจิ้งลี่ซาหัวเราะตามบทสนทนาสนุก ๆ ระหว่างกู้หยุนเฟิงกับฉู่ลี่เหยียน แต่ในขณะเดียวกันก็ลอบสังเกตท่าทีของกู้เทียนอี้อยู่ไม่วางตา ทุกอิริยาบถของเขาคือข้อมูลชั้นดีที่จะต้องเอาไปรายงานให้หลินซีฟังหลังจากมื้อค่ำจบลง ทุกคนก็ย้ายมาตั้งวงกันที่โต๊ะไพ่นกกระจอกกลางห้องนั่งเล่น เสียงล้างไพ่ดังกรอกแกรกสร้างบรรยากาศครื้นเครงขึ้นมาทันที“คุณลี่ซามาเล่นด้วยกันสิคะ ขาดอยู่คนหนึ่งพอดีเลย” ฉู่ลี่เหยียนหันมาถามเธอ หลังจากเถียงเรื่องกฎการนับแต้มกับฉู่เฮ่าชวนจบไปหมาด ๆ“ฉันเหรอคะ” คนถูกชวนชะงักไปเล็กน้อยเมื่อจู่ ๆ ทุกสายตาก็จับจ้องมาที่เธอเป็นตาเดียว ความรู้สึกเหมือนถูกสปอตไลท์ส่องทำให้เธอไปไม่เป็นชั่วขณะหญิงสาวเผลอหันไปสบตาฉู่เฮ่าหรานโดยไม่รู้ตัว เขาส่งยิ้มบาง ๆ มาให้ ราวกับจะบอกเป็นนัย
เจิ้งลี่ซาหาจังหวะบอกลาฉู่ลี่เหยียนกับซ่งจื่อหานแบบสั้น ๆ โดยอ้างว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายและอยากกลับไปพักผ่อน โดยมีฉู่เฮ่าหรานอาสามาส่งเธอเอง เธอก้าวออกจากบ้านตระกูลฉู่ที่ยังคงอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะ มาสู่ความเงียบสงบและอากาศเย็นสบายของค่ำคืนภายนอก เขากุมมือเธอไว้ตั้งแต่อยู่ในบ้าน และยังไม่ยอมปล่อยจนกระทั่งเดินมาถึงรถของเขาบรรยากาศในรถเงียบสงัด มีเพียงเสียงเพลงเบา ๆ จากเครื่องเสียง แต่ไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัด กลับเป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูดและความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายใน แสงไฟจากท้องถนนสาดส่องเข้ามาเป็นระยะ ขับเน้นใบหน้าหล่อเหลาของเขาให้ดูเด่นชัดในความมืด หัวใจของเธอยังคงเต้นระรัวกับคำสารภาพที่จริงจังของเขา...‘ผมชอบคุณนะ เจิ้งลี่ซา ผมชอบคุณมาก’... มันยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเธอราวกับแผ่นเสียงตกร่องเมื่อรถเลี้ยวเข้าที่จอดรถใต้ดินของอพาร์ตเมนต์ที่เธอพักอยู่ เขาก็ดับเครื่องยนต์ แต่ยังไม่มีใครขยับ ทั้งสองนั่งนิ่งอยู่ในความเงียบ ปล่อยให้ความรู้สึกระหว่างกันก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ จนกระทั่งเขาเป็นฝ่ายเอื้อมม
“ไม่นะ!” หลินซีปฏิเสธทันควัน แต่แก้มกลับแดงก่ำ“แปลว่าเรื่องของแกกับกู้เทียนอีนี่ไม่มีลุ้นเลยว่างั้น”“ลี่ซา! หยุดเลยนะ! ไม่ต้องพูดถึงอีตาหยิ่งยโสน่าหมั่นไส้คนนั้นเลย”“แต่แกก็อยากจะขย้ำเขาล่ะสิ”“ไม่! ไม่ได้อยากซะหน่อย” เพื่อนปฏิเสธ แต่ก็หลุดหัวเราะออกมา“แต่ว่าคืนนี้ถ้าแกเจอเขา ก็ถ่ายรูปส่งมาให้ดูด้วยนะ”“แหม...แกนี่มัน...” เจิ้งลี่ซาหัวเราะ “ฉันยังแปลกใจไม่หายเลยที่ฉู่เฮ่าชวนกับซ่งจื่อหานยังชวนฉันไปคืนนี้ด้วยซ้ำ นี่มันการพบปะกันในครอบครัวเขานะ แล้วทุกคนก็รู้ว่าฉันกับฉู่เฮ่าชวนแค่เล่นละครกัน ฉันว่ามันแปลกชะมัดเลย”“แล้วพวกเขาก็ยังไม่รู้ใช่ไหมว่าแกเคยเดตกับฉู่เฮ่าหราน”“ก็เราไม่ได้เดตกันจริง ๆ นี่ แต่ก็นะ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าเราเคยนอนด้วยกัน” เธอครางออกมา “โอ๊ยยยย...หลินซี ช่วยย้ำให้ฟังอีกทีสิว่าฉันจะไปที่นั่นทำไม”“ก็ไปเจอฉู่เฮ่าหรานไงล่ะยัยบ้า” เพื่อนหัวเราะ “แล้วก็...ไปสืบเรื่องกู้เทียนอี้มาให้ฉันด้วย”“อ๋อ...งี้ก็ยอมรับแล้วสิว่าชอบเขาน่ะ” เธอพูดอย่างรู้ทัน“ฉันไม่ได้บอกว่าชอบซะหน่อย แค่อยากรู้ข้อมูลนิด
“ใจหายจังเลยนะหลินซี” เจิ้งลี่ซาพึมพำขณะสวมเสื้อผ้า“ฉันรู้ว่าที่จริงฉันไม่ควรมานั่งดราม่าแบบนี้เลยนะ ควรจะดีใจกับซ่งจื่อหานและฉู่เฮ่าชวนด้วยซ้ำ คือ...พวกเขาสองคนเหมาะสมกันดี ควรจะได้ลงเอยกันอย่างมีความสุข แต่ฉันก็อดใจหายไม่ได้อยู่ดี ที่ต่อไปนี้จะไม่มีฉันอยู่ในชีวิตของพวกเขาอีกแล้ว”“อืม...” หลินซีทำหน้าเห็นใจ “บางทีพวกเขาก็อาจจะยังอยากเป็นเพื่อนกับแกอยู่ก็ได้นะ”“ให้ซ่งจื่อหานมารู้ทีหลังว่าฉันเป็นแค่ตัวละครที่แฟนเขาจ้างมาแสดงละครตบตาเนี่ยนะ?” เธอทำหน้าแหย ๆ “ไม่มีทางหรอก”หลินซีเดินมานั่งลงบนเตียงของเพื่อน “เอาจริง ๆ นะ ฉันยังอึ้งอยู่เลยที่เรื่องมันจบลงด้วยดีได้ ฉันนึกว่าซ่งจื่อหานจะอาละวาดบ้านแตกแล้วสลัดฉู่เฮ่าชวนทิ้งไปซะอีก”“ซ่งจื่อหานกับฉันไม่เหมือนกันนี่” เจิ้งลี่ซาหัวเราะเบา ๆ ขณะติดตะขอสร้อยคอ “คงมีแต่ฉันล่ะมั้ง ที่จะสติแตกกับเรื่องโกหกได้ขนาดนั้น”“ใช่ แกมันเกินเบอร์ไปหน่อย” เพื่อนหัวเราะตาม ไม่คิดที่จะปลอบเพื่อนเลยแม้แต่น้อยจนได้รับค้อนจากเพื่อนกลับมา “อืม...แต่ก็ต้องดูด้วยว่าใครเป็นคนโกหก ถ้าเป็นผู้ชายที่มันไม่ได้เรื่องน่ะนะ!”
“ฉันเห็นคุณ แล้วฉันก็เห็นคุณจื่อหานด้วย” ลมหายใจของเธอสะดุด “และวันนี้คุณจื่อหานตบลูกได้สุดยอดที่สุดอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง”ฉู่เฮ่าหรานยิ้มมุมปาก “อืม...ครั้งนี้ผมยอมให้ก็ได้”“แหม ช่างเป็นสุภาพบุรุษจริงนะคะ”เธอหัวเราะพลางผลักอกเขาเบา ๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่เห็นซ่งจื่อหานมองมาพอดี แล้วเธอก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้“จริงสิ คุณจื่อหาน ดูนี่สิคะ” เธอหันไปหาซ่งจื่อหานแล้วชูข้อมือที่มีรอยแดงเป็นปื้นให้ดูเหมือนเป็นเหรียญกล้าหาญจากการแข่ง “สงสัยเราจะทุ่มสุดตัวไปหน่อย”จังหวะนั้นฉู่เฮ่าชวนเดินเข้ามาสมทบพอดี เขาช่วยพยุงซ่งจื่อหานให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเหลือบมองรอยแดงบนข้อมือของเจิ้งลี่ซาเช่นกัน เจิ้งลี่ซารู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยจึงก้าวถอยหลัง แต่เมื่อหันไปสบตาฉู่เฮ่าหรานอีกครั้ง ก็เห็นเพียงแววตาขบขันที่เขาส่งมาให้เธอ“พกกุญแจมือนั่นมาอีกแล้วเหรอ เจิ้งลี่ซา” ฉู่เฮ่าหรานเอ่ยทักพลางยิ้มกริ่มที่มุมปาก“มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะคะ” เธอรีบปฏิเสธ แก้มร้อนผ่าวขึ้นมาทันที“อ้อ?” เขาเลิกคิ้ว “แล้วคุณว่าผมคิดอะไรอยู่ล่ะ”“มัน…มันไม่เกี่ยวกับฉันกั