“ได้เงินของฉันมารึยังคะเถ้าแก่ป๋อ”
เจิ้งลี่ซายืนอยู่ที่ประตูห้องทำงานแล้วเลิกคิ้วขึ้น มองเถ้าแก่ป๋อกำลังยัดซาลาเปาลูกโตเข้าปาก และเธอก็แอบกังวลว่าเขาจะเอาเงินของเธอไปซื้อของกินหมดแล้ว เพราะบนโต๊ะของเขามีถุงของกินเต็มไปหมด
“ธนาคารให้ฉันมาได้แค่สองหมื่น” เขาพูดขณะที่ผักกาดแก้วกระเด็นออกจากปาก เธอเบือนหน้าหนีเมื่อท้องของเธอร้องขึ้นมา แล้วก็พยายามกลั้นหัวเราะ
“อ้อ พวกเขาเงินหมดเหรอคะ” เธอพูดแล้วหันกลับไปมอง เอามือขวาเท้าสะเอว
“ใช่” เขาพยักหน้า ดวงตาเล็ก ๆ ของเขามองเธออย่างระแวดระวัง “ฉันก็เลยให้เธอได้แค่สองพัน”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันว่าคุณคงจะต้องโทรหาเสี่ยวเจียแล้วล่ะค่ะ ว่าเธอจะรับงานนี้ได้ไหม” เธอหันหลัง “อ้อ แล้วก็ไปเปิดบัญชีกับธนาคารที่สามารถให้เงินลูกค้าได้มากกว่าสองหมื่นหยวนในครั้งเดียวด้วยนะคะ”
“เดี๋ยว ๆ” เถ้าแก่ป๋อกระโดดลุกขึ้น เธอจึงหันกลับไปอีกครั้ง “ฉันคุยกับผู้จัดการแล้ว เขาก็เลยให้ฉันมาอีกหมื่นนึง”
“เหรอคะ” เธอพูด สงสัยว่าเขาคิดว่าเธอโง่แค่ไหนกัน “เงินอยู่ไหนคะ” เธอแบมือออกแล้วรอ เถ้าแก่ป๋อดูหงุดหงิด และเธอก็บอกได้เลยว่าเขากำลังพยายามจะคิดหาคำพูดอื่นเพื่อจะเก็บเงินบางส่วนไว้
“นี่ไง” เถ้าแก่ป๋อยื่นปึกธนบัตรให้เธอ เธอขมวดคิ้วเมื่อมองลงไปแล้วเห็นแต่แบงค์ย่อยเต็มไปหมด ไอ้คนทุเรศ! “ทีนี้ เธอก็ต้องเซ็นสัญญาไม่เปิดเผยความลับด้วย”
“อะไรนะคะ” เธอหรี่ตามอง “ทำไมคะ”
“เธอห้ามบอกเจ้านายคนใหม่ของเธอว่าเพื่อนของเขาจ้างเธอมาแกล้ง”
“ฉันไม่บอกเขาหรอกค่ะ” เธอพูดอย่างเหนื่อยหน่าย “ก็คงจะ...จนกว่าจะถึงตอนเต้นยั่วปลอม ๆ แล้วก็ตอนที่เพื่อนเขาบุกเข้ามาในห้องตอนท้ายนั่นแหละ”
“เรื่องนั้นมันเปลี่ยนไปหน่อยน่ะ” เถ้าแก่ป๋อพูดขณะยื่นกระดาษกับปากกาให้เธอ “เซ็นตรงนี้”
เธอมองไปที่สัญญา ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยสักเล็กน้อย แล้วก็รีบเซ็นชื่อลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง “มีอะไรเปลี่ยนไปเหรอคะ”
“ก็...เธอจะยังไม่เปิดเผยตัวตนทันทีน่ะสิ” เขาคว้ากระดาษกลับไปจากมือเธอ
“หืม...ทำไมคะ” เธอขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ
“พวกที่จ้างเราคิดว่ามันจะสนุกกว่านี้อีก ถ้าเธอทำงานที่นั่นสักอาทิตย์หนึ่ง แล้วค่อยไปเต้นยั่วให้เขาดูในที่ประชุม”
“อะไรนะคะ!” เสียงของเธอแสดงความตกใจสุดขีด “คุณล้อเล่นรึเปล่า”
“เปล่า” เขายิ้มกว้าง “ฉันบอกพวกเขาไปแล้วว่าไม่มีปัญหา”
“ฉันไม่ทำงานที่นั่นหนึ่งอาทิตย์เพื่อเงินแค่สามหมื่นหรอกนะ” เสียงของเธอสูงขึ้น “คุณบังคับให้ฉันทำแบบนี้ไม่ได้นะเถ้าแก่ป๋อ”
“เธอก็เพิ่งจะเซ็นสัญญาไปนี่” เขายักไหล่แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง “แล้วเธอก็รับเงินไปแล้วด้วย”
“สำหรับงานแค่วันเดียว ไม่ใช่งานหนึ่งอาทิตย์” เธอประท้วง “นี่มันไม่ถูกต้องนะ เถ้าแก่ป๋อ แล้วมันก็ดูจะไม่ยุติธรรมกับคุณฉู่เฮ่าหรานด้วย หนึ่งอาทิตย์มันนานเกินไปที่จะไปหลอกใครสักคน แล้วไอ้เรื่องเต้นยั่วตอนประชุมบริษัทน่ะมันก็ฟังดูน่ารังเกียจมาก”
“เราไม่ได้เป็นคนตั้งกฎ เราก็แค่ทำตาม”
“นี่มันไม่ใช่กฎนะเถ้าแก่ป๋อ นี่มันไร้สาระ”
“ฉันก็นึกว่าเธอเคยบอกว่าตัวเองเป็นนักแสดงที่เก่งเสียอีก” เขาหยุดพูดแล้วก็ส่งสายตาเป็นเชิงถามมาให้เธอ และเธอก็รู้สึกได้ว่าในท้องของตัวเองมันกำลังปั่นป่วนไปหมด “นักแสดงที่เก่งน่ะรับงานได้ทุกประเภท”
“ฉันเป็นนักแสดงที่เก่ง” เธอเถียงกลับไป เธอเกลียดเวลาที่เขามากดดันให้เธอต้องรับบทบาทพวกนี้ ที่จริงแล้ว...เธอเกลียดเถ้าแก่ป๋อ เธอรู้ดีว่าตัวเองควรจะไปหางานใหม่ได้แล้ว แต่เธอก็แค่ขี้เกียจเกินกว่าจะไปหาน่ะสิ
“ถ้างั้นก็รับงานนี้ไปแล้วก็หุบปากซะ” เขาพูดขณะที่นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้แล้วก็เริ่มกินเฟรนช์ฟรายส์ต่อ
“คุณมันคนทุเรศ” เธอพูดแล้วก็กำลังจะเดินออกจากออฟฟิศไป เมื่อเขาพูดคำพูดที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างออกมา
“เธอจะได้ค่าจ้างวันละสามพันเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์” เขาพูดขึ้นแล้วเธอก็ตัวแข็งทื่อไปในทันที เขาพูดจริงอย่างนั้นเหรอ วันละสามพันมันเยอะมากเลยนะ
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็เริ่มงานวันจันทร์แล้วก็จบวันศุกร์ใช่ไหมคะ”
“เธอเริ่มงานวันจันทร์หน้า” เขาพูดขณะที่ยกแก้วไดเอทโค้กขึ้นมาดื่ม โอ้...ช่างน่าขันสิ้นดี “เธอจะต้องไปฝึกงานเป็นเลขาฯ แล้วก็ต้องคอยอ่อยเขาไปตลอดทั้งอาทิตย์ งานปาร์ตี้ของบริษัทจะจัดขึ้นในวันเสาร์ เธอจะต้องไปที่งานปาร์ตี้ เต้นยั่วแบบถึงพริกถึงขิงให้เขาดู แล้วเพื่อนเขาก็จะเข้ามาบอกเขาว่า ‘เซอร์ไพรส์’ แล้วงานของเธอก็จบ”
“เอ่อ...แล้วเต้นยั่วแบบถึงพริกถึงขิงนี่มันเป็นยังไงเหรอคะ” เธอขมวดคิ้ว หัวใจเต้นระรัว ทุกอย่างมันก็ดูจะง่ายดายดี ยกเว้นก็แต่เรื่องเต้นยั่วแบบถึงพริกถึงขิงนี่แหละ แล้วไอ้พวกผู้ชายพวกนี้มันหวังจะให้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วก็ทำไมกัน
“ก็เต้นยั่วในกระโปรงสั้น ๆ กับเสื้อบิกินี่ท่อนบนน่ะสิ”
“คุณล้อเล่นรึเปล่า” เธอจ้องเขม็งไปที่เขา “บิกินี่ท่อนบนเหรอคะ”
“ก็แกล้งทำเป็นว่าเธอกำลังแสดงอยู่ในหนังแนว ๆ นั้นไง” เขาหยุดกินไปครู่หนึ่งแล้วเธอก็เห็นว่าดวงตาของเขาเหม่อลอยไป “บางทีเธอน่าจะลองไปหาหนังแนว ๆ นั้นดูเป็นไอเดียนะ” เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากลำบากขณะที่กำลังฝันกลางวันอยู่ “ดูสิว่านางเอกเขาโยกย้ายสะโพกยังไงตอนที่อยู่ในคาสิโนน่ะ แล้วก็ตอนที่เธองอตัวไปข้างหลังแล้วก็ถูไถหน้าอกของเธอเข้ากับหน้าเขา อืม...”
“เถ้าแก่ป๋อ!” เธอตะโกนเสียงดังลั่น รู้สึกคลื่นเหียนอยากจะอาเจียน “คุณเสียสติไปแล้วรึไง”
“เอ่อ...ฉันเผลออินไปหน่อย” เขามองเธออย่างรู้สึกผิด “ขอโทษที”
“เหอะ” เธอพึมพำกับตัวเอง รู้สึกเหมือนตัวเองต้องการจะไปอาบน้ำเสียเดี๋ยวนี้เลย
“ก็แค่ไปดูหนังมาสักสองสามเรื่อง เรียนรู้ท่าเต้น แล้วก็ไปทำงานในวันจันทร์แล้วก็ทำหน้าที่ของเธอซะ” เขาพูดแล้วก็เปิดแฟ้มเอกสารขึ้นมา “อาทิตย์นี้เรามีงานวันเกิดเข้ามาสองสามงานนะ เธอคิดว่าจะพอแต่งตัวเป็นช้างได้ไหมในวันเสาร์น่ะ”
“ช้างเหรอคะ” เธอส่ายหน้า “ไม่ค่ะ”
“ฉันว่าฉันคงจะต้องไปถามเสี่ยวเจียดูแล้วล่ะ” เขาทำหน้าแหย ๆ “โอเค เธอไปได้แล้ว”
“แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้เงินที่เหลือล่ะคะ” เธอเอ่ยถามเขา หยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกจากห้าองทำงานไป
“พวกเขาจะจ่ายให้เธอที่ทำงานนั่นแหละ” เขาพูดด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าเขากำลังพูดความจริงอยู่ เพราะว่าเขากำลังดูหงุดหงิดมากแค่ไหน เธอก็รู้ดีว่าเขาหงุดหงิดเพราะว่านั่นมันหมายความว่าเขาจะไม่ได้มีโอกาสได้เอามือสกปรก ๆ ของเขามาแตะต้องเงินของเธออีกแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็แค่ไปที่บริษัทในวันจันทร์ แล้วก็บอกว่าฉันมารายงานตัวเพื่อทำงานเป็นผู้ช่วยคนใหม่ของคุณฉู่เฮ่าหรานใช่ไหมคะ”
“ใช่ เดี๋ยวฉันจะอีเมลที่อยู่ไปให้”
“แล้วเขาจะไม่สงสัยเหรอคะ”
“ไม่หรอก” เขาส่ายหน้า “อ้อ ใช่แล้ว วันจันทร์ก็ใส่ชุดสูทเซ็กซี่ ๆ ไปทำงานด้วยนะ”
“อะไรนะคะ”
“จำไว้นะ งานของเธอก็คือการยั่วยวนเขา เพื่อที่เขาจะได้ยอมให้เธอเต้นยั่วให้เขาดูในวันเสาร์ที่งานปาร์ตี้น่ะ”
“ฉันไม่ค่อยเข้าใจเลยจริง ๆ ว่านี่มันจะตลกได้ยังไงกัน”
เจิ้งลี่ซาถอนหายใจออกมาเบา ๆ เธอรู้ดีว่าเถ้าแก่ป๋อไม่แคร์หรอกว่าเธอจะคิดยังไง แต่เธอก็ไม่รู้จริง ๆ ว่านี่มันควรจะเป็นเรื่องตลกประเภทไหนกัน นี่มันไม่ใช่สิ่งที่เธอเคยทำมาก่อนเลยตอนที่ทำงานให้กับเถ้าแก่ป๋อและธุรกิจเอเจนซี่ของเขา ดูเหมือนว่าเถ้าแก่ป๋อกำลังจะรับลูกค้ารายใหม่ ๆ เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ไม่ได้เป็นแค่การเซอร์ไพรส์วันเกิดธรรมดา ๆ อีกต่อไปแล้ว เธอเริ่มจะกังวลแล้วว่าตัวเองกำลังจะปล่อยให้เถ้าแก่ป๋อชักจูงเธอให้ถลำลึกลงไปในทางที่ผิด แล้วครั้งต่อไปเขาจะขอให้เธอทำอะไรอีกล่ะ กระโดดออกมาจากเค้กในสภาพเปลือยเปล่าแล้วก็เสนอเงินให้เธอห้าพันหยวนอย่างนั้นเหรอ
“มันไม่ใช่เรื่องของเราสักหน่อย” เถ้าแก่ป๋อยักไหล่ “เราก็แค่รับเงินก็เท่านั้นเอง”
“แล้วนั่นมันเป็นวิธีที่เราอยากจะใช้ชีวิตจริง ๆ เหรอคะ” เธอเอ่ยถามเขาเสียงเบา “ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นเพื่อที่จะได้เงินมาเหรอคะ เราอยากจะขายวิญญาณของตัวเองเพื่อเงินไม่กี่หยวนจริง ๆ เหรอคะ”
“ฉันก็ไม่รู้เรื่องของเธอหรอกนะ” เถ้าแก่ป๋อพูดขณะที่เคี้ยวเกี๊ยวในปากต่อไป “แต่ฉันคิดว่าฉันคงจะมีความสุขมากแน่ ๆ ที่จะได้ค่าจ้างให้ไปอ่อยผู้ชายหล่อ ๆ ถ้าฉันเป็นเธอน่ะนะ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยจะมีใครเข้ามาในชีวิตเลยนี่นา”
“ฉันของตัวก่อนค่ะเถ้าแก่ป๋อ” เธอพูดอย่างฉุนเฉียวแล้วก็หันหลังเพื่อจะเดินออกจากห้องทำงานของเขาไปให้พ้น ๆ ก่อนที่เธอจะเผลออาละวาดใส่เขาเข้า แต่แล้วก็หันกลับไปหาเขาอีกครั้งเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เอ้อ แล้วก็ ฉันขอสำเนาสัญญาที่เพิ่งจะเซ็นไปเมื่อกี้นี้ด้วยนะคะ”
“เออ ๆ เดี๋ยวฉันจะอีเมลไปให้”
เถ้าแก่ป๋อเหลือบตามองบน แล้วเธอก็เดินออกจากออฟฟิศไปพลางนึกสงสัยอยู่ในใจว่าตัวเองกำลังจะเข้าไปพัวพันกับเรื่องบ้าอะไรอยู่กันแน่ เธอรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาหลินซีเพื่อช่วยให้ตัวเองใจเย็นลง
หัวใจของเธอเจ็บแปลบเมื่อจ้องมองเขา เธออยากอยู่กับเขาเหลือเกิน เธอรู้สึกว่าระหว่างเรามันมีสายใยบางอย่างที่มองไม่เห็น มีความรู้สึกพิเศษที่เธออยากจะลองเดินหน้าไปกับมัน แต่ตอนนี้สมองของเธอมันสับสนเกินไปแล้วแค่ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้เธอยังพร้อมที่จะให้อภัยและลืมทุกอย่าง พร้อมที่จะก้าวต่อไปกับเขาอย่างเต็มใจ แต่ตอนนี้การปรากฏตัวของเฉินและพ่อได้โยนเธอลงสู่ห้วงเหวแห่งความสับสนและความสิ้นหวังอีกครั้ง“คงจะดีที่สุดถ้าคุณจะกลับไปก่อนค่ะ” เธอพยักหน้าช้า ๆ “ถ้าคุณไม่ว่าอะไรนะคะ” น้ำเสียงของเธออ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด นี่ไม่ใช่ความผิดของเขา และมันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาจริง ๆ ที่ความสัมพันธ์ของพวกเรามันวุ่นวาย ก็ตัวเธอเองไม่ใช่หรือที่รับงานพวกนั้นมาเพื่อ ‘หลอก’ เขาตั้งแต่แรก“โอเค...งั้นผมไปนะ” ฉู่เฮ่าหรานพูด แต่กลับยังไม่ขยับไปไหนเธอรู้สึกได้ถึงสายตาของทุกคนที่จับจ้องมาที่เธอ กดดันจนแทบหายใจไม่ออก“ทุกคนช่วยกรุณากลับไปก่อนได้ไหม” หลินซีพูดแทรกขึ้นมาเสียงดังฟังชัด “เพื่อนฉันบอกแล้วว่าอยากอยู่คนเดียว อย่าทำให้เรื่องมันยากไปกว่านี้เลย” พูดจบเพื่อนก็ทำหน้าที่เจ้าบ้านที
“ฉันทำผิดไปเมื่อหลายปีก่อน ฉันแค่อยากจะแก้ไขมัน”“ไม่มีอะไรต้องแก้ไขทั้งนั้น” เธอจ้องหน้าเขานิ่ง “สำหรับฉัน เรื่องระหว่างเรามันไม่มีอะไรเหลือแล้ว มันจบไปนานแล้ว ฉันไม่รู้ว่านายมาที่นี่ทำไม หรือต้องการอะไรกันแน่”“ฉันทำพลาดไปจริง ๆ ลี่ซา” เขาก้าวเข้ามาหา ดวงตาเต็มไปด้วยความอ้อนวอน “ฉันทำพลาดครั้งใหญ่ และฉันอยากจะขอโอกาสอีกครั้ง”“อะไรนะ” เธอทวนคำอย่างตกตะลึงนี่คือคำพูดที่เธอเคยเฝ้ารอจะได้ยินจากปากเขามาตลอดหลายเดือน หลังจากที่เขาหักอกเธออย่างไม่ไยดี แต่ทำไมพอมาได้ยินในตอนนี้ มันกลับรู้สึกเหมือนจริงเกินไป จริงจนเธอไม่ต้องการมันอีกแล้ว“เธอได้ยินไม่ผิดหรอก” เขาคว้ามือเธอขึ้นไปหมายจะจรดริมฝีปากลงบนหลังมือ แต่เธอรีบชักมือกลับทันควัน“นายทำบ้าอะไร!” เธอตวาดใส่เธอรู้สึกได้ถึงสายตาของฉู่เฮ่าหรานและหลินซีที่จับจ้องมา และทันใดนั้นความรู้สึกท่วมท้นก็ถาโถมเข้ามาอีกระลอก นี่เธอฝันไปหรือเปล่า“ฉันก็นึกว่าเธอจะดีใจซะอีก” หลี่เฉินพูด สีหน้าดูเศร้าและจริงใจอย่างน่าประหลาด ทำให้เธอต้องหรี่ตามองเขาอย่างไม่เชื่อสายตาเขาคงไม่ได้พูดจริงใช่ไ
“ลี่ซา พูดอะไรหน่อยสิ” หลี่เฉินเอ่ยขึ้นสายตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังราวกับคิดว่าเธอจะซาบซึ้งจนต้องวิ่งเข้าไปซบอกเขากระมัง ราวกับว่าการปรากฏตัวของคนคนนี้จะลบล้างความผิดทั้งหมดที่เขาเคยทำได้ ราวกับว่าความเกลียดชังที่เธอมีต่อความเห็นแก่ตัวของเขามานานหลายปีไม่เคยมีอยู่จริงเธอรู้ดี เขายังคงมองว่าเธอเป็นเด็กสาวหลงทางคนเดิม คนที่หัวใจแหลกสลายและเต็มไปด้วยคำถาม แต่เธอโตเกินกว่าจะกลับไปอยู่จุดนั้นแล้ว...อย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่เธอพยายามบอกตัวเองซ้ำ ๆ เธอพยายามบอกตัวเองว่ามันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว พยายามปิดกั้นความรู้สึกที่บั่นทอนคุณค่าในตัวเอง ซึ่งบางวันมันก็ได้ผล แต่ไม่ใช่วันนี้“นายจะให้ฉันพูดอะไร!” เธอตวาดกลับไปเสียงดัง ก้มหน้าลงมองพื้นเพราะไม่อาจทนรับสายตาของใครได้อีก คลื่นอารมณ์ถาโถมเข้าใส่จนเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะรู้สึกอะไรก่อนดีความคลื่นไส้ตีรวนขึ้นมาในช่องท้อง นี่มันคือฝันร้ายชัด ๆ แต่ในขณะเดียวกัน เรื่องนี้มันควรจะเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ การได้เจอเขาควรจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น ควรจะทำให้เธอได้คำตอบสำหรับทุกคำถามที่ค้างคาใจมาทั้งชีวิตแต่เปล่าเลย
เจิ้งลี่ซายืนนิ่งราวกับถูกแช่แข็ง สายตาจับจ้องไปยังคนทั้งสาม หลี่เฉิน หลินซี และชายแปลกหน้าที่เธอรู้จักดีที่สุดในโลก สมองของเธอก้องไปด้วยคำพูดของตัวเอง‘ขอโทษ’ ทำไม...ทำไมคำนั้นถึงได้หลุดออกจากปากของเธอกันความรู้สึกผิดและอับอายแล่นพล่านขึ้นมาในช่องท้องจนเธอแทบยืนไม่ไหว เธอเหลือบไปมองฉู่เฮ่าหราน และได้เห็นความสับสนฉายชัดอยู่บนใบหน้าของเขา ไม่ต่างอะไรจากเธอเลยสายตาของเขาร้อนแรงดั่งเปลวไฟที่แผดเผาเข้ามาในดวงตาของเธอ และในชั่ววินาทีที่สบตากัน เธอก็สัมผัสได้ถึงคำถามนับล้านและความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามา ความสับสน ความโกรธ และความเจ็บปวดเธออยากจะกรีดร้องออกมาให้สุดเสียง อยากจะทรุดลงไปกับพื้นแล้วร้องไห้โฮ ทำไมชีวิตของเธอต้องเป็นแบบนี้ด้วย ทำไมมันไม่เคยมีอะไรง่ายเลยสักครั้ง ทำไมทุกครั้งที่เธอกำลังจะมีความสุข กำลังจะก้าวไปข้างหน้ากับฉู่เฮ่าหราน เฉินจะต้องปรากฏตัวขึ้นมาแล้วทำลายทุกอย่างลงไม่เหลือชิ้นดีแล้วเธอก็หันไปมองหลี่เฉิน และแทบอยากจะหลับตาหนี ทำไมเขายังต้องดูดีขนาดนี้เสมอด้วยนะ เขามาที่นี่ทำไม เขาคือคนที่ไม่ควรจะอยู่ในสมการชีวิตของเธออีก
จู่ ๆ ความมั่นใจที่เคยมีก็หดหายไปวูบหนึ่ง ปกติถ้าเทียบกับผู้ชายทั่ว ๆ ไป เขาก็รู้ดีว่าตัวเองไม่ได้เป็นรองใคร แต่เมื่อต้องมาเทียบกับนักบาสเกตบอลระดับซูเปอร์สตาร์ ที่ทั้งหล่อ รวย และมีเสน่ห์อย่างไม่ต้องสงสัย นั่นมันก็ทำให้สถานการณ์ของเขายากขึ้นมาหลายเท่าตัว“ลี่ซา เธอดูดีมากนะ” หลี่เฉินพูด ดวงตาสีเข้มของเขาเป็นประกายขณะจ้องมองเธอ ผมของเขาสั้นเกรียน ผิวสีทองแดงได้รูปจากการฝึกซ้อมมาอย่างหนัก รูปร่างสูงใหญ่สมกับเป็นนักกีฬาอาชีพฉู่เฮ่าหรานขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ หลี่เฉินเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมากจริง ๆ เป็นผู้ชายในแบบที่เขารู้ดีว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องคลั่งไคล้“ขอบคุณ” เธอตอบกลับ ก่อนจะเหลือบมองกลับเข้ามาในห้อง สบตาเข้ากับเขาพอดี แววตาของเธอดูเป็นกังวลอย่างยิ่ง“ลี่ซา...แกต้องมาดูนี่เดี๋ยวนี้” หลินซีพูดเสียงสั่น ดวงตาเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก ก่อนจะคว้าแขนเพื่อนรักแล้วลากออกไปจากหน้าห้องนอนฉู่เฮ่าหรานยืนนิ่งอยู่ในห้อง รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นส่วนเกิน เป็นคนนอกที่ไม่ได้รับรู้อะไรเลย กระทั่งชื่อของเธอเขาก็ยังเรียกไม่เหมือนคนอื่น เขาเรียกเธอว่า ‘เจิ้
ฉู่เฮ่าหรานยืนนิ่งเป็นหิน ร่างกายท่อนล่างยังคงแข็งขืนจากอารมณ์ที่ค้างเติ่ง ในหัวของเขามีแต่คำว่า ‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ!’ ดังก้องซ้ำไปซ้ำมาให้ตายสิ ทำไมทุกครั้งที่เขาเจอผู้หญิงที่เริ่มจะถูกใจเข้าจริง ๆ จะต้องมีเรื่องวุ่นวายตามมาเป็นพรวนด้วยวะ แถมยังเป็นเรื่องใหญ่บิ๊กเบิ้มทั้งนั้น ปกติเขาไม่เคยคิดจะเอาตัวเองไปยุ่งกับเรื่องน่าปวดหัวพวกนี้เลยสักนิดแต่กับเจิ้งลี่ซา...มันไม่เหมือนกันเธอคือผู้หญิงที่เขารู้สึกว่าอยากจะทำความรู้จักให้ลึกซึ้ง อยากจะครอบครองทั้งร่างกายและหัวใจ ถ้าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองเกินไปนัก เขาก็อยากจะคิดว่านี่คือบททดสอบที่สวรรค์ส่งมาให้ บททดสอบความสัมพันธ์ของเขากับเธอ เพราะทุกครั้งที่เรื่องระหว่างพวกเขากำลังจะไปได้ด้วยดี ก็ต้องมีอะไรมาขัดจังหวะทุกครั้งไป“ลี่ซา ออกมาเดี๋ยวนี้!” เสียงของหลินซีดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงทุบประตูรัว ๆ “เฉินรออยู่นะ!”น้ำเสียงของเพื่อนสนิทเจิ้งลี่ซาร้อนรนจนผิดสังเกต เขาตวัดสายตาไปมองหญิงสาวที่ยืนตัวสั่นอยู่ข้างเตียง ใบหน้าของเธอกลับแดงก่ำและพยายามหลบสายตาเขาเป็นพัลวันความรู้สึกปั่นป่วนแล่นพล่านขึ้นมาในช่องท้อง ไอ้เฉินมันโผล่มาที่นี่ทำไม