로그인“ได้เงินของฉันมารึยังคะเถ้าแก่ป๋อ”
เจิ้งลี่ซายืนอยู่ที่ประตูห้องทำงานแล้วเลิกคิ้วขึ้น มองเถ้าแก่ป๋อกำลังยัดซาลาเปาลูกโตเข้าปาก และเธอก็แอบกังวลว่าเขาจะเอาเงินของเธอไปซื้อของกินหมดแล้ว เพราะบนโต๊ะของเขามีถุงของกินเต็มไปหมด
“ธนาคารให้ฉันมาได้แค่สองหมื่น” เขาพูดขณะที่ผักกาดแก้วกระเด็นออกจากปาก เธอเบือนหน้าหนีเมื่อท้องของเธอร้องขึ้นมา แล้วก็พยายามกลั้นหัวเราะ
“อ้อ พวกเขาเงินหมดเหรอคะ” เธอพูดแล้วหันกลับไปมอง เอามือขวาเท้าสะเอว
“ใช่” เขาพยักหน้า ดวงตาเล็ก ๆ ของเขามองเธออย่างระแวดระวัง “ฉันก็เลยให้เธอได้แค่สองพัน”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันว่าคุณคงจะต้องโทรหาเสี่ยวเจียแล้วล่ะค่ะ ว่าเธอจะรับงานนี้ได้ไหม” เธอหันหลัง “อ้อ แล้วก็ไปเปิดบัญชีกับธนาคารที่สามารถให้เงินลูกค้าได้มากกว่าสองหมื่นหยวนในครั้งเดียวด้วยนะคะ”
“เดี๋ยว ๆ” เถ้าแก่ป๋อกระโดดลุกขึ้น เธอจึงหันกลับไปอีกครั้ง “ฉันคุยกับผู้จัดการแล้ว เขาก็เลยให้ฉันมาอีกหมื่นนึง”
“เหรอคะ” เธอพูด สงสัยว่าเขาคิดว่าเธอโง่แค่ไหนกัน “เงินอยู่ไหนคะ” เธอแบมือออกแล้วรอ เถ้าแก่ป๋อดูหงุดหงิด และเธอก็บอกได้เลยว่าเขากำลังพยายามจะคิดหาคำพูดอื่นเพื่อจะเก็บเงินบางส่วนไว้
“นี่ไง” เถ้าแก่ป๋อยื่นปึกธนบัตรให้เธอ เธอขมวดคิ้วเมื่อมองลงไปแล้วเห็นแต่แบงค์ย่อยเต็มไปหมด ไอ้คนทุเรศ! “ทีนี้ เธอก็ต้องเซ็นสัญญาไม่เปิดเผยความลับด้วย”
“อะไรนะคะ” เธอหรี่ตามอง “ทำไมคะ”
“เธอห้ามบอกเจ้านายคนใหม่ของเธอว่าเพื่อนของเขาจ้างเธอมาแกล้ง”
“ฉันไม่บอกเขาหรอกค่ะ” เธอพูดอย่างเหนื่อยหน่าย “ก็คงจะ...จนกว่าจะถึงตอนเต้นยั่วปลอม ๆ แล้วก็ตอนที่เพื่อนเขาบุกเข้ามาในห้องตอนท้ายนั่นแหละ”
“เรื่องนั้นมันเปลี่ยนไปหน่อยน่ะ” เถ้าแก่ป๋อพูดขณะยื่นกระดาษกับปากกาให้เธอ “เซ็นตรงนี้”
เธอมองไปที่สัญญา ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยสักเล็กน้อย แล้วก็รีบเซ็นชื่อลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง “มีอะไรเปลี่ยนไปเหรอคะ”
“ก็...เธอจะยังไม่เปิดเผยตัวตนทันทีน่ะสิ” เขาคว้ากระดาษกลับไปจากมือเธอ
“หืม...ทำไมคะ” เธอขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ
“พวกที่จ้างเราคิดว่ามันจะสนุกกว่านี้อีก ถ้าเธอทำงานที่นั่นสักอาทิตย์หนึ่ง แล้วค่อยไปเต้นยั่วให้เขาดูในที่ประชุม”
“อะไรนะคะ!” เสียงของเธอแสดงความตกใจสุดขีด “คุณล้อเล่นรึเปล่า”
“เปล่า” เขายิ้มกว้าง “ฉันบอกพวกเขาไปแล้วว่าไม่มีปัญหา”
“ฉันไม่ทำงานที่นั่นหนึ่งอาทิตย์เพื่อเงินแค่สามหมื่นหรอกนะ” เสียงของเธอสูงขึ้น “คุณบังคับให้ฉันทำแบบนี้ไม่ได้นะเถ้าแก่ป๋อ”
“เธอก็เพิ่งจะเซ็นสัญญาไปนี่” เขายักไหล่แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง “แล้วเธอก็รับเงินไปแล้วด้วย”
“สำหรับงานแค่วันเดียว ไม่ใช่งานหนึ่งอาทิตย์” เธอประท้วง “นี่มันไม่ถูกต้องนะ เถ้าแก่ป๋อ แล้วมันก็ดูจะไม่ยุติธรรมกับคุณฉู่เฮ่าหรานด้วย หนึ่งอาทิตย์มันนานเกินไปที่จะไปหลอกใครสักคน แล้วไอ้เรื่องเต้นยั่วตอนประชุมบริษัทน่ะมันก็ฟังดูน่ารังเกียจมาก”
“เราไม่ได้เป็นคนตั้งกฎ เราก็แค่ทำตาม”
“นี่มันไม่ใช่กฎนะเถ้าแก่ป๋อ นี่มันไร้สาระ”
“ฉันก็นึกว่าเธอเคยบอกว่าตัวเองเป็นนักแสดงที่เก่งเสียอีก” เขาหยุดพูดแล้วก็ส่งสายตาเป็นเชิงถามมาให้เธอ และเธอก็รู้สึกได้ว่าในท้องของตัวเองมันกำลังปั่นป่วนไปหมด “นักแสดงที่เก่งน่ะรับงานได้ทุกประเภท”
“ฉันเป็นนักแสดงที่เก่ง” เธอเถียงกลับไป เธอเกลียดเวลาที่เขามากดดันให้เธอต้องรับบทบาทพวกนี้ ที่จริงแล้ว...เธอเกลียดเถ้าแก่ป๋อ เธอรู้ดีว่าตัวเองควรจะไปหางานใหม่ได้แล้ว แต่เธอก็แค่ขี้เกียจเกินกว่าจะไปหาน่ะสิ
“ถ้างั้นก็รับงานนี้ไปแล้วก็หุบปากซะ” เขาพูดขณะที่นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้แล้วก็เริ่มกินเฟรนช์ฟรายส์ต่อ
“คุณมันคนทุเรศ” เธอพูดแล้วก็กำลังจะเดินออกจากออฟฟิศไป เมื่อเขาพูดคำพูดที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างออกมา
“เธอจะได้ค่าจ้างวันละสามพันเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์” เขาพูดขึ้นแล้วเธอก็ตัวแข็งทื่อไปในทันที เขาพูดจริงอย่างนั้นเหรอ วันละสามพันมันเยอะมากเลยนะ
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็เริ่มงานวันจันทร์แล้วก็จบวันศุกร์ใช่ไหมคะ”
“เธอเริ่มงานวันจันทร์หน้า” เขาพูดขณะที่ยกแก้วไดเอทโค้กขึ้นมาดื่ม โอ้...ช่างน่าขันสิ้นดี “เธอจะต้องไปฝึกงานเป็นเลขาฯ แล้วก็ต้องคอยอ่อยเขาไปตลอดทั้งอาทิตย์ งานปาร์ตี้ของบริษัทจะจัดขึ้นในวันเสาร์ เธอจะต้องไปที่งานปาร์ตี้ เต้นยั่วแบบถึงพริกถึงขิงให้เขาดู แล้วเพื่อนเขาก็จะเข้ามาบอกเขาว่า ‘เซอร์ไพรส์’ แล้วงานของเธอก็จบ”
“เอ่อ...แล้วเต้นยั่วแบบถึงพริกถึงขิงนี่มันเป็นยังไงเหรอคะ” เธอขมวดคิ้ว หัวใจเต้นระรัว ทุกอย่างมันก็ดูจะง่ายดายดี ยกเว้นก็แต่เรื่องเต้นยั่วแบบถึงพริกถึงขิงนี่แหละ แล้วไอ้พวกผู้ชายพวกนี้มันหวังจะให้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วก็ทำไมกัน
“ก็เต้นยั่วในกระโปรงสั้น ๆ กับเสื้อบิกินี่ท่อนบนน่ะสิ”
“คุณล้อเล่นรึเปล่า” เธอจ้องเขม็งไปที่เขา “บิกินี่ท่อนบนเหรอคะ”
“ก็แกล้งทำเป็นว่าเธอกำลังแสดงอยู่ในหนังแนว ๆ นั้นไง” เขาหยุดกินไปครู่หนึ่งแล้วเธอก็เห็นว่าดวงตาของเขาเหม่อลอยไป “บางทีเธอน่าจะลองไปหาหนังแนว ๆ นั้นดูเป็นไอเดียนะ” เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากลำบากขณะที่กำลังฝันกลางวันอยู่ “ดูสิว่านางเอกเขาโยกย้ายสะโพกยังไงตอนที่อยู่ในคาสิโนน่ะ แล้วก็ตอนที่เธองอตัวไปข้างหลังแล้วก็ถูไถหน้าอกของเธอเข้ากับหน้าเขา อืม...”
“เถ้าแก่ป๋อ!” เธอตะโกนเสียงดังลั่น รู้สึกคลื่นเหียนอยากจะอาเจียน “คุณเสียสติไปแล้วรึไง”
“เอ่อ...ฉันเผลออินไปหน่อย” เขามองเธออย่างรู้สึกผิด “ขอโทษที”
“เหอะ” เธอพึมพำกับตัวเอง รู้สึกเหมือนตัวเองต้องการจะไปอาบน้ำเสียเดี๋ยวนี้เลย
“ก็แค่ไปดูหนังมาสักสองสามเรื่อง เรียนรู้ท่าเต้น แล้วก็ไปทำงานในวันจันทร์แล้วก็ทำหน้าที่ของเธอซะ” เขาพูดแล้วก็เปิดแฟ้มเอกสารขึ้นมา “อาทิตย์นี้เรามีงานวันเกิดเข้ามาสองสามงานนะ เธอคิดว่าจะพอแต่งตัวเป็นช้างได้ไหมในวันเสาร์น่ะ”
“ช้างเหรอคะ” เธอส่ายหน้า “ไม่ค่ะ”
“ฉันว่าฉันคงจะต้องไปถามเสี่ยวเจียดูแล้วล่ะ” เขาทำหน้าแหย ๆ “โอเค เธอไปได้แล้ว”
“แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้เงินที่เหลือล่ะคะ” เธอเอ่ยถามเขา หยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกจากห้าองทำงานไป
“พวกเขาจะจ่ายให้เธอที่ทำงานนั่นแหละ” เขาพูดด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าเขากำลังพูดความจริงอยู่ เพราะว่าเขากำลังดูหงุดหงิดมากแค่ไหน เธอก็รู้ดีว่าเขาหงุดหงิดเพราะว่านั่นมันหมายความว่าเขาจะไม่ได้มีโอกาสได้เอามือสกปรก ๆ ของเขามาแตะต้องเงินของเธออีกแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็แค่ไปที่บริษัทในวันจันทร์ แล้วก็บอกว่าฉันมารายงานตัวเพื่อทำงานเป็นผู้ช่วยคนใหม่ของคุณฉู่เฮ่าหรานใช่ไหมคะ”
“ใช่ เดี๋ยวฉันจะอีเมลที่อยู่ไปให้”
“แล้วเขาจะไม่สงสัยเหรอคะ”
“ไม่หรอก” เขาส่ายหน้า “อ้อ ใช่แล้ว วันจันทร์ก็ใส่ชุดสูทเซ็กซี่ ๆ ไปทำงานด้วยนะ”
“อะไรนะคะ”
“จำไว้นะ งานของเธอก็คือการยั่วยวนเขา เพื่อที่เขาจะได้ยอมให้เธอเต้นยั่วให้เขาดูในวันเสาร์ที่งานปาร์ตี้น่ะ”
“ฉันไม่ค่อยเข้าใจเลยจริง ๆ ว่านี่มันจะตลกได้ยังไงกัน”
เจิ้งลี่ซาถอนหายใจออกมาเบา ๆ เธอรู้ดีว่าเถ้าแก่ป๋อไม่แคร์หรอกว่าเธอจะคิดยังไง แต่เธอก็ไม่รู้จริง ๆ ว่านี่มันควรจะเป็นเรื่องตลกประเภทไหนกัน นี่มันไม่ใช่สิ่งที่เธอเคยทำมาก่อนเลยตอนที่ทำงานให้กับเถ้าแก่ป๋อและธุรกิจเอเจนซี่ของเขา ดูเหมือนว่าเถ้าแก่ป๋อกำลังจะรับลูกค้ารายใหม่ ๆ เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ไม่ได้เป็นแค่การเซอร์ไพรส์วันเกิดธรรมดา ๆ อีกต่อไปแล้ว เธอเริ่มจะกังวลแล้วว่าตัวเองกำลังจะปล่อยให้เถ้าแก่ป๋อชักจูงเธอให้ถลำลึกลงไปในทางที่ผิด แล้วครั้งต่อไปเขาจะขอให้เธอทำอะไรอีกล่ะ กระโดดออกมาจากเค้กในสภาพเปลือยเปล่าแล้วก็เสนอเงินให้เธอห้าพันหยวนอย่างนั้นเหรอ
“มันไม่ใช่เรื่องของเราสักหน่อย” เถ้าแก่ป๋อยักไหล่ “เราก็แค่รับเงินก็เท่านั้นเอง”
“แล้วนั่นมันเป็นวิธีที่เราอยากจะใช้ชีวิตจริง ๆ เหรอคะ” เธอเอ่ยถามเขาเสียงเบา “ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นเพื่อที่จะได้เงินมาเหรอคะ เราอยากจะขายวิญญาณของตัวเองเพื่อเงินไม่กี่หยวนจริง ๆ เหรอคะ”
“ฉันก็ไม่รู้เรื่องของเธอหรอกนะ” เถ้าแก่ป๋อพูดขณะที่เคี้ยวเกี๊ยวในปากต่อไป “แต่ฉันคิดว่าฉันคงจะมีความสุขมากแน่ ๆ ที่จะได้ค่าจ้างให้ไปอ่อยผู้ชายหล่อ ๆ ถ้าฉันเป็นเธอน่ะนะ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยจะมีใครเข้ามาในชีวิตเลยนี่นา”
“ฉันของตัวก่อนค่ะเถ้าแก่ป๋อ” เธอพูดอย่างฉุนเฉียวแล้วก็หันหลังเพื่อจะเดินออกจากห้องทำงานของเขาไปให้พ้น ๆ ก่อนที่เธอจะเผลออาละวาดใส่เขาเข้า แต่แล้วก็หันกลับไปหาเขาอีกครั้งเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เอ้อ แล้วก็ ฉันขอสำเนาสัญญาที่เพิ่งจะเซ็นไปเมื่อกี้นี้ด้วยนะคะ”
“เออ ๆ เดี๋ยวฉันจะอีเมลไปให้”
เถ้าแก่ป๋อเหลือบตามองบน แล้วเธอก็เดินออกจากออฟฟิศไปพลางนึกสงสัยอยู่ในใจว่าตัวเองกำลังจะเข้าไปพัวพันกับเรื่องบ้าอะไรอยู่กันแน่ เธอรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาหลินซีเพื่อช่วยให้ตัวเองใจเย็นลง
“ไม่เลย อ้อ...เมื่อหลายปีก่อนตอนลูกอยู่มหาวิทยาลัยน่ะ เขาเคยโทรมาหาพ่อ บอกว่าเป็นแฟนลูกและบอกว่าพ่อทำร้ายจิตใจลูกมากแค่ไหน พ่อก็วางสายใส่เขาไป แต่ก็เก็บเบอร์เขาไว้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม”“เขาเคยโทรหาพ่อ...ตอนที่เรายังคบกันเหรอคะ” เธอถามเสียงเบา หัวใจอ่อนยวบลงเล็กน้อย บางทีเฉินอาจจะเคยรักเธอจริง ๆ ก็ได้“ใช่ แต่พ่อเป็นคนโทรหาเขาเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง พ่อบอกเขาว่าพ่อกำลังจะตายและอยากจะทิ้งมรดกไว้ให้ลูก”“ค่ะ...” เธอขมวดคิ้ว “เขาไม่เคยบอกหนูเลยว่าคุณพ่อกำลังจะตาย”“มันเป็นคนไม่ดี” พ่อของเธอถอนหายใจ “มันพยายามจะรีดไถเงินจากพ่อ อ้างว่าลูกกับมันยังคบกันอยู่และลูกไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับพ่อ พ่อเลยบอกมันไปว่าจะไม่โอนเงินให้เด็ดขาดจนกว่าจะได้เจอลูกตัวต่อตัว นั่นแหละมันถึงได้ยอมพาลูกไปหาพ่อ”“อ้อ...”“พ่อมารู้ทีหลังว่ามันมีปัญหาเรื่องการพนัน มันแค่ต้องการเงินไปใช้หนี้”“และนั่นคือเหตุผลที่เฉินอยากคืนดีกับหนู” เธอถอนหายใจ และแล้วทุกอย่างก็กระจ่างชัด “เหตุผลที่เขาแกล้งทำเป็นว่ายังรักแล้วทำทุกวิถีทางที่จะได้แต่งงานกับหนู”“พ่อขอโทษนะลูก พ่อไม่ได้ตั้งใจจะดึงผู้ชายคนนี้กลับเข้ามาในชีวิตลูกเลย”“ไม่เป็นไร
“ฉันไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนั้นหรอกค่ะ” เธอเบือนหน้าหนีอีกครั้ง “ฉันนึกไม่ออกเลยว่าเขาจะพูดอะไรที่ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาได้”“บางทีมันอาจจะมอบคำตอบที่คุณตามหามาทั้งชีวิตก็ได้นะ” เขาจับมือเธอไว้แน่น “บางทีท่านอาจจะอยากขอให้คุณให้อภัย”“ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะให้อภัยเขาได้รึเปล่า” เธอพูดแล้วนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะหันกลับมาสบตาเขาแล้วถอนหายใจยาว “ฉันต้องโทรหาเขาจริง ๆ ใช่ไหมคะ ฉันคงจะไปคาดหวังให้หลินซีให้อภัยและยอมคุยกับฉันไม่ได้ ถ้าตัวฉันเองยังไม่ยอมเผชิญหน้ากับต้นตอของบาดแผลทั้งหมด”“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมกำลังจะพูดนะลี่ซา” เขาทำหน้ากังวลเธอเอื้อมมือไปแตะริมฝีปากของเขาเบา ๆ เพื่อหยุดคำพูดของเขาไว้“ฉันรู้ค่ะ แต่มันก็เป็นความจริง ฉันจะไปเรียกร้องการให้อภัยจากคนอื่นได้อย่างไร ในเมื่อตัวเองยังไม่ยอมให้อภัยใครเลย พ่อของฉัน เขาอาจจะไม่มีอะไรดี ๆ จะพูดเลยก็ได้ แต่บางทีเขาก็อาจจะมี ฉันคิดว่าฉันติดค้างเรื่องนี้ทั้งกับเขาและกับตัวเองที่จะต้องค้นหาคำตอบให้เจอ”เธอคว้าโทรศัพท์ของตัวเองบนโต๊ะทำงานของเขาขึ้นมาแล้วส่งสายตาที่มุ่งมั่นให้เขา “ฉันจะโทรหาเขาตอนนี้เลย”“คุณแน่ใจเหรอ” ฉู่เฮ่าหรานดูประหม่า “ค
เสียงรูดซิปกางเกงของเขาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของห้องทำงานที่หรูหรา เป็นเสียงเดียวที่ทำลายความเงียบได้อย่างน่าอัศจรรย์ เธอรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากร่างกายของเขาที่แนบชิดอยู่ด้านหลัง ต้นขาแกร่งเบียดชิดกับบั้นท้ายของเธอ ลมหายใจของเขารินรดอยู่บนต้นคอ ก่อนที่ปลายนิ้วแกร่งจะเกี่ยวขอบกางเกงชั้นในลูกไม้ของเธอไปด้านข้างอย่างไม่รีบร้อนเขาไม่ได้รุกล้ำเข้ามาในทันที แต่กลับใช้ความร้อนชื้นจากแก่นกายถูไถไปตามร่องหลืบที่อ่อนนุ่มและเปียกชื้นของเธออย่างเชื่องช้า เป็นการทรมานที่แสนหวานจนเธอแทบทนไม่ไหว“ได้โปรด...” เธออ้อนวอนเสียงสั่น“ได้โปรดอะไรครับ...หืม?” เขาแกล้งถาม พลางขบเม้มติ่งหูของเธอเบา ๆ“คุณรู้ว่าฉันต้องการอะไร...”คำตอบของเขาคือการสอดแทรกความแข็งขืนเข้ามาในตัวเธออย่างรวดเร็ว ลึกซึ้ง และหนักหน่วงจนเธอร้องครางออกมาอย่างห้ามไม่อยู่“อ๊า...คุณเฮ่าหราน...”เธอครางชื่อเขาออกมากับแผ่นไม้เย็นเฉียบของโต๊ะทำงาน มือทั้งสองข้างจิกลงบนขอบโต๊ะเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยว ความรู้สึกคับแน่นและสมบูรณ์แบบนี้มันเกินกว่าที่เธอจะจินตนาการได้ เขากระชับสะโพกของเธอไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง เริ่มขยับจังหวะเข้าออกที่เร่าร้อ
สองสัปดาห์ต่อมา...กาลเวลาที่ควรจะช่วยเยียวยา...กลับทำหน้าที่ของมันได้เชื่องช้าจนน่าใจหาย“นี่มันสองอาทิตย์แล้วเหรอเนี่ย เป็นสองอาทิตย์เต็ม ๆ ที่หลินซีไม่แม้แต่จะอ่านข้อความของฉัน” เจิ้งลี่ซาพึมพำกับตัวเองมากกว่าจะพูดกับใคร เธอรู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวที่เริ่มก่อตัวขึ้นรอบดวงตาขณะทอดสายตามองแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มคนรักฉู่เฮ่าหรานนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานไม้สักตัวมหึมาในอาณาจักรของเขา ห้องทำงานของประธานบริหารที่มองเห็นทิวทัศน์ของเมืองได้ทั้งเมือง ร่างสูงสง่าในชุดสูทสั่งตัดพอดีตัวนั้นดูหล่อเหลาและเปี่ยมไปด้วยอำนาจจนน่าหวั่นไหว เส้นผมสีดำขลับถูกจัดทรงอย่างประณีต แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีปอยหนึ่งหล่นลงมาปรกหน้าผากอย่างมีเสน่ห์ยามที่เขาก้มลงจรดปากกาเซ็นเอกสารความคิดชั่ววูบแล่นปราดขึ้นมาในใจของเธอ ถ้าตอนนี้เธอค่อย ๆ ใช้ปลายเท้าเกี่ยวชายกระโปรงของตัวเองให้ร่นสูงขึ้นอีกสักนิด...และอีกสักนิด...เขาจะยอมละสายตาจากกองเอกสารมูลค่าหลายร้อยล้านนั่น แล้วหันมาสนใจ ‘ของว่างยามบ่าย’ ที่พร้อมจะถูกเสิร์ฟบนโต๊ะทำงานตัวนี้แทนหรือเปล่านะราวกับอ่านใจเธอออก เขาเงยหน้าขึ้นจากงาน ดวงตาคมกริบคู่นั้นสบตากับเธอผ่านกระจกใ
“ผมรู้ เราทุกคนต่างก็เคยหวังแบบนั้น” เขาดึงเธอเข้ามากอดแน่นอีกครั้ง ปล่อยให้เธอซบหน้าร้องไห้กับแผงอกของเขา “มันจะโอเคนะ คุณไม่ได้ตั้งใจ คุณไม่ใช่คนชั่วร้ายโดยกำเนิด ทุกอย่างจะต้องโอเค เชื่อผมนะ”“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองทำร้ายหลินซีได้ลงคอ” เธอกระซิบเสียงเครือ “แล้วฉันก็ยังสงสัยว่าทำไมถึงไม่มีใครรักฉันเลยสักคน”“ผมรักคุณ” เขาเอ่ยคำนั้นออกมา แผ่วเบาราวกับเป็นความลับ แต่ก็หนักแน่นราวกับขุนเขา “ผมรักคุณ...เจิ้งลี่ซา...และผมจะไม่มีวันทอดทิ้งคุณ ผมอยู่ตรงนี้เพื่อคุณเสมอ ร้องไห้ออกมาเถอะ ปลดปล่อยมันออกมาให้หมด ผมจะไม่ตัดสินคุณ”“คุณ...รักฉันเหรอคะ” เธอมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาเขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ และปล่อยให้ทุกความรู้สึกที่เก็บงำไว้ทะลักทลายออกมา“ผมรักคุณ...ลี่ซา...ผมรักทุกอย่างที่เป็นคุณ คุณเป็นความคิดแรกของผมในยามเช้า และความคิดสุดท้ายก่อนข่มตาหลับในทุกคืน รอยยิ้มของคุณตามหลอกหลอนผมในความฝัน แววตาของคุณจ้องมองผมอยู่ในความมืด จินตนาการถึงสัมผัสของคุณมันเผาไหม้ผมในยามที่ต้องอยู่ลำพัง ผมใช้เวลาทั้งวันเพื่อรอคอยวินาทีที่จะได้อยู่กับคุณ และใช้เวลาทั้งคืนเพื่อโหยหาคุณอย่างท
“หลินซี?”ราวกับโลกทั้งใบถล่มลงมาทับร่างเจิ้งลี่ซาในวินาทีนั้น ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด“หลินซี!” เธอเปล่งเสียงเรียกชื่อเพื่อนรักออกมาอย่างยากลำบาก ก่อนจะถลาลงจากเตียงและพุ่งเข้าไปหาทว่าหลินซีกลับถอยหลังกรูด ราวกับร่างกายของเธอขยะแขยงที่จะให้เพื่อนสัมผัส น้ำเสียงของหลินซีว่างเปล่า ไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ มีเพียงความจริงอันโหดร้ายที่ถูกเอ่ยซ้ำ ๆ“แกนอนกับเจียเหวินเหรอ” ใบหน้าของเธอขาวซีดราวกับกระดาษ น้ำตาไหลเป็นทางยาว “แก...นอนกับแฟนฉันเหรอ”“ได้โปรดเถอะหลินซี ฟังฉันก่อน แกไม่เข้าใจ ฉันขอโทษ ฉันขอโทษจริง ๆ” เจิ้งลี่ซาพร่ำพูดอย่างไร้สติ ยื่นมือออกไปหวังจะเหนี่ยวรั้ง“ฉันรับไม่ไหว” หลินซีส่ายหน้าช้า ๆ ราวกับร่างกายของเธอไม่ยอมรับฟังความจริงที่เพิ่งได้ยิน “ตอนนี้ฉันรับไม่ไหวจริง ๆ”สิ้นคำร่างของเธอก็หันหลังกลับ วิ่งหนีออกไปจากห้องราวกับกำลังวิ่งหนีจากปีศาจร้าย“หลินซี! อย่าเพิ่งไป!”เจิ้งลี่ซากรีดร้องออกมาแต่เสียงนั้นกลับเบาจนแทบกระซิบ เธอทำท่าจะพุ่งตามไป แต่แขนที่แข็งแรงของฉู่เฮ่าหรานก็รวบเอวเธอไว้จากด้านหลังรั้งเธอไว้ไม่ให้ไป“ลี่ซา”“ปล่อยฉัน!” เธอหันมาทุบตีแผงอกของเขาอย







