เมืองหลวง & จวนแม่ทัพ
ค่ำคืนที่เงียบสงบ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวนับล้านดวง สายลมเย็นพัดผ่านร่างบุรุษ ชุดดำใบหน้าคมเข้มรูปร่างสูงโปร่งดวงตาคมจมูกโด่งสัน ที่ฝึกเพลงดาบประจำตระกูลอยู่กลางลานบ้าน โดยมีลูกน้องคนสนิทนาม ' เสี่ยวฮัว ' ยืนเฝ้าผู้เป็นนายอยู่ไม่เคยห่างกาย เขาคือมัจจุราชเดินดินที่มีหน้าตาเปรียบเสมือนลูกรักของพระเจ้า หรือที่สหายของเขาชอบเรียกเขาว่าเพชรฆาตหน้าหยก ที่มีตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แดนเหนือ ' ไป๋มู่จิน ' เป็นลูกชายคนเดียวของท่านโหว ' ไป๋ซ่างเจิน ' คนส่วนใหญ่ต่างหลีกหนีไปให้ไกล แม้แต่ญาติพี่น้องก็ไม่เว้น เพราะหากใครทำผิด เขาก็ลงโทษตามกฎ โดยไม่มีข้อยกเว้น ส่วนเรื่องอิสตรียิ่งแล้วใหญ่ เพียงแค่เจอสายตาเย็นชาของเขา พวกนางก็วิ่งหนีแทบไม่ทัน แต่หากเขาได้สนใจอะไรเข้าแล้วละก็ เขาจะไม่ยอมรามือง่าย ๆ จนกว่าจะได้ของสิ่งนั้นมาครอบครอง " เฮ้อ....กลับมาเมืองหลวงทั้งที ใยเจ้าถึงยังเอาแต่ซ้อมดาบอยู่อีก " เสียงทุ้มที่เอ่ยขึ้น เรียกความสนใจจากบุรุษร่างสูงได้เป็นอย่างดี เขาหยุดซ้อมแล้วเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กที่ตั้งอยู่ข้างลานฝึกก่อนที่จะยกชาขึ้นมาจิบ ส่วนบุรุษชุดขาวที่เดินยิ้มเข้ามาตามแบบฉบับของหนุ่มอารมณ์ดีนั่งลงตรงข้ามเขา บุรุษผู้นี้มีใบหน้าหวานคล้ายอิสตรีเสียมากกว่า แม้แต่บุรุษด้วยกันเองหากเผลอสบตากับเจ้าหมอนี่เข้า ก็เป็นต้องเสียอาการไม่มากก็น้อย เขาเป็นบุตรชายคนโตของคหบดีที่รำรวยเป็นอันดับต้น ๆ ของเมืองหลวงเลยก็ว่าได้ คนส่วนใหญ่ต่างเรียกเขาว่าคุณชายเซียว ' เซียวเทียนเฟิง ' เขาเป็นคุณชายเพลย์บอย ผู้อารมณ์ดีและร่ำรวยจึงมีสตรีมากมายเข้าหาเขาอย่างไม่ขาดสาย " แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่ สถานที่เงียบสงบแบบนี้คงไม่เหมาะกับเจ้าเท่าไรนัก " " หากเจ้าหมายถึงสตรีพวกนั้นละก็ ข้าก็เบื่อเป็นนะ ข้าได้ยินว่าเจ้าจะไปแดนใต้ข้าจึงจะไปกับเจ้าด้วย " คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน เขาหันมามองหน้าสหายที่วัน ๆ เอาแต่ทำการค้าและเที่ยวสังสรรค์ เหตุใดถึงอยากจะเดินทางไกลไปในที่ ๆ มีแต่ภูเขาและแม่น้ำ " เจ้าเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ที่อำเภอชิงเหอมีแต่ภูเขาและแม่น้ำไม่เหมือนที่เมืองหลวงหรอกนะ " " เจ้านั้นแหละที่ไม่รู้อะไร ตอนนี้ที่นั่นเปิดให้ทำการค้าระหว่างสองแคว้นได้แล้ว แล้วที่นั่นก็มีสินค้าแปลกใหม่มากมาย ข้าเลยอยากจะไปดูเสียหน่อย " ไป๋มู่จินมองดูเซียวเทียนเฟิงที่ดูมุ่งมั่นและจริงจังขึ้นมาทันที ที่เอ่ยถึงเรื่องการค้าขาย " ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ พรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทางแต่เช้า " " ข้ารู้แล้ว ข้าเตรียมของเสร็จแล้วด้วย แล้วข้าก็เอาของดีมาฝากเจ้าด้วย เหล้านี้เป็นของขึ้นชื่อของร้านข้าเจ้าชิมดู " " ได้ " เสี่ยวฮัว ทำหน้าที่รินสุราใส่จอกอย่างรู้งาน เพราะรู้ว่าเจ้านายของตนกับสหายของเขาพบหน้ากันทีไรเป็นต้องร่ำสุรากันทั้งคืนแน่ แต่คืนนี้คงไม่ได้เพราะพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า " เสี่ยวฮัว เจ้าก็ลองชิมดูสิ " " ข้าเกรงว่าไหเดียวคงจะไม่พอหรอกขอรับ คุณชายเซียว " เซียวเทียนเฟิง หันไปมองหน้าเสี่ยวฮัวที่ยืนอยู่ไม่ไกลแล้วพลันนึกขึ้นได้ว่า เจ้านายและลูกน้องสองคนนี้ ดื่มสุราพันจอกก็ไม่เมา ก็เขาเห็นกับตาตนเองมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่แล้วเมื่อเขาแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มีดวงดาวส่องแสงระยิบระยับอยู่ " มู่จิน เหตุใดดาวเนื้อคู่ของเจ้าถึงได้กระพริบแบบนั้นหล่ะ .... หรือว่าการเดินทางครั้งนี้อาจจะนำเจ้าไปเจอกับเนื้อคู่ก็ได้นะ " " ไร้สาระ " " ไม่เชื่อก็แล้วแต่นะ " ไป๋มู่จิน จ้องมองดาวดวงน้อยที่กระพริบอยู่เนิ่นนาน สตรีทุกคนที่เคยพบเจอมาล้วนน่าเบื่อหน่าย ไม่มีใครที่จะทำให้เขาสนใจได้เลยสักคน เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเองรออะไรอยู่ หรือคาดหวังว่าจะได้พบกับสตรีแบบไหนกันแน่ ท่านแม่ทัพสวมชุดออกรบแบบเต็มยศ ชุดสีดำสนิทปักรวดลายพยัคฆ์สีเงินและสวมทับด้วยผ้าคลุมสีดำปักลายพยัคฆ์เช่นกัน เขานั่นหลังตรงอยู่บนหลังม้า ใบหน้าหล่อเหลานัยแววตาแน่วแน่เขามองตรงไปข้างหน้าก่อนที่จะสั่งเคลื่อนทัพ การเดินทางในครั้งนี้เน้นที่ความสะดวกและรวดเร็ว ไป๋มู่จินจึงเลือกพาเฉพาะคนของหน่วยพยักฆเหินไปเท่านั้น หากการเดินทางล่าช้า ชาวบ้านอาจจะได้รับความเดือดร้อนไปมากกว่านี้ก็เป็นได้ หน่วยพนักฆเหินมีแต่ผู้ที่ผ่านการคัดเลือก และถูกฝึก มาเป็นอย่างดีเท่านั้นถึงจะได้รับเลือกให้เข้าหน่วยพยักฆ์ บุรุษผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังเป็นผู้ปกครองแคว้น ทรงยืนทอดพระเนตรจากกำแพงเมือง มองเหล่าทหารที่กำลังออกนอกประตูเมืองมุ่งหน้าลงใต้ สายพระเนตรจับจ้องที่แผ่นหลังของแม่ทัพหนุ่มที่ควบม้านำหน้าทัพ " ฝ่าบาท ทรงเรียกหากระหม่อมหรือพะย่ะค่ะ " ท่านโหวไป๋ เดินตามหลังกงกงคนสนิทของฮ่องเต้มายืนบนกำแพงสูง " ไป๋ซ่างเจินเจ้าดู เจ้าเด็กบ้านั่น พึ่งกลับมาจากแดนเหนือได้เพียงสองวัน ข้าสู้อุตส่าห์ถามเขาว่าอยากแต่งงานไหม แต่เขากลับบอกว่ายังไม่เจอคนที่ถูกใจ แล้วหนีลงใต้ไปอีก ชาตินี้ไม่รู้ว่าเจ้ากับข้าจะได้เห็นหน้าหลานหรือเปล่าก็ไม่รู้ " ไป๋ซ่างเจิน มองตามหลังบุตรชายของตนไปแล้วยิ้มออกมา " ขนาดฝ่าบาทเป็นคนเสนอเขายังกล้าปฏิเสธเลย แล้วพ่ออย่างข้าจะนับว่าเป็นอะไรได้อีก " " หึ....คอยดูเถอะ หากเขาเจอคนที่ใช่เมื่อไหร่ล่ะก็ ข้าจะไม่ไปสู่ของให้เขาง่าย ๆ แน่ " ฝ่าบาททรงตรัสออกมาก่อนที่จะเดินกลับไปขึ้นรถม้าเพื่อกลับวังหลวงจวนสกุลฉู่ แห่งจงหนาน ภายในจวนทุกคนดูเหมือนจะกำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมอาหาร และของว่าง อย่างกับจะมีคนใหญ่คนโตมาร่วมโต๊ะด้วยอย่างนั้นแหล่ะ แม่ทัพสาวเดินเข้ามาในจวนด้วยท่าทางเร่งรีบ นางมองไปรอบ ๆ ด้วยความเป็นกังวล นี่ท่านแม่ของนางคิดจะทำอะไรอีกกันแน่ ไม่ดูเอิกเกริกเกินไปหรือ อินหยวนหันกลับไปมองหน้าบุรุษหนุ่มต่างแคว้นที่เดินตามหลังมาอย่างจนใจ " ท่านแม่ข้าบอกท่านว่ายังไงนะ " " ก็แค่ เชิญมาทานมื้อค่ำ " " ออ " นางส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้เขานิดนึงแล้วอยากจะยกมือขึ้นกุมขมับตนเองเสียจริง เพราะยังไม่รู้ว่าจะรับมือกับท่านแม่ของนางยังไงดี หากให้นางเดากลยุทธ์ของศัตรูยังจะง่ายกว่านี้อีกนะ " มีอะไรหรือเปล่า หรือเจ้าไม่สะดวก " เขาเลิกคิ้วสูงพรางมองมาที่นางด้วยสายตาประหลาด ก่อนที่จะยกยิ้มมุมปากเหมือนจะรู้ว่านางกังวลเรื่องอะไรอยู่ เหตุใดนางถึงได้รู้สึกว่าเขาดูเจ้าเล่ห์มากกว่าปกติ " ข้าเปล่า " " เช
ไป๋มู่จินเดินนำเหล่าทหารออกไปเผชิญหน้ากับคนสกุลหลิงอย่างซึ่ง ๆ หน้าเขาพยายามข่มอารมณ์ของตนเอาไว้ เพราะนางยังอยู่ในมือของพวกมัน ใบหน้าสวยหวานของนาง ดูหม่นแสงลงไปมากและนางยังส่งสายตาสำนึกผิดมาให้เขาอยู่ตลอดเวลาอีก ทั้ง ๆ ที่นางไม่ได้ทำผิดอะไร แต่เป็นเขาที่ดูแลนางได้ไม่ดีเอง " มาเร็วดีนี่ ท่านแม่ทัพ " เขาละสายตาจากสตรีตรงหน้าแล้วหันไปสนใจคุณชายหลิงแท่น ถึงแม่หยวนอิงส่งข่าวมาบอกแล้วว่าพวกเขาไม่สนใจเข้าร่วมกับการก่อกบฏในครั้งนี้ แต่ถูกตาเฒ่านั้นบีบบังคับ โดยการจับภรรยาและลูก ๆ ของเขาไป พวกเขาถึงต้องเข้าร่วมการก่อกบฏในครั้งนี้ แต่เรื่องที่ไม่น่าให้อภัยคือ กล้าดียังไงมายุ่งกับลูกเมียของเขากัน " ข้ามารับคน ถ้ายังอยากตายแบบไม่ต้องทรมาน ก็ส่งตัวนางมา " " ข้าต้องขออภัยที่ทำให้ฮูหยินของท่านต้องลำบาก แต่พวกเราไม่มีทางเลือกแล้วจริง ๆ คนของท่าน จ้องจะจับพวกข้าส่งกลับไปอย่างเดียว ไม่ยอมฟังอะไรเลย ท่านก็น่าจะรู้ว่าคนที่รักถูกนำมาเป็นเครื่องต่อรองนั้นเจ็บปวดใจเพียงใด " " เฮอะ คิด
ใบหน้าคม เคร่งขรึมขึ้นไปหลายส่วน แตกต่างจากเมื่อครู่ไปอย่างลิบลับ ไอสังหารแผ่กระจายไปรอบ ๆ ตัวของเขา จนเหล่าองครักษ์ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้ารับรู้ได้ แล้วรู้สึกร้อน ๆ หนาว ไปตาม ๆไปกัน เพราะต่างก็รู้ถึงความผิดของตนดี ภายใต้ใบหน้าที่เคร่งขรึมนี้ ใครจะรู้ได้ว่าเค้าหวาดหวั่นเพียงใด เมื่อก่อนเค้าไม่เคยหวาดกลัวสิ่งใด แต่เมื่อได้พบกับนาง เค้าถึงได้รู้ว่าความกลัวเป็นเช่นไร ใครก็ตามที่กล้าแตะต้องภรรยากับลูกของเค้า มันไม่ได้ตายดีแน่ " ท่านแม่ทัพ " เสี่ยวฮัวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เอ่ยเรียกเค้าเบา ๆ เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายเงียบไป " ถ่ายทอดคำสั่ง ปิดอำเภอ ปูพรมค้นหาฮูหยิน และผู้ร้ายหลบหนีข้ามแดน หากผู้ใดขัดขืนการจับกุม ฆ่าได้ทันที " " ขอรับ " เมื่อได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการ เหล่าทหารทุกนายก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ในทันที รองแม่ทัพหนุ่ม นำคนจำนวนหนึ่ง ซุ่มดูสถานการณ์ที่กระท่อมร้างบนเชิงเขา ปกติแล้วที่แห่งนี้พรานป่าสร้างขึ้
หลังจากเรื่องทุกอย่างจบลง พวกเขาคงต้องขอตัวเพียงเท่านี้ ต่อจากนี้ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ขององค์รัชทายาทและพระชายาเป็นคนจัดการเอง จะตัดสินยังไง ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาอีกแล้ว ไป๋มู่จิน ยอมรับว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในจงหนานครั้งนี้ เขาเองก็ได้รับบทเรียนไม่น้อย บางครั้งคนที่เราคิดว่ารู้จักดีแล้ว แต่ความเป็นจริงเราอาจจะไม่รู้จักเขาเลยก็ได้ ทั้งความคิดและการกระทำนี้แปลเปลี่ยนไปทั้งหมด เฉดเช่นเดียวกันกับอำนาจ หากอยู่ในมือคนที่มีคุณธรรมอยู่ก็ถือว่าเป็นความโชคดีของชาวเมือง แต่หากอยู่ในมือของคนชั่วช้า นั่นก็คงแล้วแต่โชคชะตา ขบวนเดินทางเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว มีเพียงแค่เขาและองครักษ์ของสนิท ที่ยังอยู่ในเมืองส่วนคนของหน่วยพยัคฆ์เหินนั้นตั้งขบวนเตรียมอยู่ที่นอกประตู และยังมีราชทูตที่ยังไม่กลับ เขาขอตัวอยู่ดูแลกิจการของสกุลลู่ต่อ " ต้องขอขอบคุณทุกท่านทุกคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้นชาวบ้านคงได้รับความเดือดร้อนเป็นทวีคูณ ส่วนพวกที่หนีข้ามแดนไป ก็คงต้องรบกวนท่านแม่ทัพเสียแล้ว "
เสียงสนทนาดังออกมาถึงนอกท้องพระโรง สตรีชุดดำนางหยุดชะงักไปเล็กน้อยที่ได้ยินว่าคนด้านในกำลังพูดถึงนางอยู่ แต่เสียงที่คุ้นเคยทำให้นางสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจนหมด ไป๋มู่จิน เจ้าแม่ทัพบ้านั่น ไหนว่ากลับแคว้นเหลียงไปแล้วอย่างไรเล่า เหตุถึงใดได้มาพูดจายั่วยวนกวนประสาทอยู่ที่นี่ได้ เมื่อเท้าเรียวก้าวเดินเข้าไปในท้องพระโรง ก็เรียกความสนใจของทุกคนได้เป็นอย่างดี สตรีชุดดำถือกระบี่ที่เปื้อนเลือดเข้ามาในท้องพระโรง ทุกคนดูจะตกตะลึงไปชั่วขณะ ที่เห็นพระชายาในสภาพแบบนี้ ใบหน้าสวยไร้การแต่งแต้มใด ๆ ที่ข้างแก้มนวลยังมีหยดเลือดที่ยังไม่แห้งติดอยู่ หาญจงอี้เดินตรงเข้ามาหาสตรีตรงหน้าด้วยความกังวลใจและห่วงใยในคราเดียวกัน เขามองสำรวจนางตั้งแต่หัวจรดเท้า เพื่อดูว่านางได้รับบาดเจ็บหรือไม่ มือหนายกขึ้นมาเช็ดคราบเลือดที่เปื้อนแก้มนวลออกอย่างเบามือ " เจ้าบาดเจ็บ " " ออ ไม่ใช่เลือดข้าหรอกเพคะ...... " นางมองหน้าบุรุษตรงหน้า เหมือนจงใจค้นหาอะไรบางอย่าง " พระชายา เจ้ามาอยู่ที่น
เสนาบดีหลิงเดินเข้ามาหาหลานชายของตนที่กำลังเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทอยู่ด้วยความใจเย็น แต่พอมองสบตากับบุคคลตรงหน้าแล้วเขาแทบจะหน้าถอดสี " เป็นไปไม่ได้ " " อะไรเป็นไปไม่ได้หรือท่านตา " " ฝ่าบาทยังไม่ถูกพิษ " เสนาบดีเฒ่าชี้ไม้ชี้มือไปที่องค์ฮ่องเต้ด้วยความตื่นตระหนก ทำให้อี้หลางต้องหันกลับมามองเสด็จพ่อของตนด้วยเช่นกัน " เป็นไปไม่ได้ ข้าน้อยปรุงยานี้กับมือ คนที่มียาถอนพิษก็มีแค่ข้าคนเดียวเท่านั้น " เติ้งฮุย ลูกน้องคนสนิทของเสนาบดีเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน และยิ่งตกใจมากกว่าเดิมเมื่อองค์ฮ่องเต้ยืนขึ้นแล้วเดินตรงมาหาเขา " เสด็จพ่อ อย่าบังคับข้าเลย " " อี้หลางอย่ามัวชักช้า รีบจับเขาไว้และเอาตราประทับมาให้ตา มิเช่นนั้นเราไม่มีทางรอดหรอก " " ลูกเอ๋ย กลับตัวกลับใจเสียเถิด " " อี้หลางอย่าไปฟังเค้า.....ฝ่าบาทส่งตราประทับมาเสียดีกว่า " เป็นเสนาบดีเฒ่าเอ่ยขัดขึ้นเพราะกลัวว่าหลานชายของตนจะใจอ่อน เขาสาวเท้าถือดาบเล่มยาวเดินตรงเข