Beranda / รักโบราณ / ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้ / ตอนที่ ๔ ||ร้านอันเหมียนถังและสกุลซือหม่า

Share

ตอนที่ ๔ ||ร้านอันเหมียนถังและสกุลซือหม่า

last update Terakhir Diperbarui: 2025-09-03 07:30:44

ตอนที่ ๔ ||ร้านอันเหมียนถังและสกุลซือหม่า

หลังขบวนเสด็จของสองสตรีคนสำคัญของต้าเจาจากไปแล้ว ถนนเส้นใหญ่กลับมาคึกคักดังเดิม พ่อค้าแม่หาบเร่แผงลอยส่งเสียงป่าวประกาศสรรพคุณสินค้าของตนเองให้คนที่เดินผ่านไปมาหันมาสนใจสินค้าหน้าร้านตนเอง

ผู้คนหลั่งไหลพลุกพล่าน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ทว่าปลายถนนกลับมีร้านหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากเฉียดใกล้หากไม่จำเป็นแต่กลับเป็นร้านที่ฮวงจุ้ยโดดเด่น ร้านดังกล่าวมีชื่อว่า...

...อันเหมียนถัง

หน้าร้านแขวนโคมกระดาษสีขาว สลักตัวหนังสือคำว่า “หลับใหลอย่างสงบ” ริ้วผ้าขาวพาดเหนือป้ายไม้สีหม่นที่จารึกชื่อร้านชัดเจน ยามลมพัดเงาโคมไฟไหวระริก เงาทอดลงพื้นดุจวิญญาณเร่ร่อนชวนผู้ผ่านทางขนลุกขนพอง ผู้คนที่เดินมาเพียงเหลือบมองก็มักเบี่ยงหลบ หรือข้ามถนนไปอีกฟากเพื่อหลีกเลี่ยงกลิ่นอวลชื้นของกำยานและสมุนไพร

ประตูไม้สีดำเปิดแง้ม กลิ่นไม้สนผสมขี้ผึ้งที่ใช้เคลือบโลงโชยคลุ้งไปกับกลิ่นเย็นของใบส้มโอ กานพลู และดอกเบญจมาศแห้ง บรรยากาศข้างในกว้างใหญ่แต่ขรึมเงียบสงบ ริมผนังเรียงรายด้วยโลงศพหลากหลายแบบบางใบสลักลายเมฆ ลายดอกเหมย บางใบเรียบง่ายสงบเสงี่ยม

โต๊ะเก็บเงินกับสมุดบัญชี มีโถสมุนไพรตั้งเรียง ถาดธูปเทียน และเครื่องเซ่นไหว้ครบถ้วน

บ่าวชายสิบหกคนในร้านสวมชุดผ้าฝ้ายสีหม่น คาดเอวด้วยผ้าดำ ขยับทำงานกันอย่างเงียบเชียบ เจ็ดคนเป็นช่างไม้ ก้มหน้าสลักสิ่วตอกค้อน

ห้าคนเป็นเด็กหนุ่ม ขัดโลง ทาขี้ผึ้ง เคลื่อนย้ายสินค้า ส่วนอีกสี่คนทำหน้าที่ต้อนรับลูกค้า จัดเครื่องเซ่น และประสานงานงานศพ

เสียงเคลื่อนไหวของคนเหล่านี้ไม่ใช่ความวุ่นวาย หากเป็นจังหวะช้า ๆ นุ่มนวล ราวกับพวกเขาต่างรู้ว่ากำลังทำงานให้ “ผู้ล่วงลับ”

ด้านในสุดของร้านมีชายวัยกลางคนรูปร่างใหญ่ หนวดเคราเปลี่ยนสีเป็นขาวแซมดำประปราย ยืนกำกับดูแลด้วยท่าทางสุขุม เผยซัน หรือที่ทุกคนเรียกว่า หลงจู๊เผย

เขาคือบิดาของเผยเซียวคนสนิทของเถ้าแก่ซือหม่าหยาง เขาเป็นคนจัดการบัญชีและดูแลโกดังด้านหลัง ซึ่งเต็มไปด้วยไม้สน ไม้หอม และพื้นที่ประกอบโลงศพที่ส่งเสียงเลื่อยและค้อนตอกเป็นระยะ ๆ

หน้าร้านอันเหมียนถังมิได้มีเพียงโลงศพเท่านั้น ยังวางขายเครื่องเซ่นและของใช้ในพิธีศพครบถ้วนทั้งชุดกระดาษเงินกระดาษทอง เครื่องดนตรีสำหรับใช้พิธีศพชิ้นเล็ก ๆ ตะเกียงน้ำมันสำหรับตั้งข้างโลง

รวมถึงผ้าดำผ้าขาวที่ใช้คลุมศพและประดับเรือนศพ กลิ่นสมุนไพรผสมกลิ่นขี้ผึ้งและควันกำยานอบอวลอยู่ตลอดเวลา ชวนให้คนภายนอกขนลุกขนพอง

แม้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่กล้าเฉียดใกล้ แต่สำหรับผู้สูญเสีย ร้านนี้คือที่พึ่งสุดท้าย

ซือหม่าหยางในยามนี้ถอดอาภรณ์ยาว เปลี่ยนเป็นเพียงเสื้อผ้าสีหม่น แขนเสื้อถกขึ้นเผยท่อนแขนแข็งแรง เขานั่งขัดขอบโลงด้วยมือตนเองอย่างประณีต

เส้นเอ็นบนแขนเด่นชัด แววตาคมสงบนิ่งดุจน้ำแข็ง ไม่ใช่คุณชายผู้หรูหราของตระกูลแม่ทัพใหญ่ มิใช่ซือหม่าซานกงจื่อ หากเป็นเพียง อู่จั๋ว และเถ้าแก่ของร้านขายโลงศพขนาดใหญ่แห่งนี้

ชายหนุ่มผู้เลือกอยู่ท่ามกลางความเงียบงันและร่างไร้วิญญาณ มากกว่าจะแข่งขันวุ่นวายในสังคมขุนนางหรือสนามรบ

“เถ้าแก่สามขอรับ” เสียงเด็กหนุ่มบ่าวร้องเรียกจากหน้าประตู

“มีอันใด?” ซือหม่าหยางเอ่ยถามโดยมิได้เงยหน้าขึ้นมอง

“มีหญิงชรามาขอซื้อโลงอีกใบ บอกว่าลูกชายเพิ่งสิ้นใจเมื่อคืนขอรับ”

ซือหม่าหยางเงยหน้า ดวงตายังคงเรียบสงบ เขาวางสิ่วในมือลง ลุกขึ้นก้าวไปที่หน้าร้าน ไม่แสดงเวทนาหรือรังเกียจ เพียงเอ่ยสั้น ๆ

“ต้องการแบบเรียบ หรือแบบสลักลาย”

หญิงชราผู้นั้นน้ำตาคลอ เสียงสั่นเครือ “แบบเรียบ…ราคาถูกที่สุดก็พอ”

เขาพยักหน้า แล้วหันไปสั่งบ่าวยกโลงที่เสร็จแล้วออกมา พร้อมบอกเสียงเรียบ “ใช้ไม้สน ข้างในทาด้วยขี้ผึ้งกันชื้น พอเหมาะสำหรับฝังในดิน…ข้าจะลดให้ครึ่งราคา”

หญิงชราทรุดตัวคำนับทั้งน้ำตา แต่ซือหม่าหยางเพียงยกมือห้าม “อย่าคำนับข้า ข้าก็แค่ทำให้คนตายได้ที่พักผ่อนอย่างสบายที่สุดในวาระท้าย”

บรรยากาศกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง เมื่อหญิงชรากับลูกชายลากโลงออกไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นขี้เลื่อยและเสียงสิ่วที่ดังต่อเนื่อง ราวกับทุกสิ่งไม่เคยหยุดหมุน

ยามโหย่วหนึ่งเค่อ…

ก็ได้เวลาที่ซือหม่าหยางต้องเตรียมตัวกลับจวนเพื่อร่วมโต๊ะมื้อเย็นพร้อมหน้ากฎที่สกุลซือหม่าวางไว้ตั้งแต่ครั้งมารดาของเขายังมีชีวิตอยู่ แม้ผ่านไปสิบเอ็ดปีแล้วที่นางลาลับ แต่บิดายังคงให้ยึดถือไว้ดังเดิม

“เผยเซียว เจ้าไปเตรียมรถม้า ข้าจะกลับจวน”

“ขอรับ กงจื่อ”

อาทิตย์คล้อยต่ำ แสงสุดท้ายสาดจับบนรถม้า แผ่วผ่านซุ้มไม้สนข้างถนน จนเกิดเป็นเงายาวทอดข้ามกำแพงสูงใหญ่ของ จวนติ้งถิงโหว ไม่นานนัก รถม้าก็เคลื่อนเข้าจอดเทียบหน้าประตูตระหง่านที่แกะสลักลายเมฆมงคลบนแผ่นไม้สัก เสียงกลองทหารที่ประจำอยู่การเป็นยามรักษาการณ์ก้องกังวานขึ้นเบา ๆ ก่อนที่ประตูไม้เคลือบโลหะสีดำสนิทจะถูกผลักออกด้วยแรงคน

ซือหม่าหยาง ก้าวลงจากรถม้า เงาของเขาทอดยาวบนลานศิลาหน้าจวน เผยเซียวรีบนำรถม้าไปเก็บอีกทาง ขณะเดียวกันบ่าวไพร่ผลัดเวรหลายคนค้อมกายคารวะเสียงพร้อม

“ซือหม่าซานกงจื่อกลับมาแล้วขอรับ!”

จวนติ้งถิงโหว เป็นเรือนสี่ประสานขนาดใหญ่ที่สืบทอดฐานันดรมาแล้วถึงหกรุ่น กำแพงสูงล้อมรอบกินพื้นที่เกือบครึ่งตำบล ด้านในแบ่งเป็นเรือนหลักอันโอ่อ่า เรือนรองและเรือนข้างที่เรียงรายตามลำดับชั้น บ่าวไพร่กว่าสี่ห้าร้อยชีวิตคอยวิ่งวุ่นไปตามทางเดิน บ้างหาบน้ำ บ้างถือถาดอาหาร บ้างกวาดลานจนสะอาดไร้ฝุ่น

เรือนหลัก เป็นอาคารไม้ใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง ผนังทาด้วยสีชาดเข้มหลังคามุงกระเบื้องเคลือบสีเขียวมรกต ปลายสันหลังคาโค้งขึ้นประดับมังกรหินแกะสลักเป็นคู่ ประตูใหญ่ใช้ไม้จันทน์แดงสลักลายกิเลนเหยียบเมฆา ขอบประตูติดแผ่นโลหะเงาวับประดับหมุดทองเหลืองแน่นหนา ด้านหน้าเป็นลานกว้างปูศิลาเรียงจนแสงอาทิตย์สะท้อนวาววับ มีศาลาทรงแปดเหลี่ยมตั้งอยู่ตรงหัวมุมสำหรับพักผ่อนชมสวน

เรือนรองและเรือนข้าง เรียงตัวสองฟากทิศตะวันออกและตะวันตก ใช้เป็นที่อยู่ของพี่น้อง บุตรภรรยา และญาติใกล้ชิดของสกุล ข้างลานปลูกต้นสนสูงตระหง่าน สลับกับกอไผ่และแปลงดอกเหมยที่ปลูกไว้ตลอดแนว กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของใบสนผสมกับกลิ่นกำยานจากห้องบูชา ลอยคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณ

บรรยากาศโดยรวมช่างโอ่อ่าแต่สงบ ขึงขังตามแบบสถาปัตยกรรมสมัยต้าเจาที่ยาวนานมากว่าเจ็ดร้อยปี หลังคากว้าง โถงสูง คานไม้สลักลายประณีต เสากลมใหญ่ตั้งเรียงเป็นแถวดุจป่าไผ่ศักดิ์สิทธิ์

เมื่อซือหม่าหยางก้าวเข้าสู่ประตูเรือนหลัก เขาถอดหมวกวางลงกับมือบ่าวที่รับไป แล้วเดินตรงไปยังโถงใหญ่ของตระกูล ที่ซึ่งบิดา ซือหม่าเฉิน ติ้งถิงโหว นั่งอยู่บนตั่งไม้สูง

ด้านข้างมีสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งเคียง ใบหน้าของนางอ่อนโยนยิ่ง แววตาเต็มด้วยความสงบ นางคือ จางซื่อ จางเหม่ยเหนียง ผู้เป็น แม่เล็ก ของเขา แม้สถานะในบ้านจะเป็นเพียงอี๋เหนียง

ทว่าเพราะจางซื่อคอยเลี้ยงดูบุตรเลี้ยงทั้งสามตั้งแต่เยาว์วัย ไม่เคยแบ่งแยกเลือดเนื้อกับลูกแท้ ๆ ความเมตตาอ่อนโยนของนางจึงเป็นที่เคารพรักของลูก ๆ เสมอมา

ซือหม่าหยางย่อกายคารวะก้มศีรษะ “ลูกกลับมาแล้วขอรับ ท่านพ่อ ท่านแม่เล็ก”

ซือหม่าหย่งเฉินพยักหน้า แววตายังแฝงความเคร่งขรึมแต่เปี่ยมด้วยความพอใจ ส่วนจางซื่อยกยิ้มอ่อนโยน รีบเอ่ยเสียงนุ่ม

“เจ้าคงเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบล้างหน้ามือเสียก่อนเถิด มื้อค่ำคงจัดใกล้เสร็จแล้ว รอเพียงพี่ใหญ่ กับพี่รองของเจ้ากลับมาก็พร้อมกินข้าวแล้ว”

บรรยากาศโถงใหญ่จวนติ้งถิงโหว จึงอบอวลไปด้วยทั้งความสง่างามโอ่อ่าของเรือนขุนนางใหญ่

และขณะนั้นเองที่ประตูตะวันออกของจวนก็มีเสียงประกาศดังขึ้น “ซือหม่าซื่อจื่อกลับจากค่ายบูรพาแล้วขอรับ!

ประตูเปิดกว้างให้ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ก้าวเข้ามาในชุดเกราะสีดำที่ยังอบอวลด้วยกลิ่นเหล็กและฝุ่นทราย ซือหม่าหยวน พี่ใหญ่ ผู้เป็นความหวังของกองทัพต้าเจา แววตาเขาสงบนิ่ง อบอุ่นยามทอดมองบ่าวไพร่ที่โค้งคำนับ แต่ในดวงตาคู่นั้นยังคงซ่อนความคมกร้าวเด็ดขาดที่ผู้ใดในสนามรบต่างเกรงกลัว

ถัดมาไม่นาน ประตูทิศตะวันตกก็ปรากฏเงาสตรีสูงโปร่งในชุดเกราะเบาสีดำทองประดับลายพยัคฆ์เหยียบเพลิง ซือหม่าอวี้ พี่สาวคนรองของบ้านใหญ่ ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์พยัคฆ์เพลิง ก้าวเดินองอาจราวบุรุษ สายตาคมเฉียบเยี่ยงพยัคฆ์สาว บ่าวไพร่ที่เผลอเงยหน้ามองยังต้องก้มหลบอย่างเกรงขาม

ส่วนทางด้านประตูเล็กหลังจวน เสียงหัวเราะสดใสดังมาก่อนร่างเล็กวัยเก้าปีจะวิ่งเข้ามา ซือหม่าหนิง บุตรีคนสุดท้อง ผมถักเปียสองข้างแกว่งไปมาตามจังหวะการวิ่ง มือเล็กยังกอดตำราเรียนจากสถานศึกษาบุตรขุนนางในเมืองหลวงเอาไว้แน่น นางกระโดดโลดเต้นพลางร้องเรียกเสียงใส

“ท่านแม่เล็ก! ท่านแม่เล็ก ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”

เมื่อทุกคนมาถึงพร้อมหน้า โถงใหญ่ของเรือนหลัก ก็พลันอบอวลด้วยบรรยากาศคึกคักต่างจากความเงียบเมื่อครู่ เสียงทักทาย เสียงหัวเราะ และกลิ่นกำยานหอมอ่อนที่ลอยอบอวล ทำให้ค่ำคืนนี้ดูอบอุ่นยิ่งนัก

จางซื่อผู้เป็นนายหญิงของจวนแทนอดีตฮูหยินที่จากไปหลายปีนั่งมองลูกทั้งสี่ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน แววตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิ นางปรบมือเบา ๆ เรียกพ่อบ้านใหญ่

“ไปจัดโต๊ะมื้อเย็น ทุกคนกลับมาพร้อมหน้าแล้ว”

ไม่นานนัก โต๊ะกลมใหญ่ใน ห้องกินข้าวของเรือนหลัก ก็ถูกจัดเรียงอย่างเรียบร้อย ชุดสำรับเงินวาววับวางเรียงเป็นวง อาหารร้อน ๆ หลายสิบสำรับถูกยกมาทีละจาน ทั้งซุปกระดูกหมูตุ๋นยาจีน ห่านอบน้ำผึ้ง ปลาเคลือบซอสรสหวานเค็ม และผักผัดน้ำมันงากลิ่นหอมฉุย บ่าวไพร่ในชุดผ้าฝ้ายหม่นยืนเรียงรายอยู่ด้านหลังห้อง รอคอยรับใช้เงียบงัน

ซือหม่าหยาง เข้ามานั่งเคียงพี่น้อง เขาเพียงยิ้มบาง ๆ ให้หนิงเอ๋อร์ที่รีบเข้ามาเกาะแขน แต่ไม่ได้เอ่ยปากเล่าเรื่องราวใด ๆ จากร้านอันเหมียนถัง

ตรงข้ามนั้น ซือหม่าหยวน เล่าเรื่องการฝึกทหารที่ค่ายบูรพา เสียงทุ้มหนักแน่น “ชายแดนตะวันออกยังมีข่าวซ่องสุมโจรภูเขา แต่พวกเรากำลังจัดกองทัพเล็กคอยสกัด กำลังใจทหารยังมั่นคงดี” คำพูดหนักแน่นแต่แฝงความอบอุ่นเมื่อหันมามองน้อง ๆ

ซือหม่าอวี้ กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงห้าวหาญ “ส่วนหน่วยพยัคฆ์เพลิงวันนี้ฝึกทวนไฟที่ลานใต้กำแพง มีองครักษ์หน้าใหม่หลายคนพัฒนาเร็ว ข้าว่าหากได้ลงสนามจริงคงไม่อับอายแก่ชื่อสกุลซือหม่าแน่”

เสียงหัวเราะของหนิงเอ๋อร์ดังแทรกขึ้น “วันนี้อาจารย์ใหญ่ชมว่าข้าเขียนอักษรได้ตรงพยางค์แล้วเจ้าค่ะ! แต่ข้ายังชอบเรื่องศพมากกว่า หากได้เป็นอู่จั๋วอย่างซานเกอคงดี”

คำพูดนั้นเรียกเสียงหัวเราะทั้งโต๊ะ แม้แต่ซือหม่าอวี้ที่มักจริงจังก็ยังยกมือตบไหล่น้องน้อย “เจ้าช่างเป็นสมกับเป็นคนสกุลซือหม่าจริงๆ”

จางซื่อเพียงส่ายหน้ายิ้มบาง “เด็กคนนี้พูดปากไปแล้ว”

ทุกคนต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงสิ่งที่เผชิญมาตลอดวัน โต๊ะอาหารอบอวลด้วยเสียงหัวเราะและความผูกพัน มีเพียง ซือหม่าหยาง ที่นั่งฟังเงียบ ๆ ไม่ได้เล่าเรื่องใดออกมา เพราะเขารู้ดีว่างานของตน…มิใช่สิ่งควรเอ่ยถึงบนโต๊ะกินข้าวอันอบอุ่นนี้

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่ ๒๔ || ตามหารอยสักหมาป่าคำราม

    ตอนที่ ๒๔ || ตามหารอยสักหมาป่าคำรามดังนั้นพอถึงวันถัดมา หลิ่วถิงเยว่ตื่นขึ้นด้วยดวงตาที่ใต้ดวงตาดำคล้ำ แต่ความมุ่งมั่นกลับหนักแน่นยิ่งกว่าเดิมหลิ่วถิงเยว่นำภาพวาดที่ตนเขียนไว้ติดตัวออกจากตำหนักฉางหลันหลังนางกินมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว ขันทีนางกำนัลพากันขบวนติดตาม นางกำนัลประจำหอตำราหลวงต่างรีบออกมาก้มศีรษะต้อนรับด้วยความเคารพ หลังอากุ่ยไปแจ้งว่าฉางหลันจ่างกงจู่ต้องการศึกษาตำราฉางหลันจ่างกงจู่ ผู้สูงศักดิ์เสด็จมาอ่านตำรา ใครเล่าจะกลัวขวางทาง ไม่ว่านางจะไปแห่งหนใด ขุนนางทั้งหลายล้วนต้องถอยหลีกทางร่างอรชรก้าวเข้าสู่หอตำราหลวงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แสงอาทิตย์สาดลอดหน้าต่างสูงสะท้อนคัมภีร์และตำราที่เรียงรายสุดสายตา เสียงฝีเท้าของถิงเยว่ดังก้องไปตามทางเดินที่ถูกขันทีและนางกำนัลผู้ดูแลหอตำราขัดถูจนสะอาดเงาวับตลอดวันนั้น นางกางภาพหมาป่าดำเทียบกับตำราไปไม่น้อย มือเล็กหยิบเล่มแล้วเล่มเล่า ไล่ค้นทั้งหมวดสัตว์ป่าหวงห้าม ตำราพิธีบูชา ไปจนถึงบันทึกตำนานโบราณ ทว่าทุกเล่มล้วนเงียบงันไร้คำตอบวันเดียวไม่พอ…สองวันก็ยังว่างเปล่าจนกระทั่งครบเจ็ดวันเต็ม นางยังวนเวียนอยู่ที่หอตำราหลวง ใบหน้างามมีแต่ซีดขาวเพ

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่ ๒๓ ||ใต้หล้าล้วนผิดต่อข้า!

    ตอนที่ ๒๓ ||ใต้หล้าล้วนผิดต่อข้า!เสียงฆ้องสามครั้งดังสะท้อนทั่วตำหนักจิ้งหยางหลังไท่หยางฮ่องเต้มีดำรัสให้เลิกงานเลี้ยงเพียงเท่านี้ แขกเหรื่อแตกตื่นลุกขึ้นก้มศีรษะคำนับตามรับสั่ง ไท่หยางฮ่องเต้เสด็จออกจากท้องพระโรงพร้อมหลีไทเฮาเหลือทิ้งไว้เบื้องหลังเพียงเสียงซุบซิบอื้ออึงของเหล่าบัณฑิตและขุนนางที่ยังไม่ทันดื่มกินให้สำราญใจ งานเลี้ยงที่ควรเป็นเกียรติสูงสุดกลับถูกยุติกลางคันด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝันในความวุ่นวายนั้น ซ่งอวิ๋นโม่ ยืนนิ่งราวถูกตอกตรึงไว้กับพื้น ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ดวงตาที่เคยสว่างวาบไปด้วยความหลงใหล กลับมืดครึ้มลงอย่างน่ากลัวเพียงเพราะหญิงงาม เขากลับหลงลืมภารกิจสำคัญไปจนสิ้น!ซ่งอวิ๋นโม่กำหมัดแน่น เล็บจิกลงบนฝ่ามือจนเลือดซึม ร่างสั่นสะท้านด้วยความโกรธแค้นต่อตนเองที่หลงลืมเพลิงแค้นยี่สิบปี เพียงสบตากับซือหม่าอวี้ หลงลืมเป้าหมายที่จะโดดเด่นต่อไท่หยางฮ่องเต้ และทำตนให้สะดุดตาฉางหลันจ่างกงจู่อวิ๋นโม่เอ๋ย อวิ๋นโม่ เจ้าช่างโง่งมสิ้นดี! เจ้ามาเพื่อแก้แค้น เพื่อชะตาตระกูล ที่สูญสิ้นเพราะพวกคนแซ่เหลิ่วมิใช่มาเพื่อจมอยู่ในห้วงรักแรกพบที่ไร้ค่า!ใบหน้าที่เคยสงบนิ่งกลับบิดเ

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่ ๒๒ || หนึ่งฉิน หนึ่งกระบี่

    ทันทีที่เสียงขันทีใหญ่เอ่ยขานจบ บุตรสาวคนรองแห่งจวนติ้งถิงโหว ซือหม่าอวี้ ก้าวออกจากแถวด้วยกิริยาสงบ ดวงตาคมกริบสะท้อนประกายมั่นใจ งามหยดย้อยแต่แฝงกลิ่นอายดุดันของนักรบหญิงถัดมา ซือหม่าหยวน พี่ชายคนโต ก้าวออกเคียงข้างใน อาภรณ์ขุนนางฝ่ายบู๊สีชาดขลิบทอง สง่างามราวเพลิงไฟ มิใช่ชุดออกศึกเช่นยามอยู่ที่ค่ายทหาร ท่วงท่ามั่นคงดุดันสมฐานะแม่ทัพผู้ปกป้องบูรพาสองพี่น้องหยุดยืนกลางท้องพระโรง ค้อมกายคำนับบัลลังก์มังกร ก่อนที่ขันทีจะส่งกระบี่ยาวคู่หนึ่งเข้ามาในมือเสียงดนตรีพลันเปลี่ยนเป็นจังหวะหนักแน่น กลองใหญ่กระหึ่มก้อง ปี่และขลุ่ยสอดประสานดุจเสียงลมกรรโชกซือหม่าอวี้สะบัดปลายแขนยกกระบี่ขึ้น ฟาดหมุนวาดเป็นวงกลมงดงาม ก่อนพุ่งก้าวไปข้างหน้าเหมือนพยัคฆ์สาวตะปบเหยื่อ กระบี่ในมือนางเปล่งแสงสะท้อนกับแสงโคมไฟระยิบระยับราวอัสนีแลบซือหม่าหยวนโต้ตอบด้วยกระบี่ที่มั่นคงและทรงพลัง ทุกกระบวนท่าผสานรับส่งกับน้องสาวอย่างคล่องแคล่ว หนักแน่นเสมือนขุนเขา แต่ก็พลิ้วไหวราวสายน้ำเสียงเหล็กกระบี่กระทบกันดัง เคร้ง! ก้องกังวานสะท้อนทั่วท้องพระโรง ทุกสายตาจับจ้องร่างทั้งสองที่เคลื่อนไหวประสานกันไม่ต่างจากบทกวีแห่งสงคร

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่ ๒๑ || งานเลี้ยงรับรองบัณฑิตใหม่

    ราตรีหนึ่งในราชสำนักต้าเจาในปลายฤดูร้อนกลางเดือนห้าเจิดจ้าด้วยแสงประทีปนับหมื่นดวงคืนนี้ตำหนักจิ้งหยางอันโอ่อ่าถูกเปิดกว้าง ตกแต่งประดับประดาด้วยผ้าแพรโปร่งหลากสีพาดลดหลั่นดั่งม่านเมฆ ลวดลายมังกรกับหงส์ทองปักด้วยดิ้นเงินดิ้นทองสะท้อนกับแสงโคมไฟจนระยิบระยับราวดวงดาวตกลงมาประดับพื้นดินหอสูงทั้งสี่มุมตำหนักแขวนโคมไฟลวดลายงดงามแปลกตา ริมทางเดินปูพรมผ้าไหมสีชาดทอดยาวตั้งแต่หน้าตำหนักขึ้นสู่บันไดท้องพระโรง เสียงดนตรีพิณ คงโหว ขลุ่ยบรรเลงกล่อมด้วยท่วงทำนองนุ่มนวลต้อนรับแขกเหรื่อ ขับเน้นให้ค่ำคืนนี้หรูหราเกินเปรียบบนโต๊ะยาวเรียงรายทั่วห้องโถง เครื่องคาวและหวานถูกจัดวางอย่างประณีต อาหารเลิศรสจากทั่วทุกหัวเมืองส่งมารวม ณ ที่นี้ ทั้งปลากรายนึ่งซีอิ๊ว ปูทะเลตัวใหญ่แกะเปลือกวางบนจานเงินเนื้อกวางตุ๋นยาจีนหอมฉุย ขนมหวานงดงามอย่างดอกเหมยน้ำผึ้ง ผลไม้หายากจากแดนไกล สายน้ำชาและสุราบ่มนานถูกทยอยรินไม่ให้ขาด นางกำนัลและขันทีเดินกันขวักไขว่ ขับเน้นความเอิกเกริกสมกับเป็นงานเลี้ยงใหญ่ที่ราชสำนักจัดเพื่อต้อนรับบัณฑิตผู้สอบผ่านของปีไท่หยางที่ 7 นี้อย่างใหญ่โอฬารบัณฑิตหนุ่มจากหัวเมืองต่าง ๆ สวมชุดยาวสีน้ำ

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่ ๒๐ || ห้วงฝันสีเลือด

    ตอนที่ ๒๐ || ห้วงฝันสีเลือดสายหมอกหนาหนักโอบล้อมครอบคลุมทั่วทั้งหลังเขา ความเงียบวังเวงจนแม้เสียงลมหายใจของตนเอง หลิ่วถิงเยว่ยังได้ยินดังสะท้อนในหู ร่างเล็กก้าวไปเรื่อย ๆ ทั้งที่ใจรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง คล้ายถูกใครบางคนดึงรั้งให้เดินสืบเท้าต่อไปโดยไม่อาจฝืนฉัวะ!เสียงคมดาบฟาดเฉือนผ่านอากาศ ฉับพลันก็ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนสะท้านวิญญาณ เลือดคาวคลุ้งลอยมากับลมเย็นยะเยือกจนขนกายลุกชัน หญิงสาวใจสั่นระรัว อยากหันหลังหนีแต่ร่างกลับแข็งทื่อ เท้าทั้งสองกลับก้าวต่อไปอย่างดื้อรั้น“ไม่นะ!…เจ้าเท้าไม่รักดีห้ามพาข้าไปเห็นเรื่องไม่ควรเห็นสิ!…” นางพึมพำ น้ำเสียงสั่นเครือยิ่งก้าวลึกเข้าไปในหมอก เสียงฟาดฟันโลหะปะทะโลหะก็ถี่กระชั้นขึ้น ทั้งเสียงกรีดร้องคร่ำครวญของมนุษย์ที่ถูกเชือดขาดสะบั้นก้องกังวานทั่วผืนเขา จนหลิ่วถิงเยว่เหมือนจะหูอื้อไปชั่วขณะเมื่อม่านหมอกขาวสลายคลายออก ภาพตรงหน้ากลับทำให้หัวใจนางแทบหยุดเต้นกลางลานดินกว้างเต็มไปด้วย ซากศพ นับร้อย เลือดแดงสดไหลรวมเป็นธารนองพื้น กลิ่นคาวคลุ้งคละคลุ้งสะอิดสะเอียนท่ามกลางกองซากน่าสะพรึงนั้น เด็กชายผู้หนึ่งยังคงยืนหยัด ร่างเล็กวัยเพียงสิบถึงสิบเอ

  • ข้าก็เป็นสวามีเช่นนี้   ตอนที่ ๑๙ || หยกหวนคืนอีกครั้ง!

    ตอนที่ ๑๙ || หยกหวนคืนอีกครั้ง!หลังจากถูกอาหลิวกับอากุ่ยพากลับมายังตำหนักฉางหลัน หลิ่วถิงเยว่ก็เอาแต่นั่งนิ่งอยู่ในห้องบรรทม น้ำตาไหลเปียกแก้ม ภาพพี่ชายตะคอกใส่พร้อมทุบหยกและเผาสมุดบันทึกต่อหน้าต่อตายังคงวนเวียนไม่หาย ทุกครั้งที่นึกถึง ใจดวงน้อยก็ปวดร้าวราวถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ“จ่างกงจู่เพคะ ฝ่าบาทคงมิได้ตั้งทัยหรอกเพค” อาหลิวเอ่ยปลอบใจ เพราะทราบดีผู้เป็นนายคงสะเทือนใจไม่น้อย“ไม่ตั้งพระทัยหรือ? เจ้าหรอกใครอยู่กันเล่า อาหลิว พวกเจ้าออกไปเถอะ เปิ่นจ่างกงจู่อยากอยู่ผู้เดียว” กล่าวด้วยสีหน้าเย้ยหยัน แต่มิอาจทราบได้ว่านางเย้ยหยันผู้ใดอยู่ใดกันแน่“แต่ว่า…” อาหลิวยังห่วงนายสาว เนื่องจากฉางหลันจ่างกงจู่นั้นบอบบางราวแก้ว ไท่หยางฮ่องเต้คราวนี้รุนแรงไปแล้ว“ออกไปเถอะ!” หลิ่วถิงเยว่จำต้องทำเสียงเคร่ง เพราะอาหลิวกับอากุ่ยมักเป็นเช่นนี้ในยามที่นางกล่าววาจาดีด้วยก็ไม่ค่อยจะรับฟังชอบให้นางเอ็ดเสียงดัง แต่ในยามนี้เด็กสาวอยากอยู่ลำพังจริงๆ“พี่เยี่ยน…เหตุใดจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้” นางพึมพำแผ่วเบา เสียงสะอื้นติดคอ เติบโตมาด้วยกัน หลิ่วเยี่ยนเฟยไม่เคยขาดเหตุผลเช่นนี้ หรือเพราะเมิ่งหรูจื่อ?หลิ่วถิงเยว่สะ

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status