ขบวนเสด็จเคลื่อนเข้าสู่เขตพระราชฐาน หลีไทเฮาแยกไปตำหนักฉางชิ่ง ที่อยู่ชั้นใน ส่วนหลิ่วถิงเยว่นั้นมีตำหนักของตนเองแล้วอยู่ชั้นนอก ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ หลังได้รับฐานันดร ฉางหลันจ่างกงจู่
ยามที่ทั้งสองแยกเป็นสองขบวนขึ้นเกี้ยวเกียรติยศก็เป็นเวลาที่ฟ้าเพิ่งโปรยแสงสุดท้ายเหนือแนวกำแพงสูงใหญ่ แสงไฟจากโคมแขวนหลายร้อยดวงส่องระยิบระยับตามทางเดินหินอ่อน จนทอดเงาเรียงรายดุจดวงดาวกลางรัตติกาล
ตำหนักฉางหลัน ตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศตะวันออกของพระราชวัง เป็นหนึ่งในตำหนักขนาดใหญ่ที่สุดรองจากตำหนักของฮ่องเต้และไทเฮา ตัวตำหนักก่อด้วยไม้ประดู่และไม้อู่ถงแกะสลัก
หลังคามุงกระเบื้องเคลือบสีส้มอมแดง ปลายสันหลังคาโค้งสูงประดับรูปหงส์คู่ ด้านหน้ามีลานศิลาเรียงยาวทอดตรงสู่บันไดหินแกะลายเมฆมงคลหลายสิบขั้น
ทันทีที่เกี้ยวไม้ลงลักษณ์ปิดทองประดับด้วยไข่มุกหยุดลง ณ ลานหน้าตำหนัก ขันทีและนางกำนัลที่รอรับอยู่แล้วต่างหมอบกราบพร้อมเปล่งเสียงดังกังวาน
“ถวายพระพร ฉางหลันจ่างกงจู่!”
นางกำนัลในตำหนักฉางหลัน มีราว หกสิบคน แต่งกายในชุดผ้าแพรสีชมพูอ่อน คาดเอวด้วยผ้าสีแดงเลือดนก ทำหน้าที่ทั้งดูแลเครื่องแต่งกาย ประกอบอาหาร และจัดการเรือนต่าง ๆ ภายในตำหนัก
ขันที ผู้รับใช้มีราว สามสิบคน สวมอาภรณ์สีม่วงเข้มคาดด้วยแถบสีแดงเลือดนก ติดป้ายหยกแสดงตำแหน่งประจำกาย ทำหน้าที่เฝ้ายาม ประกาศพระดำรัส และเป็นธุระติดต่องานราชสำนัก
ภายในตำหนักกว้างขวางโอ่อ่า แบ่งออกเป็นเรือนใหญ่สี่ประสานเชื่อมต่อกัน
เรือนหลัก ใช้เป็นท้องพระโรงส่วนพระองค์สำหรับว่าราชการเล็ก ๆ และรับรองแขกผู้ใหญ่
เรือนตะวันออก เป็นเรือนพักของนางกำนัลฝ่ายใน
เรือนตะวันตก เป็นตำหนักรองเก็บสมบัติล้ำค่า ทั้งหีบทองคำ อัญมณี และผ้าไหมเมืองบูรพา
เรือนเหนือ คือห้องบรรทมของ ฉางหลัน จ่างกงจู่ ตกแต่งด้วยผ้าม่านไหมสีม่วงอ่อนปักดิ้นสีทอง เตียงไม้หอมแกะลายหงส์คู่ โต๊ะตั้งหยกขาวและเครื่องหอมจากแดนไกล
สวนด้านในเต็มไปด้วยดอกเหมยและต้นท้อ กับโบตั๋น อีกทั้งมีต้นดอกเฟื่องฟ้าหลากสีงดงามเรียงราย บ่อน้ำหินสลักมีสะพานโค้งเล็กทอดข้าม ทุกค่ำคืนจะมีคนจุดตะเกียงน้ำมันล้อมบึง จนแสงสว่างสะท้อนน้ำราวกับดวงดาวโปรยปราย
หลิ่วถิงเยว่ก้าวลงจากเกี้ยว ท่ามกลางข้าทาสนางกำนัลที่หมอบเรียงเป็นระเบียบ ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์แพรสีม่วงเข้มปักดิ้นเงินสะท้อนแสงโคม ขับให้โฉมหน้างดงามดุจจันทรา ยิ่งนางคือพระขนิษฐาร่วมพระมารดาเพียงพระองค์เดียวของฮ่องเต้ ย่อมเป็นที่เคารพยำเกรงของทุกผู้คน
มิใช่เพียงเพราะโฉมงาม หากยังเพราะวาสนามาแต่เกิด นางถือครองทรัพย์สมบัติมากมาย มีทั้งเงินทองและบ่าวไพร่นับร้อย อีกทั้งยังมีสิทธิ์กล่าวถ้อยคำในราชสำนักบ้างตามพระบรมราชานุญาต
ขณะก้าวเข้าสู่ตำหนักฉางหลัน แววตาของนางงดงามแต่เยียบเย็น แฝงด้วยความเด็ดเดี่ยวและเอาแต่ใจสมเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่ยืนอยู่เหนือกว่าทุกชนชั้นในแผ่นดินต้าเจา…
ห้องบรรทมตำหนักฉางหลัน
ภายใน ห้องบรรทมของจ่างกงจู่ กว้างใหญ่โอ่อ่า เพดานสูงประดับคานไม้แกะลายดอกเหมยปิดทอง ด้านบนแขวนโคมระย้าสำหรับวางตะเกียงทำจากผลึกแก้วหินภูเขาไฟที่ส่องแสงละมุนอบอุ่นไปทั่วห้อง
ตรงกลางตั้ง เตียงไม้ประดู่แดงแกะสลักรูปหงส์คู่ ม่านไหมปักดิ้นทองลายเมฆมงคลห้อยรอบสี่ด้าน ทิ้งระบายพลิ้วละมุนยามต้องแสงโคม เบาะและผ้าห่มยัดด้วยขนหงส์หิมะจากแดนเหนือ ให้ความนุ่มอุ่นอย่างยากหาสิ่งใดเปรียบ
โต๊ะเครื่องแป้ง วางใกล้หน้าต่างบานกว้าง ทำด้วยไม้หอมฝังไข่มุกมังกรสีขาว มีทั้งกล่องหยกใส่เครื่องประดับ ปิ่นทองประดับอัญมณีจากแดนไกล หีบเล็กบรรจุไข่มุกน้ำเค็ม และขวดแก้วใส่น้ำหอมดอกกล้วยไม้ป่ากับดอกกุหลาบที่นำเข้าจากตะวันตก
มุมห้องอีกด้านตั้ง โต๊ะเครื่องหอม บนถาดทองเหลืองวางเตาเผากำยานทรงโบราณ กลิ่นหอมจากไม้กฤษณาและดอกหอมหมื่นลี้แผ่วอบอวลไปทั่วห้อง ดังคลอเคล้าไปกับเสียงน้ำหยดจาก อ่างหยกขาวแกะสลักรูปดอกบัว ซึ่งวางไว้ให้เพิ่มความชุ่มชื้นและความสงบ
พรมทอด้วยไหมเนื้อละเอียดปูพื้นทั้งห้อง ลวดลายเมฆสีครามสลับทองทอดยาวไปจนถึงชานระเบียง ภายนอกเป็นสวนดอกเหมยและต้นหลิวเรียงราย ราตรีนี้เมื่อเปิดหน้าต่าง ม่านบางก็ไหวระริกไปตามสายลมเย็นชื้นของฤดู
นางกำนัลสิบกว่าคนผลัดกันยืนรอเงียบกริบอยู่ตามมุมห้อง พร้อมคอยรับบัญชา ส่วนขันทีสองคนประจำหน้าประตู มิกล้าส่งเสียงแม้เพียงกระซิบ
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ขจัดคราบเหงื่อที่เดินทางไกลหลายสิบลี้จากอารามถานไถ่แล้ว หลิ่วถิงเยว่ ก็ก้าวขึ้นทอดกายลงบนเตียง ความอ่อนล้าแผ่วคล้ายเลือนหายไปกับกลิ่นกำยานอุ่นหวาน แต่ในดวงตาคมคู่นั้นยังฉายประกายเคร่งขรึม
ไม่นาน ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบงัน แสงจันทร์สาดต้องหลังคาแกะสลัก กลิ่นดอกกุหลาบจากสวนด้านนอกพัดแผ่วลอดเข้ามาในห้องนอนกว้าง ม่านไหมสีม่วงอ่อนพลิ้วระริกตามแรงลม
ถิงเยว่ ที่เอนกายลงบนเตียง แล้วดึงผ้าแพรสะอาดหอมสมุนไพรดับกลิ่นควันกำยานที่จุดไว้ตั้งแต่หัวค่ำ นางพยายามบอกตนเองว่าพิธีที่อารามวันวานคงช่วยบรรเทาฝันร้ายเพราะคืนที่ผ่านมานางไม่ได้ฝันอันใดหลับสบายยิ่ง แต่หัวใจกลับยังหนักอึ้ง
แต่ด้วยวัยกำลังกินกำลังนอนของนางบวกกับอ่อนล้าจากการเดินทางไม่นาน ถิงเยว่ก็ง่วงงุนเพียงชั่วครู่หนังตาก็ปิดลง ความมืดก็หวนกลับมา ทว่าไม่นาน...
ภาพฝัน ร้ายที่นางหวาดกลัว กลับปรากฏ ในห้วงมโน และครั้งนี้มันแจ่มชัดยิ่งกว่าทุกคืนที่ผ่านมา!
ถิงเยว่เห็นตนเองในวัยราวสิบเก้าถึงยี่สิบปี นางนั่งอยู่บนเตียงผ้าไหมสีชาด มือเรียวประคองครรภ์ที่ใหญ่โต นางก็พลันลมหายใจสะดุด ร่างกายสั่นสะท้านด้วยรู้ล่วงหน้าว่าอีกไม่นานเหตุการณ์อันน่าสะพรึงก็จะเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง
และแค่อึดใจเดียวบานประตูไม้ถูกผลักอย่างแรงจนมันเปิดผางออกจนมันกระแทกผนังเสียงดังปังใหญ่ ร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีหมึกราวปีศาจรัตติกาลก็ย่างสามขุมเข้ามา เงามืดบดบังใบหน้า มีเพียงแววตาเย็นเยียบที่จ้องตรงมาอย่างมุ่งร้ายเท่านั้นที่ถิงเยว่แลเห็น
“อวิ๋นโม่…” แล้วนามอันคุ้นเคยก็หลุดออกจากริมฝีปากนางโดยไม่รู้ตัว ถึงเยว่รู้สึกหวาดกลัวดวงตาเย็นชาไร้ความอาวรณ์คู่นั้นอย่างสุดจิตสุดใจ ดาบเย็นเฉียบสะท้อนแสงจันทร์พุ่งเข้าหา
“ไม่…อย่า…”
คมดาบกรีดลงตรงหน้าท้อง ความเจ็บปวดแล่นพล่านทั่วร่าง เจ็บปานถูกผ่าท้องควักเอาเด็กออกไปจริง ๆ ถิงเยว่กรีดร้องสุดเสียง ความเจ็บเหมือนถูกฉีกขาดเป็นชิ้น ๆ หัวใจแทบสลายเมื่อรู้สึกถึง ชีวิตเล็ก ๆ ในครรภ์ที่ถูกพรากไป
เลือดอุ่นทะลักนองทั่วกาย กลิ่นคาวคลุ้งลำคอ นางหอบหายใจแรง มือกดหน้าท้องไว้ทั้งน้ำตา ราวกับจะยื้อไม่ให้สิ่งล้ำค่าหลุดหายไป บัดนี้นางกลับแยกไม่ออกแล้วจริงๆ ว่าที่แท้เป็นตนเองหรือเป็นอีกคนในฝันกันแน่ที่กำลังเผชิญเหตุการณ์ร้ายอยู่
นางยากจะแยกแยะได้แล้วจริงๆ ...
ยังไม่ทันจะหายจากความเจ็บปวด แทบตายแต่ไม่ตาย พลันภาพก็เปลี่ยนไปเป็นเหตุการณ์ บ้านเมืองตกอยู่ในกองเพลิง ซากศพมากมาย เสียงกลองรบดังก้อง ภาพเพลิงสงครามซ้อนทับ พี่ชาย หลิ่วเยี่ยนเฟย ถูกฟันคอสิ้นชีวิต มารดา หลีไทเฮา ร่วงลงกับพื้น เลือดแดงนองไปทั่วลาน
ดาบเล่มนั้นหันมาที่นางอีกครั้ง คราวนี้ถิงเยว่นั้นใจมันไม่ได้หันเข้าหานางอีกคนในความฝันแต่เป็นนางจริงๆ ดวงตาอาฆาตคู่นั้นราวกับเขาพร้อมจะฟาดฟันแยกร่างของนางให้ละเอียดเป็นหมื่นชิ้น!
“อวิ๋นโม่…” เสียงของนางสั่นพร่าจนเอ่ยออกไปไม่พ้นลำคอ
เฮือก!!!
ถิงเยว่าสะดุ้งตื่น เหงื่อเย็นท่วมร่าง หอบหายใจแรงจนหน้าอกสะท้อนขึ้นลงถี่ระรัว ดวงตามีหยาดน้ำตาไหลริน แต่สิ่งที่ทำให้นางสั่นสะท้านที่สุดคือ...
...ความเจ็บหน่วงตรงหน้าท้องยังคงชัดเจนราวกับมีบาดแผลจริงเกิดขึ้น!
นางยกมือที่ยังคงสั่นระริกขึ้น ลูบหน้าท้องใต้ผ้าแพรสีม่วงอ่อน ความรู้สึกปวดแปลบราวกับหน้าท้องถูกกรีดยังคงหลงเหลือ น้ำตาไหลพรั่งพรู มันเหมือนจริงเกินไป…เหมือนนางถูกผ่าท้องจริง ๆ!
หัวใจของถิงเยว่เต้นรัว ความกลัวบีบรัดจนแทบหายใจไม่ออก ภายในอกเหมือนถูกควักเอาความหวังไป เหลือเพียงความว่างเปล่า
หรือว่านี่มิใช่เพียงฝันร้ายธรรมดา หากแต่เป็นคำเตือนจากโชคชะตา...
รุ่งเช้าวันถัดมา แสงแดดลอดผ่านม่านผืนบาง เข้ามาในห้องนอนของ ตำหนักฉางหลัน กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกเหมยจากสวนด้านนอกพัดมากับลมยามเช้า แต่บรรยากาศภายในกลับเงียบตึงเครียด
บนเตียงผ้าแพรสีอ่อน หลิ่วถิงเยว่ นั่งหน้าซีดเผือด ริมฝีปากแห้งผาก ใต้ตาเป็นเงาคล้ำ นางยกมือกุมหน้าท้องที่ยังเจ็บหน่วง ๆ แม้ตื่นมาหลายชั่วยามแล้ว แต่ความรู้สึกเหมือนถูกผ่าท้องยังหลอกหลอนอยู่ไม่หาย
จนอาหลิวกับอากุ่ย นางกำนัลและขันทีคนสนิทร้อนใจนำเรื่องไปรายงาน เฉียวหมัวมัว นางกำนัลอาวุโสที่ดูแลตำหนักฉางหลันนี้ทันที เฉียวหมัวมัวนางกำนัลวัยสามสิบเจ็ดปีซึ่งติดตาม หลีไทเฮามาตั้งแต่นางยังเป็นเพียงคุณหนูใหญ่สกุลหลี ย่อมมิอาจนิ่งเฉยนำเรื่องตรงไปตำหนัก ฉางชิ่งของหลีไทเฮาทันใด
พอหลีไทเฮาทรงทราบก็รีบร้อนเสด็จมาตำหนักฉางหลันในเวลาไม่ถึงชั่วยาม!
เสียงเปิดประตูดังขึ้น หลีไทเฮา เสด็จเข้ามาพร้อมนางกำนัลและขันทีคนสนิท ใบหน้างามสง่าเฉกเช่นทุกวัน แต่ดวงตาคู่งามบัดนี้ เต็มไปด้วยความกังวล
“อาเยว่…ลูกแม่” พระสุรเสียงแผ่วเบาเมื่อทรงนั่งลงข้างเตียง ดึงมือเรียวของบุตรสาวไปกุมแน่น แล้วเอ่ยถาม
“เฉียวหมัวมัวส่งขันทีไปแจ้งกับแม่ว่าเจ้าฝันร้ายอีกแล้วหรือ?”
ถิงเยว่ฝืนยิ้มแต่ย่ำแย่ยิ่ง ก่อนที่นางจะกอดมารดาแล้วพึมพำเสียงแหบพร่า “เพคะเสด็จแม่ ฝันร้ายนั่น...มันกลับมาอีกแล้ว”
หลีไทเฮากัดริมฝีปากแน่น ความกังวลฉายชัด พระนางรู้ดีว่าหากยังพาลูกสาวไปอารามบ่อยครั้ง จะไม่เพียงทำให้ผู้คนสงสัยเรื่องเคราะห์กรรมของฉางหลันจ่างกงจู่ แต่ยังอาจถูกนินทาว่าองค์หญิงมีดวงอัปมงคล ยิ่งนานวันยิ่งไม่เป็นผลดีกับชื่อเสียงของบุตรสาวตนเองแน่
“พิธีสะเดาะเคราะห์ก็ทำแล้ว หยกชิ้นนั้นก็คืนไปแล้ว เช่นนั้นคงมีเพียงเชิญนักพรตมาทำพิธีขับไล่ภายในตำหนักของเจ้าแล้ว”
พระสุรเสียงสั่นเล็กน้อย เพราะสีหน้าของบุตรสาวที่นางถนอมมาสิบหกปีไม่ดี จึงคิดว่าอย่างไรลองเชิญนักพรตมาขับไล่เคราะห์ร้ายในตำหนักดูสักครั้งคงมิเป็นอันใด
“แต่ไทเฮาเพคะ เรื่องนี้คงต้องทราบทูลฝ่าบาทก่อน” หลิวหมัวมัวนางกำนัลคนสนิทรีบเอ่ยเตือน
“เช่นนั้นไอเจียจะไปพบฝ่าบาท พวกเจ้าดูแลฉางหลันจ่างกงจู่ให้ดี”
“แต่จ่างกงจูยังมิได้นอนเลยเพคะ สมควรต้องเชิญหมอหลวงหรือไม่” เฉียวหมัวมัวห่วงใยนายน้อยที่นางเลี้ยงมากับมือแต่แรกคลอดเอ่ยขึ้นบ้าง หลีไทเฮาคิดอยู่ครู่ก่อนเรียกขันทีออกคำสั่ง
“ไปเชิญหมอหลวงมาทันที!”
ไม่นาน หมอหลวงเถาเหยียน สตรีสูงวัยในชุดแพรสีเขียวเข้ามา ค้อมตัวถวายคำนับ แล้วนั่งลงจับชีพจรของจ่างกงจู่ เขาใช้เวลานานกว่าปกติ ใบหน้าเคร่งเครียดไม่กล่าวสิ่งใด กระทั่งถอนหายใจเบา ๆ
“เส้นชีพจรอ่อนแอ หัวใจถูกกดทับด้วยความหวาดกลัว จ่างกงจู่…เหมือนถูกความฝันร้ายกัดกินวิญญาณจนบั่นทอนกำลังเพคะ”
หลีไทเฮาเร่งถาม “เจ้ามีวิธีรักษาหรือไม่”
หมอหลวงเถาพยักหน้า “หม่อมฉันจะจ่ายยาบำรุงหัวใจและขับลมปราณ เพื่อไม่ให้พระกายทรุดหนักไปกว่านี้ แต่…สิ่งสำคัญอยู่ที่จิตใจ หากมิได้ขจัดความกลัวเสีย ต่อให้ยาดีเพียงใดก็มิอาจแก้ได้”
ถิงเยว่ฟังแล้วแดงยิ่งแดงก่ำ นางพบเจอกับภัยร้ายอันใดกันแน่ จ่างกงจู่ตัวน้อยไม่รู้จะบอกใครอย่างไร ว่าความเจ็บในฝันนั้นชัดเจนเสมือนจริงเพียงใด หากพูดปากไป นางอาจถูกมองว่าเป็นคนเสียสติ
หลีไทเฮากุมมือลูกสาวแน่นขึ้น พระเนตรทอแววกังวลปนเจ็บปวด “เจ้าดื่มยาแล้วนอนพักเสียนะอาเยว่ ประเดี๋ยวแม่จะไปพบฮ่องเต้พี่ชายของเจ้าหารือเรื่องเชิญนักพรตมาทำพิธีปัดรังควาน”
“เพคะ”
พอถิงเยว่รับปากอย่างว่าง่ายหลีไทเฮาจึงรีบร้อนจากไปพบ ไท่หยางฮ่องเต่ตำหนักโซ่วเต๋อทันที
ตอนที่ ๒๔ || ตามหารอยสักหมาป่าคำรามดังนั้นพอถึงวันถัดมา หลิ่วถิงเยว่ตื่นขึ้นด้วยดวงตาที่ใต้ดวงตาดำคล้ำ แต่ความมุ่งมั่นกลับหนักแน่นยิ่งกว่าเดิมหลิ่วถิงเยว่นำภาพวาดที่ตนเขียนไว้ติดตัวออกจากตำหนักฉางหลันหลังนางกินมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว ขันทีนางกำนัลพากันขบวนติดตาม นางกำนัลประจำหอตำราหลวงต่างรีบออกมาก้มศีรษะต้อนรับด้วยความเคารพ หลังอากุ่ยไปแจ้งว่าฉางหลันจ่างกงจู่ต้องการศึกษาตำราฉางหลันจ่างกงจู่ ผู้สูงศักดิ์เสด็จมาอ่านตำรา ใครเล่าจะกลัวขวางทาง ไม่ว่านางจะไปแห่งหนใด ขุนนางทั้งหลายล้วนต้องถอยหลีกทางร่างอรชรก้าวเข้าสู่หอตำราหลวงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แสงอาทิตย์สาดลอดหน้าต่างสูงสะท้อนคัมภีร์และตำราที่เรียงรายสุดสายตา เสียงฝีเท้าของถิงเยว่ดังก้องไปตามทางเดินที่ถูกขันทีและนางกำนัลผู้ดูแลหอตำราขัดถูจนสะอาดเงาวับตลอดวันนั้น นางกางภาพหมาป่าดำเทียบกับตำราไปไม่น้อย มือเล็กหยิบเล่มแล้วเล่มเล่า ไล่ค้นทั้งหมวดสัตว์ป่าหวงห้าม ตำราพิธีบูชา ไปจนถึงบันทึกตำนานโบราณ ทว่าทุกเล่มล้วนเงียบงันไร้คำตอบวันเดียวไม่พอ…สองวันก็ยังว่างเปล่าจนกระทั่งครบเจ็ดวันเต็ม นางยังวนเวียนอยู่ที่หอตำราหลวง ใบหน้างามมีแต่ซีดขาวเพ
ตอนที่ ๒๓ ||ใต้หล้าล้วนผิดต่อข้า!เสียงฆ้องสามครั้งดังสะท้อนทั่วตำหนักจิ้งหยางหลังไท่หยางฮ่องเต้มีดำรัสให้เลิกงานเลี้ยงเพียงเท่านี้ แขกเหรื่อแตกตื่นลุกขึ้นก้มศีรษะคำนับตามรับสั่ง ไท่หยางฮ่องเต้เสด็จออกจากท้องพระโรงพร้อมหลีไทเฮาเหลือทิ้งไว้เบื้องหลังเพียงเสียงซุบซิบอื้ออึงของเหล่าบัณฑิตและขุนนางที่ยังไม่ทันดื่มกินให้สำราญใจ งานเลี้ยงที่ควรเป็นเกียรติสูงสุดกลับถูกยุติกลางคันด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝันในความวุ่นวายนั้น ซ่งอวิ๋นโม่ ยืนนิ่งราวถูกตอกตรึงไว้กับพื้น ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ดวงตาที่เคยสว่างวาบไปด้วยความหลงใหล กลับมืดครึ้มลงอย่างน่ากลัวเพียงเพราะหญิงงาม เขากลับหลงลืมภารกิจสำคัญไปจนสิ้น!ซ่งอวิ๋นโม่กำหมัดแน่น เล็บจิกลงบนฝ่ามือจนเลือดซึม ร่างสั่นสะท้านด้วยความโกรธแค้นต่อตนเองที่หลงลืมเพลิงแค้นยี่สิบปี เพียงสบตากับซือหม่าอวี้ หลงลืมเป้าหมายที่จะโดดเด่นต่อไท่หยางฮ่องเต้ และทำตนให้สะดุดตาฉางหลันจ่างกงจู่อวิ๋นโม่เอ๋ย อวิ๋นโม่ เจ้าช่างโง่งมสิ้นดี! เจ้ามาเพื่อแก้แค้น เพื่อชะตาตระกูล ที่สูญสิ้นเพราะพวกคนแซ่เหลิ่วมิใช่มาเพื่อจมอยู่ในห้วงรักแรกพบที่ไร้ค่า!ใบหน้าที่เคยสงบนิ่งกลับบิดเ
ทันทีที่เสียงขันทีใหญ่เอ่ยขานจบ บุตรสาวคนรองแห่งจวนติ้งถิงโหว ซือหม่าอวี้ ก้าวออกจากแถวด้วยกิริยาสงบ ดวงตาคมกริบสะท้อนประกายมั่นใจ งามหยดย้อยแต่แฝงกลิ่นอายดุดันของนักรบหญิงถัดมา ซือหม่าหยวน พี่ชายคนโต ก้าวออกเคียงข้างใน อาภรณ์ขุนนางฝ่ายบู๊สีชาดขลิบทอง สง่างามราวเพลิงไฟ มิใช่ชุดออกศึกเช่นยามอยู่ที่ค่ายทหาร ท่วงท่ามั่นคงดุดันสมฐานะแม่ทัพผู้ปกป้องบูรพาสองพี่น้องหยุดยืนกลางท้องพระโรง ค้อมกายคำนับบัลลังก์มังกร ก่อนที่ขันทีจะส่งกระบี่ยาวคู่หนึ่งเข้ามาในมือเสียงดนตรีพลันเปลี่ยนเป็นจังหวะหนักแน่น กลองใหญ่กระหึ่มก้อง ปี่และขลุ่ยสอดประสานดุจเสียงลมกรรโชกซือหม่าอวี้สะบัดปลายแขนยกกระบี่ขึ้น ฟาดหมุนวาดเป็นวงกลมงดงาม ก่อนพุ่งก้าวไปข้างหน้าเหมือนพยัคฆ์สาวตะปบเหยื่อ กระบี่ในมือนางเปล่งแสงสะท้อนกับแสงโคมไฟระยิบระยับราวอัสนีแลบซือหม่าหยวนโต้ตอบด้วยกระบี่ที่มั่นคงและทรงพลัง ทุกกระบวนท่าผสานรับส่งกับน้องสาวอย่างคล่องแคล่ว หนักแน่นเสมือนขุนเขา แต่ก็พลิ้วไหวราวสายน้ำเสียงเหล็กกระบี่กระทบกันดัง เคร้ง! ก้องกังวานสะท้อนทั่วท้องพระโรง ทุกสายตาจับจ้องร่างทั้งสองที่เคลื่อนไหวประสานกันไม่ต่างจากบทกวีแห่งสงคร
ราตรีหนึ่งในราชสำนักต้าเจาในปลายฤดูร้อนกลางเดือนห้าเจิดจ้าด้วยแสงประทีปนับหมื่นดวงคืนนี้ตำหนักจิ้งหยางอันโอ่อ่าถูกเปิดกว้าง ตกแต่งประดับประดาด้วยผ้าแพรโปร่งหลากสีพาดลดหลั่นดั่งม่านเมฆ ลวดลายมังกรกับหงส์ทองปักด้วยดิ้นเงินดิ้นทองสะท้อนกับแสงโคมไฟจนระยิบระยับราวดวงดาวตกลงมาประดับพื้นดินหอสูงทั้งสี่มุมตำหนักแขวนโคมไฟลวดลายงดงามแปลกตา ริมทางเดินปูพรมผ้าไหมสีชาดทอดยาวตั้งแต่หน้าตำหนักขึ้นสู่บันไดท้องพระโรง เสียงดนตรีพิณ คงโหว ขลุ่ยบรรเลงกล่อมด้วยท่วงทำนองนุ่มนวลต้อนรับแขกเหรื่อ ขับเน้นให้ค่ำคืนนี้หรูหราเกินเปรียบบนโต๊ะยาวเรียงรายทั่วห้องโถง เครื่องคาวและหวานถูกจัดวางอย่างประณีต อาหารเลิศรสจากทั่วทุกหัวเมืองส่งมารวม ณ ที่นี้ ทั้งปลากรายนึ่งซีอิ๊ว ปูทะเลตัวใหญ่แกะเปลือกวางบนจานเงินเนื้อกวางตุ๋นยาจีนหอมฉุย ขนมหวานงดงามอย่างดอกเหมยน้ำผึ้ง ผลไม้หายากจากแดนไกล สายน้ำชาและสุราบ่มนานถูกทยอยรินไม่ให้ขาด นางกำนัลและขันทีเดินกันขวักไขว่ ขับเน้นความเอิกเกริกสมกับเป็นงานเลี้ยงใหญ่ที่ราชสำนักจัดเพื่อต้อนรับบัณฑิตผู้สอบผ่านของปีไท่หยางที่ 7 นี้อย่างใหญ่โอฬารบัณฑิตหนุ่มจากหัวเมืองต่าง ๆ สวมชุดยาวสีน้ำ
ตอนที่ ๒๐ || ห้วงฝันสีเลือดสายหมอกหนาหนักโอบล้อมครอบคลุมทั่วทั้งหลังเขา ความเงียบวังเวงจนแม้เสียงลมหายใจของตนเอง หลิ่วถิงเยว่ยังได้ยินดังสะท้อนในหู ร่างเล็กก้าวไปเรื่อย ๆ ทั้งที่ใจรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง คล้ายถูกใครบางคนดึงรั้งให้เดินสืบเท้าต่อไปโดยไม่อาจฝืนฉัวะ!เสียงคมดาบฟาดเฉือนผ่านอากาศ ฉับพลันก็ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนสะท้านวิญญาณ เลือดคาวคลุ้งลอยมากับลมเย็นยะเยือกจนขนกายลุกชัน หญิงสาวใจสั่นระรัว อยากหันหลังหนีแต่ร่างกลับแข็งทื่อ เท้าทั้งสองกลับก้าวต่อไปอย่างดื้อรั้น“ไม่นะ!…เจ้าเท้าไม่รักดีห้ามพาข้าไปเห็นเรื่องไม่ควรเห็นสิ!…” นางพึมพำ น้ำเสียงสั่นเครือยิ่งก้าวลึกเข้าไปในหมอก เสียงฟาดฟันโลหะปะทะโลหะก็ถี่กระชั้นขึ้น ทั้งเสียงกรีดร้องคร่ำครวญของมนุษย์ที่ถูกเชือดขาดสะบั้นก้องกังวานทั่วผืนเขา จนหลิ่วถิงเยว่เหมือนจะหูอื้อไปชั่วขณะเมื่อม่านหมอกขาวสลายคลายออก ภาพตรงหน้ากลับทำให้หัวใจนางแทบหยุดเต้นกลางลานดินกว้างเต็มไปด้วย ซากศพ นับร้อย เลือดแดงสดไหลรวมเป็นธารนองพื้น กลิ่นคาวคลุ้งคละคลุ้งสะอิดสะเอียนท่ามกลางกองซากน่าสะพรึงนั้น เด็กชายผู้หนึ่งยังคงยืนหยัด ร่างเล็กวัยเพียงสิบถึงสิบเอ
ตอนที่ ๑๙ || หยกหวนคืนอีกครั้ง!หลังจากถูกอาหลิวกับอากุ่ยพากลับมายังตำหนักฉางหลัน หลิ่วถิงเยว่ก็เอาแต่นั่งนิ่งอยู่ในห้องบรรทม น้ำตาไหลเปียกแก้ม ภาพพี่ชายตะคอกใส่พร้อมทุบหยกและเผาสมุดบันทึกต่อหน้าต่อตายังคงวนเวียนไม่หาย ทุกครั้งที่นึกถึง ใจดวงน้อยก็ปวดร้าวราวถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ“จ่างกงจู่เพคะ ฝ่าบาทคงมิได้ตั้งทัยหรอกเพค” อาหลิวเอ่ยปลอบใจ เพราะทราบดีผู้เป็นนายคงสะเทือนใจไม่น้อย“ไม่ตั้งพระทัยหรือ? เจ้าหรอกใครอยู่กันเล่า อาหลิว พวกเจ้าออกไปเถอะ เปิ่นจ่างกงจู่อยากอยู่ผู้เดียว” กล่าวด้วยสีหน้าเย้ยหยัน แต่มิอาจทราบได้ว่านางเย้ยหยันผู้ใดอยู่ใดกันแน่“แต่ว่า…” อาหลิวยังห่วงนายสาว เนื่องจากฉางหลันจ่างกงจู่นั้นบอบบางราวแก้ว ไท่หยางฮ่องเต้คราวนี้รุนแรงไปแล้ว“ออกไปเถอะ!” หลิ่วถิงเยว่จำต้องทำเสียงเคร่ง เพราะอาหลิวกับอากุ่ยมักเป็นเช่นนี้ในยามที่นางกล่าววาจาดีด้วยก็ไม่ค่อยจะรับฟังชอบให้นางเอ็ดเสียงดัง แต่ในยามนี้เด็กสาวอยากอยู่ลำพังจริงๆ“พี่เยี่ยน…เหตุใดจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้” นางพึมพำแผ่วเบา เสียงสะอื้นติดคอ เติบโตมาด้วยกัน หลิ่วเยี่ยนเฟยไม่เคยขาดเหตุผลเช่นนี้ หรือเพราะเมิ่งหรูจื่อ?หลิ่วถิงเยว่สะ