ไป๋ซั่วสะบัดชายเสื้อดังพรึบ หรี่ตาลงอย่างหงุดหงิด ครั้นหันหน้ากลับมาทางสาวใช้ของโรงยาเจี้ยนคัง เขาถาม “สหายเซียวหงเย่อยู่ที่นี่ใช่หรือไม่? หากอยู่ รบกวนพวกเจ้าเข้าไปรายงานว่าข้า ไป๋ซั่วต้องการพบ”
เสี่ยวจิงกับเจียวมิ่งมองไป๋ซั่วด้วยดวงตาพร่างพราวราวดวงดาวสุกสกาวบนท้องฟ้า ช่างรูปงามหล่อเหลายิ่งนัก เหมาะแล้วที่เป็นสหายของนายท่านเซียว
ทั้งสองรีบค้อมกายคารวะก่อนเชื้อเชิญไป๋ซั่วเข้ามา
“เชิญคุณชายนั่งรอตรงนี้ก่อนเจ้าค่ะ” เสี่ยวจิงว่า
“ข้าจะไปชงชาให้เจ้าค่ะ” เจียวมิ่งเอาอกเอาใจ
ช่างแตกต่างจากการปฏิบัติกับเหวินฟางอย่างชัดเจน
บนเตียงนอนยับย่น ผ้าห่มไหลไปกองที่พื้นห้อง
หมอนที่มีเพียงหนึ่งใบกลายเป็นไร้ความหมาย หลังม่านพลิ้วไหวบนเตียงนั้น มีสองร่างเปลือยเปล่านอนนิ่ง กึ่งกอดกึ่งเกยเสมือนไม่เคยผลักไส
“ไปซะ! อยากรักกับใครก็รักไป ข้าไม่รักท่านแล้ว”
หญิงสาวเอ่ยปากไล่ทันทีที่ลมหายใจหอบกระชั้นกลับมาเป็นปกติ นางเพิ่งรู้สึกตัว ว่าตนเองกำลังทำไม่ถูกต้อง ผู้อื่นเป็นคู่หมาย ส่วนนางเป็นอันใดเล่า?
“ถูกไล่ขนาดนี้ข้าไปแน่ แต่เจ้าต้องฟังข้าพูดก่อน เหวินฟางกับข้า ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน”
“อมนักบวชทั้งอารามไว้ในปากมาพูด ข้าก็ไม่เชื่อ”
ติงยวี่ถิงสะบัดหน้าหนีอย่างไม่ไยดี
ชายหนุ่มจึงมองหาเสื้อผ้าด้วยแววตาสงบสุขุม ท่าทางของเขายังคงเยือกเย็น เมื่อเห็นก็ยืนจนเต็มความสูง เผยโฉมเปล่าเปลือยอันสง่างามตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
หญิงสาวแค่นเสียงเอือมระอาแต่จังหวะที่หันหน้ามา ดวงตากลับจับจ้องมิวาง
“หน้าไม่อาย รีบใส่เสื้อผ้าแล้วออกไปเร็วๆ เลยนะ”
เขาปรายตามองอย่างดุดัน “อยากได้อีกรอบก็บอก”
นางตะเบ็ง “ใครอยากได้”
ชายหนุ่มยิ้ม “เมื่อคืนใครกันเรียกร้องไม่หยุด”
“ท่าน!” หญิงสาวลุกขึ้นนั่ง ทรวงอกสล้างกลมกลึงขยับตามแรงลมหายใจที่อัดแน่นไปด้วยโทสะ นางชี้หน้าเขา “ข้าเห็นท่านเป็นแค่ชายบำเรอหรอกนะถึงได้พลั้งปากไป”
“อ้อ...” บุรุษหัวเราะในลำคอ “เช่นนั้นหรอกหรือ?”
เขาที่คว้าเสื้อผ้าขึ้นมาและกำลังสวม กลับโยนทิ้งไป แล้วโถมกายเข้าใส่ร่างนุ่มบนเตียง คร่อมทับนางอีกครา ริมฝีปากประทับตราอย่างหนักหน่วง
“อื้อ...”
เมื่อริมฝีปากได้รับอิสระอีกครา นางจึงเสียงเบาลง “หากท่านเคืองเรื่องที่ข้าขโมยเงิน ข้าคืนให้ก็ได้”
“ไม่จำเป็น เจ้าต้องติดค้างข้าตลอดไป ยังต้องชดเชยให้ข้าชั่วชีวิต”
“ไร้ยางอายนัก ไปทำกับผู้หญิงของท่านสิ”
“ข้าไม่ทำกับผู้อื่น ทำกับเจ้าคนเดียว”
ศึกรักที่คล้ายศึกรบบนเตียงนอนเกิดขึ้นอีกรอบและอีกรอบ ตั้งแต่หัวค่ำกระทั่งฟ้าสางก็ยังไม่เลิกรา...
เจ้าคนชั่วช้า ข้ากับท่าน เราหย่ากันแล้วนะ!
หลังจากถูกผลักไสจนตกจากเตียงไม่รู้กี่รอบ เซียวหงเย่ก็พาร่างระบมของตนออกมาจากโรงยาเจี้ยนคังแต่โดยดีไป๋ซั่วที่นั่งจิบชารอเขาไม่รู้กี่กาจำต้องกลับมารอที่โรงเตี๊ยมยู๋อี้จึงเพิ่งได้พบหน้าสหายเสียที“นึกว่าตายไปแล้ว ข้ารอจนตาแข็งไปหมด”ไป๋ซั่วบ่นอย่างหงุดหงิด คืนนี้จะนอนหลับหรือไม่?เซียวหงเย่นั่งลงตรงหน้า เอ่ยเสียงชืดชา “เมื่อคืน ข้านึกว่าตาฝาดเพราะคิดถึงอดีตภรรยาเกินไป แต่อันที่จริง มีคนเข้ามาวางยาปลุกกำหนัดถึงในห้องพักของข้า และนางก็นอนรอบนเตียงข้า มิใช่ภาพลวงตา” หลังจากครุ่นคิดกอปรกับการที่เหวินฟางไประรานถึงโรงยาเจี้ยนคังแต่เช้า ย่อมคาดเดาได้ไม่ยาก เขาหรี่ตา เป็นเหวินฟางสินะ!แม้จะมีนิสัยติดเที่ยวเล่นไร้แก่นสารและเจ้าสำราญ แต่ไป๋ซั่วมิได้โง่เขลา ชายหนุ่มเริ่มกระจ่าง “แต่ว่าแม่นางเหวินผู้นั้น เจ้าไปไหนมาไหนกับนาง มิใช่ว่าจะเอามาแทนที่อดีตภรรยาหรอกหรือ?”เซียวหงเย่แค่นเสียงฮึ “ไม่มีทาง ข้าไม่ได้ชอบนาง”ไป๋ซั่วร้องอ้อ... “เป็นนางที่เป็นฝ่ายตามติดเจ้า ชอบเจ้าฝ่ายเดียวสินะ ถึงได้อาจหาญวางยาเจ้าเพื่อรวบรัด แต่กลับเป็นข้าที่เข้าหา ทำนางผิดแผนไปหมด” มิน่าเล่าถึงได้ปฏิเสธขนาดนั้น เขาถอนหายใจก
ไป๋ซั่วสะบัดชายเสื้อดังพรึบ หรี่ตาลงอย่างหงุดหงิด ครั้นหันหน้ากลับมาทางสาวใช้ของโรงยาเจี้ยนคัง เขาถาม “สหายเซียวหงเย่อยู่ที่นี่ใช่หรือไม่? หากอยู่ รบกวนพวกเจ้าเข้าไปรายงานว่าข้า ไป๋ซั่วต้องการพบ”เสี่ยวจิงกับเจียวมิ่งมองไป๋ซั่วด้วยดวงตาพร่างพราวราวดวงดาวสุกสกาวบนท้องฟ้า ช่างรูปงามหล่อเหลายิ่งนัก เหมาะแล้วที่เป็นสหายของนายท่านเซียว ทั้งสองรีบค้อมกายคารวะก่อนเชื้อเชิญไป๋ซั่วเข้ามา“เชิญคุณชายนั่งรอตรงนี้ก่อนเจ้าค่ะ” เสี่ยวจิงว่า“ข้าจะไปชงชาให้เจ้าค่ะ” เจียวมิ่งเอาอกเอาใจช่างแตกต่างจากการปฏิบัติกับเหวินฟางอย่างชัดเจนบนเตียงนอนยับย่น ผ้าห่มไหลไปกองที่พื้นห้อง หมอนที่มีเพียงหนึ่งใบกลายเป็นไร้ความหมาย หลังม่านพลิ้วไหวบนเตียงนั้น มีสองร่างเปลือยเปล่านอนนิ่ง กึ่งกอดกึ่งเกยเสมือนไม่เคยผลักไส “ไปซะ! อยากรักกับใครก็รักไป ข้าไม่รักท่านแล้ว” หญิงสาวเอ่ยปากไล่ทันทีที่ลมหายใจหอบกระชั้นกลับมาเป็นปกติ นางเพิ่งรู้สึกตัว ว่าตนเองกำลังทำไม่ถูกต้อง ผู้อื่นเป็นคู่หมาย ส่วนนางเป็นอันใดเล่า? “ถูกไล่ขนาดนี้ข้าไปแน่ แต่เจ้าต้องฟังข้าพูดก่อน เหวินฟางกับข้า ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน”“อมนักบวชทั้งอารามไว
สาวใช้ของเหวินฟางรีบดึงตัวเจ้านายของตนหลบน้ำ พวกนางจึงถอยหลังหลบน้ำได้อย่างฉิวเฉียด จังหวะนั้น บุรุษรูปงามผู้หนึ่งพลันเดินเข้ามาขวาง เขาใส่ชุดสีฟ้าคราม เป็นชุดคล้ายคลึงกับใครบางคนเมื่อคืนนี้ เหวินฟางพลันหน้าแดงก่ำ เม้มปากแน่นคนผู้นั้นคือไป๋ซั่วนั่นเองชายหนุ่มถูกสตรีถีบตกเตียงทันทีที่ตะวันแยงตา ภายใต้ความพร่าเบลอได้ยินแต่เสียงกรีดร้องอันโหยหวน และคำปฏิเสธอันบ้าคลั่งซ้ำๆ คล้ายเน้นย้ำว่า ‘ไม่จริง ไม่ใช่ ต้องไม่ใช่ ไม่มีทาง’ ครั้นได้สติขึ้นมาก็เพิ่งมีโอกาสเห็นชัดเจนว่าสาวงามในอ้อมแขนเมื่อคืนเป็นใครเขาไม่ทันตั้งตัวนางก็วิ่งหนี เขาจึงรีบแต่งตัววิ่งตาม มาจนถึงที่นี่ไป๋ซั่วมองเหวินฟางด้วยแววตาคลุมเครือก่อนหันไปทางเสี่ยวจิงกับเจียวมิ่ง “พวกเจ้าทำอะไรกัน ห้ามล่วงเกินผู้หญิงของ...” กำลังจะบอกว่าผู้หญิงของข้า แต่ทว่ายังพูดไม่ทันจบ เหวินฟางรีบผลักไหล่เขาออกห่าง ตวาดลั่น “หยุด! ไม่ต้องพูด ห้ามปากมาก” เหวินฟางรีบยกมือขึ้นกุมสาบเสื้อของตัวเองทันทีหมายหลีกหนีความจริงโดยการปกปิดริ้วรอยกลีบบุปผาที่มีเต็มลำคออย่างหงุดหงิด นางไม่มีทางยอมรับ ไม่เด็ดขาด! ต่อให้ถูกใจปานใดแต่นางไม่มีทางยอมรับความผิดพล
และคุณหนูเหวินจะเป็นใครได้ นอกจากเหวินฟาง นางตวาดลั่น “ข้าไม่เชื่อ เปิดประตูให้ข้าเข้าไปเดี๋ยวนี้นะ”“ไม่ได้เจ้าค่ะ อย่านะ ถอยไป!”นอกเรือนมีเสียงเกรี้ยวกราดเช่นนั้น ภายในเรือนยังจะมีเสียงวาบหวิวสยิวซ่านได้อย่างไรดวงตาปริ่มน้ำหวานหยดที่หยาดเยิ้มพลันเปลี่ยนไป ติงยวี่ถิงคิ้วขมวดทันใด นางยกมือดันตัวเซียวหงเย่ออกห่างแล้วผลักไสเขาจนตกเตียงดังโครม!“...!?”หน้าเรือนชั้นนอกของโรงยาเจี้ยนคังเหวินฟางยืนเชิดหน้าถมึงทึง “พี่หงเย่อยู่ข้างในสินะ ข้าจะเข้าไปหาเขา”เจียวมิ่งกับเสี่ยวจิงไม่มีทางยอม พวกนางยืนขวางพร้อมไม้กวาดและถังน้ำเตรียมสาดไล่คน “คุณหนูเหวินโปรดกลับไปเถิดเจ้าค่ะ นายท่านเซียวมิได้อยู่ที่นี่หรอกนะเจ้าคะ”“ข้าไม่เชื่อ ให้ข้าเข้าไปเดี๋ยวนี้นะ”“ไม่ได้เจ้าค่ะ”เหวินฟางโกรธจนลมแทบออกหู “นังบ่าวชั้นต่ำ หลีกไปนะ” ทั้งผลักทั้งดันแต่ไม่เป็นผล นางจึงหันไปสั่ง “พวกเจ้า จัดการพวกมัน” สาวใช้ของเหวินฟางสองคนจึงกรูเข้าไป แต่พวกนางสู้แรงของเสี่ยวจิงกับเจียวมิ่งไม่ได้ ยื้อกันไม่กี่กระบวนท่า พริบตาพลันถูกตบและถูกถีบจนกลิ้งกระเด็นไปคนละทิศละทาง ปากแตกใบหน้าบวมเป่ง“พวกท่านห้ามก้าวเข้ามาแม้แต่ก้าวเ
อาจเป็นเพราะสัมผัสลึกซึ้งตรึงใจอันวาบหวาม ได้มอบความรู้สึกหวานชื่นไปทั่วทั้งโพรงใจพอฟ้าสว่าง ชายหญิงที่ล่วงพ้นราตรีวสันต์ด้วยกัน คลอเคลียชิดใกล้เนิ่นนานจึงนอนเอ้อระเหยไม่ยอมลุกขึ้น พวกเขานอนคุยกระหนุงกระหนิง“เมื่อคืนท่านเข้ามาได้อย่างไรน่ะ” ติงยวี่ถิงถามอย่างสงสัย ต่อให้เซียวหงเย่ปีนกำแพงเรือนเข้ามาได้ แต่คงไม่แคล้วเจอเข้ากับบ่าวชายที่ยืนเฝ้าตามทางเดินนี่นา“ข้าไม่แน่ใจเช่นกัน ตอนนั้นหูตาพร่ามัวไปหมด แต่ก็พอจำได้เลือนราง หลังจากปีนเข้ากำแพงมาได้สำเร็จ บ่าวชายของเจ้าเงื้อมมีดพร้าในมือก็จริงแต่พอเห็นว่าเป็นข้า ต่างก็เก็บมีดค้อมกายผายมือเชิญให้เดินเข้ามาทางนี้”“...”ย่อมเป็นคำสั่งที่ลอบบอกกล่าวเอาไว้ของสาวใช้ตัวดีทั้งสองเป็นแน่ เสี่ยวจิง เจียวมิ่ง พวกเจ้านี่นะ เดี๋ยวเถอะ!ติงยวี่ถิงนึกถึงคนสนิทอย่างขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน กระนั้นกลับไม่โกรธเคืองอันใด เพียงคาดโทษเอาไว้ก่อน ตอนกินข้าวจะลดกับข้าวสองอย่างเลยคอยดู ชอบสู่รู้นัก!หญิงสาวหันหน้ามาถาม “ในเมื่อมีบ่าวชายเชื้อเชิญอย่างเอิกเกริกขนาดนั้น ท่านจะปีนหน้าต่างเพื่ออันใด ไฉนไม่เข้าทางประตูดีๆ”“ข้าอุตส่าห์ปีนกำแพงแล้วก็ต้องปีนหน้าต
โรงเตี๊ยมยู๋อี้ราตรีวสันต์นี้ยังคงยาวนานสำหรับชายหญิงอีกคู่หนึ่ง ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยาปลุกเร้ายังไม่หมดไปหรืออารมณ์กำหนัดส่วนตัวไม่สิ้นง่ายๆ กันแน่ ไป๋ซั่วลูบไล้เคล้นคลึงเนื้อตัวของหญิงสาวใต้ร่างอย่างต้องการกลืนกินตามอารมณ์ปรารถนาแห่งบุรุษเพศเพราะแน่ใจแล้วว่าเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นมิใช่ความฝัน สตรีใต้ร่างหาใช่เพียงมายาหรือภาพลวงตาไม่ แม้เขาไม่รู้ถึงที่มาที่ไปหรือเหตุผลกลใด ไฉนบนเตียงถึงมีสตรีนอนทอดกายระทดระทวยคล้ายรอคอยอยู่เช่นนั้น แต่ในเมื่อเขาล้มตัวลงนอนและบังเอิญทาบทับนางแล้ว รับรู้กลิ่นอายจากกายสาวแล้ว ธรรมชาติของคนล้วนสรรสร้างและดำเนินไปตามทำนองคลองธรรมเขามิใช่นักบวชที่ละทิ้งซึ่งกิเลสตัณหา ยิ่งมินำพาความเป็นสุภาพชนอันใดทั้งนั้น คำว่าวิญญูชนยิ่งห่างไกล ศีลธรรมจรรยาที่เพียรระลึกไว้ยังมีนรกในใจกางกั้น ในเมื่อเนื้อเข้าปากแล้วเช่นนี้มีหรือเสือร้ายจะไม่ขย้ำให้หนำใจ เสร็จกิจรอบที่สิบก่อนค่อยถามความเอาก็ย่อมได้“อ่า...สาวน้อย ผิวเจ้าหอมละมุนนุ่มลิ้นเหลือเกิน ข้าขอทำอีกได้หรือไม่? เนื้อตัวเจ้าช่างหวานนัก”แม้ผ่านมรสุมคลื่นลมอันหนักหน่วงไปแล้ว หากแต่รสสัมผัสแห่งสวาทเร่าร้อนม