อาจเป็นเพราะสัมผัสลึกซึ้งตรึงใจอันวาบหวาม ได้มอบความรู้สึกหวานชื่นไปทั่วทั้งโพรงใจ
พอฟ้าสว่าง ชายหญิงที่ล่วงพ้นราตรีวสันต์ด้วยกัน คลอเคลียชิดใกล้เนิ่นนานจึงนอนเอ้อระเหยไม่ยอมลุกขึ้น พวกเขานอนคุยกระหนุงกระหนิง
“เมื่อคืนท่านเข้ามาได้อย่างไรน่ะ” ติงยวี่ถิงถามอย่างสงสัย ต่อให้เซียวหงเย่ปีนกำแพงเรือนเข้ามาได้ แต่คงไม่แคล้วเจอเข้ากับบ่าวชายที่ยืนเฝ้าตามทางเดินนี่นา
“ข้าไม่แน่ใจเช่นกัน ตอนนั้นหูตาพร่ามัวไปหมด แต่ก็พอจำได้เลือนราง หลังจากปีนเข้ากำแพงมาได้สำเร็จ บ่าวชายของเจ้าเงื้อมมีดพร้าในมือก็จริงแต่พอเห็นว่าเป็นข้า ต่างก็เก็บมีดค้อมกายผายมือเชิญให้เดินเข้ามาทางนี้”
“...”
ย่อมเป็นคำสั่งที่ลอบบอกกล่าวเอาไว้ของสาวใช้ตัวดีทั้งสองเป็นแน่ เสี่ยวจิง เจียวมิ่ง พวกเจ้านี่นะ เดี๋ยวเถอะ!
ติงยวี่ถิงนึกถึงคนสนิทอย่างขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน กระนั้นกลับไม่โกรธเคืองอันใด เพียงคาดโทษเอาไว้ก่อน ตอนกินข้าวจะลดกับข้าวสองอย่างเลยคอยดู ชอบสู่รู้นัก!
หญิงสาวหันหน้ามาถาม “ในเมื่อมีบ่าวชายเชื้อเชิญอย่างเอิกเกริกขนาดนั้น ท่านจะปีนหน้าต่างเพื่ออันใด ไฉนไม่เข้าทางประตูดีๆ”
“ข้าอุตส่าห์ปีนกำแพงแล้วก็ต้องปีนหน้าต่างด้วยสิ ถึงจะครบตามวิถีโจรราคะย่องมาเด็ดบุปผา”
“...” ตรรกะอันใด?
ติงยวี่ถิงครุ่นคิดอย่างนึกขันมิได้จริงจัง จังหวะนั้น ชายหนุ่มที่นอนชิดแนบข้างพลันพลิกกายขึ้นคร่อม
“อ๊ะ!” ติงยวี่ถิงเบิกตาฉ่ำน้ำมองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังเคลื่อนลงมา พาริมฝีปากสีแดงจัดซุกไซ้จุมพิตไปทั่วพวงแก้มและลำคอระหง “อื้อ...หงเย่! อีกแล้วเหรอ?”
“อืม...” เซียวหงเย่ตอบคำเสียงทุ้มพร่า “สามีภรรยาเพิ่งมีโอกาสพบหน้า ย่อมต้องมีช่วงเวลาข้าวใหม่ปลามัน ข้ารู้ เจ้าเองก็คิดเช่นนั้น”
พูดเองเออเองเก่ง สรุปได้เข้าข้างตัวเองมาก ติงยวี่ถิงหรี่ตา เอื้อมมือตีบ่ากว้างหนึ่งที “พอได้แล้ว ทำกันทั้งคืนแล้วนะ”
“ไม่เอา ไม่พอ”
ข้าอยากทำกับเจ้าตลอดไป...
“อื้อ...”
ผ้าม่านโปร่งบางที่คลี่คลุมเตียงทั้งคืนผืนเดิมนั้น พลันสะบิดพลิ้วไหวตามแรงสะเทือนยามเตียงนอนเคลื่อนเป็นจังหวะรัญจวน
ตัวตนร้อนผ่าว ชายหนุ่มหญิงสาวเร่งสอดประสาน ผสานกายแนบกาย โยกย้ายสะโพกท้าทายแสงตะวัน
จังหวะหฤหรรษ์กำลังไต่บันไดสวรรค์แตะเส้นสุขสม เสียงหนึ่งพลันดังและลอยแว่วเข้ามา
“คุณหนูเหวินโปรดกลับไปเถิดเจ้าค่ะ นายท่านเซียวมิได้อยู่ที่นี่หรอกนะเจ้าคะ”
“...!?”
ชายหญิงบนเตียงชะงัก มองหน้ากันและกันนิ่งงัน
โรงยาเจี้ยนคังมิได้ใหญ่โต ประตูร้านยังเปิดติดถนน สุ้มเสียงที่คุยกันอย่างดังเกินปกติ ย่อมเล็ดลอดเข้ามาถึงในเรือนที่อยู่ลึกจากหน้าร้านอันกะทัดรัดนี้ ให้ได้ยินถนัดถนี่
อาจเป็นเพราะสัมผัสลึกซึ้งตรึงใจอันวาบหวาม ได้มอบความรู้สึกหวานชื่นไปทั่วทั้งโพรงใจพอฟ้าสว่าง ชายหญิงที่ล่วงพ้นราตรีวสันต์ด้วยกัน คลอเคลียชิดใกล้เนิ่นนานจึงนอนเอ้อระเหยไม่ยอมลุกขึ้น พวกเขานอนคุยกระหนุงกระหนิง“เมื่อคืนท่านเข้ามาได้อย่างไรน่ะ” ติงยวี่ถิงถามอย่างสงสัย ต่อให้เซียวหงเย่ปีนกำแพงเรือนเข้ามาได้ แต่คงไม่แคล้วเจอเข้ากับบ่าวชายที่ยืนเฝ้าตามทางเดินนี่นา“ข้าไม่แน่ใจเช่นกัน ตอนนั้นหูตาพร่ามัวไปหมด แต่ก็พอจำได้เลือนราง หลังจากปีนเข้ากำแพงมาได้สำเร็จ บ่าวชายของเจ้าเงื้อมมีดพร้าในมือก็จริงแต่พอเห็นว่าเป็นข้า ต่างก็เก็บมีดค้อมกายผายมือเชิญให้เดินเข้ามาทางนี้”“...”ย่อมเป็นคำสั่งที่ลอบบอกกล่าวเอาไว้ของสาวใช้ตัวดีทั้งสองเป็นแน่ เสี่ยวจิง เจียวมิ่ง พวกเจ้านี่นะ เดี๋ยวเถอะ!ติงยวี่ถิงนึกถึงคนสนิทอย่างขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน กระนั้นกลับไม่โกรธเคืองอันใด เพียงคาดโทษเอาไว้ก่อน ตอนกินข้าวจะลดกับข้าวสองอย่างเลยคอยดู ชอบสู่รู้นัก!หญิงสาวหันหน้ามาถาม “ในเมื่อมีบ่าวชายเชื้อเชิญอย่างเอิกเกริกขนาดนั้น ท่านจะปีนหน้าต่างเพื่ออันใด ไฉนไม่เข้าทางประตูดีๆ”“ข้าอุตส่าห์ปีนกำแพงแล้วก็ต้องปีนหน้าต
โรงเตี๊ยมยู๋อี้ราตรีวสันต์นี้ยังคงยาวนานสำหรับชายหญิงอีกคู่หนึ่ง ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยาปลุกเร้ายังไม่หมดไปหรืออารมณ์กำหนัดส่วนตัวไม่สิ้นง่ายๆ กันแน่ ไป๋ซั่วลูบไล้เคล้นคลึงเนื้อตัวของหญิงสาวใต้ร่างอย่างต้องการกลืนกินตามอารมณ์ปรารถนาแห่งบุรุษเพศเพราะแน่ใจแล้วว่าเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นมิใช่ความฝัน สตรีใต้ร่างหาใช่เพียงมายาหรือภาพลวงตาไม่ แม้เขาไม่รู้ถึงที่มาที่ไปหรือเหตุผลกลใด ไฉนบนเตียงถึงมีสตรีนอนทอดกายระทดระทวยคล้ายรอคอยอยู่เช่นนั้น แต่ในเมื่อเขาล้มตัวลงนอนและบังเอิญทาบทับนางแล้ว รับรู้กลิ่นอายจากกายสาวแล้ว ธรรมชาติของคนล้วนสรรสร้างและดำเนินไปตามทำนองคลองธรรมเขามิใช่นักบวชที่ละทิ้งซึ่งกิเลสตัณหา ยิ่งมินำพาความเป็นสุภาพชนอันใดทั้งนั้น คำว่าวิญญูชนยิ่งห่างไกล ศีลธรรมจรรยาที่เพียรระลึกไว้ยังมีนรกในใจกางกั้น ในเมื่อเนื้อเข้าปากแล้วเช่นนี้มีหรือเสือร้ายจะไม่ขย้ำให้หนำใจ เสร็จกิจรอบที่สิบก่อนค่อยถามความเอาก็ย่อมได้“อ่า...สาวน้อย ผิวเจ้าหอมละมุนนุ่มลิ้นเหลือเกิน ข้าขอทำอีกได้หรือไม่? เนื้อตัวเจ้าช่างหวานนัก”แม้ผ่านมรสุมคลื่นลมอันหนักหน่วงไปแล้ว หากแต่รสสัมผัสแห่งสวาทเร่าร้อนม
ใต้ม่านบนเตียงนอนสองร่างบนนั้นยังคงทาบทับ แนบชิดสนิทสนม ฝ่ายหนึ่งเคลื่อนกายกำยำอยู่ด้านบนจังหวะรุกราน เปลื้องเสื้อผ้าให้นางออกจากตัวอย่างเร่งร้อน ส่วนฝ่ายหนึ่งทอดกายระหงอ่อนระทวยเบื้องล่าง ยินยอมให้เขาอย่างว่าง่ายอาจเป็นเพราะสัมผัสเร่าร้อนที่ลวงใจทำให้คนมึนเมา เขาว่าอย่างไรนางก็ว่าอย่างนั้น เขาสั่งให้นางแยกขาออก นางก็รีบทำตามอย่างว่านอนสอนง่าย ไม่มีขัดขืนแม้แต่น้อยชายหญิงตระกองกอดกันแนบแน่นไม่คิดปล่อย ดวงตาปริ่มน้ำหยาดเยิ้มยั่วยวนชวนหลงใหลมองสบกับดวงตาลุ่มลึกเกินหยั่งแต่เร่าร้อนเย้ายวนชวนลุ่มหลงเกินต้านสองกายสอดประสานทันทีที่เนื้อตัวเปล่าเปลือย เสียงกระแทกกระทั้นดังผสานกับเสียงเตียงโยกโยน ทุกสิ่งบนฟูกนอนสั่นคลอนเป็นจังหวะหฤหรรษ์รัญจวนเนิ่นนานผ่านพ้น น้ำตาเทียนที่หยาดรินบนเชิงเทียน ยังมิอาจเทียบเท่าน้ำทิพย์พิสุทธิ์ที่หยาดหยดรินรดฟูกนอนสัมผัสอุ่นร้อน การเสพสมถึงขีดสุด ล่วงเลยไปแล้ว คงเหลือเพียงหยาดเหงื่อที่หลั่งรินชโลมอาบไล้เต็มเรือนกาย ร่างอรชรของหญิงสาวยิ่งพร่างพราวใต้แสงเทียนเซียวหงเย่ลูบไล้อย่างหลงใหลยากทำใจให้ผละจาก ผิวของนางเนียนมาก เรียบลื่น และขาวผ่องละเอียดละอออย่างสุ
ดียิ่งนักที่โรงเตี๊ยมยู๋อี้อยู่ใกล้โรงยาเจี้ยนคังเขายื่นข้อมืออันสั่นเทาให้นาง แล้วสั่ง “ลองจับดู” ติงยวี่ถิงกะพริบตาถี่ๆ ไม่ได้มาเพราะคิดถึงโหยหา แต่มาเพราะถูกวางยาเนี่ยนะ ฮึ! ดีใจเก้อเลยปะไร!กระนั้นนางรีบจับชีพจรให้แต่โดยดี พบว่าผิดปกติยิ่ง เห็นจะจริงดังเขาว่า เต้นแรงและสับสน เลือดลมพลุ่งพล่าน หญิงสาวเอื้อมนิ้วขึ้นไปเปิดเปลือกตา เห็นเส้นเลือดแดงก่ำ เอามืออังจมูก ลมหายใจหอบกระชั้น เอาใบหูแนบแผงอก ฟังเสียงหัวใจ ตึกตักๆๆๆ ดังกระหน่ำรัวถี่อย่างยิ่ง ครั้นเหลือบสายตาลงต่ำ พลันพบว่าส่วนนั้นตื่นผงาดแทบทะลุกางเกงผ้าโอว...ใหญ่มาก หญิงสาวเบิกตาโต ตกใจวิญญาณแทบหลุดจากร่าง นางเร่งทำใจดีสู้เสือ พยายามไล่สายตาสำรวจอย่างถ้วนถี่ หากปล่อยไว้นานคงไม่แคล้วหัวใจวายตาย เพราะเลือดไปกองรวมกันอยู่ตรงนั้นที่เดียว ชนิดที่ว่าไม่ยอมไปเลี้ยงหัวใจ อย่างที่คนยุคนี้เรียกว่าธาตุไฟแตกซ่านปะไรเอาอย่างไรดี? ปรุงยาแก้ตอนนี้ไม่ทันหรอกนะ หรือว่าให้กินไข่ขาวกินน้ำมัน จะช่วยล้างพิษได้ไหมนะ?ติงยวี่ถิงครุ่นคิดสะระตะ แต่ยังไม่กล้าเสี่ยงสักทาง“ตรวจสอบร่างกายพอหรือยัง?” บุรุษแค่นเสียงขุ่น เขาไม่ใช่หุ่นไม้เสีย
ร่างสูงเจ้าของนามนั้นพลิกตัวเข้ามาจึงเซเล็กน้อย กระนั้นกลับมิได้ล้มลงไป ครั้นพยายามหยัดยืนได้อย่างมั่นคง รีบมองหานางเจ้าของห้องอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นแล้ว เรียวขาแข็งแรงภายใต้เสื้อคลุมผ้าไหมสีเขียวครามคู่นั้นพลันขยับก้าวยาวๆ เพียงสองสามทีก็รั้งตัวนางเข้าสู่อ้อมแขน“คิดถึง...”“หา!”กระแสเสียงทุ้มต่ำทรงเสน่ห์ทว่าแหบพร่าผิดปกติกระซิบชิดริมหูหญิงสาวอีกครา“ยวี่ถิง ข้าคิดถึงเจ้าแทบบ้า” ไม่พูดเปล่ายังขบติ่งหูนางไปหนึ่งที“...” ตอนแรกคิดว่าหูฝาดแต่พอเขาขบย้ำเท่านั้นแหละ ชัดเลย! ติงยวี่ถิงพลันแก้มแดงซ่าน พบคนหื่นหนึ่งอัตรา นางรีบยกมือดันแผงอกหน้าอุ่นร้อนให้ออกห่าง“ทำบ้าอะไรเนี่ย ปล่อยนะ!”นอกจากไม่ปล่อย วงแขนแกร่งยังรัดแน่นกว่าเดิม ซุกซบใบหน้าหล่อเหลาลงซอกคอขาว สูดดมอย่างโหยหา เหมือนรักใคร่ปานจะขาดใจตายเสียเดี๋ยวนี้“หงเย่!” ติงยวี่ถิงรู้สึกจักจี้นัก แม้ตกใจแต่เพราะเคยถูกกระทำมากกว่านี้มาแล้วไงจึงรู้สึกคุ้นเคยรสสัมผัสอยู่บ้าง อาการรังเกียจจึงไม่มี “อ๊ะ! อื้อ...” เสียวนะ!ภาพนั้นเสี่ยวจิงกับเจียวมิงให้รู้สึกตกใจอย่างมาก ทั้งสองพากันอ้าปากตาค้าง รีบก้มหน้างุด ทว่าพอใคร่ครวญให้ถ้วนถ
โรงยาเจี้ยนคังหลังจากปิดร้าน ติงยวี่ถิงจึงมีเวลาเป็นของตนเอง หญิงสาวนั่งจิบชาพักผ่อนคลายอารมณ์อยู่ในห้องส่วนตัว โดยมีเสี่ยวจิงกับเจียวมิ่งคอยปรนนิบัติรับใช้ไม่ห่างกาย“นายหญิง ข้าพูดจริงๆ เจ้าค่ะ นายท่านเซียวมิได้มากล่าวหาหรือว่าร้ายท่านแน่นอน เขาต้องการง้องอนต่างหาก ขอนายหญิงเปิดใจด้วยเถิดเจ้าค่ะ” เจียวมิ่งยังคงทำหน้าที่ผสานรอยร้าวอดีตสามีภรรยาอย่างดีและเต็มที่ทุกคราที่เอ่ยปากเสี่ยวจิงก็เช่นกัน “ใช่เจ้าค่ะนายหญิง บุรุษก็เช่นนี้ เพิ่งรู้ตัวว่ารักก็ต่อเมื่อมีเหตุให้ต้องพลัดพรากแยกจากอย่างกะทันหัน พวกท่านสองคนย่อมเป็นเช่นนั้น นายท่านเซียวกำลังกระจ่างในข้อนี้ เพิ่งรู้ใจตัวเองเจ้าค่ะ”น้ำชาร้อนหอมกรุ่นมีฤทธิ์สงบใจถูกชงและรินใส่จอกส่งให้ถึงมือ ติงยวี่ถิงยื่นมือรับจากเจียวมิ่งนิ่งๆ นั่งรับฟังสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวต่ออีกว่า “บ่าวว่า นายหญิงสมควรให้โอกาสนายท่านเซียวได้เข้าหา รับฟังปรับความเข้าใจกันเจ้าค่ะ”เจียวมิ่งเงียบชั่วครู่ แล้วตัดสินใจโน้มน้าวโดยเอ่ยถึงเรื่องวันก่อนอย่างจริงจังมากยิ่งขึ้น“นายหญิง เหตุการณ์ปีนกำแพงล้วนชัดแจ้งเจ้าค่ะ นายท่านเซียวผู้สุภาพสง่างามแลดูสูงส่งภูมิฐาน