หญิงสาวตาเหลือก เหลือบมองรอบตัวลนลาน ละล่ำละลักบอก “ปล่อยก่อนค่ะ”
“ทำไม จับแค่นี้ก็ไม่ได้เหรอครับ ไม่ได้เพิ่งรู้จักกันซักหน่อย” ทีเมื่อเช้าเธอยังกำอย่างอื่นของเขาไว้เสียแน่น จับแค่ข้อมือแค่นี้ ทำไมต้องหวง ทีเขายังไม่หวงสักนิด
“อย่าพูดเหมือนเราสนิทกันสิคะ ฉันเพิ่งเคยเจอคุณหมอครั้งแรกเมื่อเช้าหน้าห้องบรรยายเองค่ะ คงไม่กล้าตีสนิทถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้”
“คุณไม่รู้จักผมมาก่อนการบรรยายครั้งนี้หรือครับ” เขาจงใจใช้เสียงอ้อนๆ เหมือนกับที่พูดกับเธอเมื่อคืน
“ใช่ค่ะ ฉันไม่รู้จักคุณหมอมาก่อน เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกตอนเช้านี้เลย”
ชายหนุ่มแกล้งทำเป็นครุ่นคิด “งั้นเหรอ เราไม่เคยพบกันมาก่อนเลยหรือ”
“ไม่ค่ะ ไม่เคย”
“คุณแน่ใจนะ” เขาถามพร้อมหยิบบัตรพนักงานขึ้นมาอ่านชื่อ “คุณคะนึงรัก”
“แน่ใจค่ะ”
วิณทร์วายุรวบร่างบางแล้วดันเข้าไปในช่องระหว่างพาร์ติชันหรือฉากกั้นสำหรับแบ่งห้องในโรงแรม ยิ้มมุมปากก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปใกล้เธอ
“อย่านะคะ” เธอขู่
ชายหนุ่มก้มลงจูบเธอเหมือนที่เพิ่งทำเมื่อเช้า ละเลียดที่กลีบปากอ่อนนุ่มทั้งบนและล่าง แต่ยั้งใจไม่ใช้ลิ้นอุ่นเกี่ยวกระหวัดมากนัก ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะลากเธอขึ้นไปบนห้องพักอีกรอบ
ตอนนี้คะนึงรักยืนนิ่ง ทิ้งตัวนุ่มนิ่งอิงไว้กับตัวเขา และยอมให้จูบอย่างไม่มีข้อแม้
วิณทร์วายุชอบจูบของเธอชะมัด และต้องการจะยืนจูบเธอไปอย่างนี้เรื่อยๆ แต่จำต้องถอนริมฝีปากออกเพราะเริ่มกังวลถึงความไม่เหมาะสมของสถานที่
“แปลกจัง ทำไมรสชาติคุณเหมือนผู้หญิงคนที่ผมเพิ่งใช้เวลาด้วยเมื่อคืนนี้เลยล่ะ แถมยังติดใจ ต่อรอบเช้ากันด้วยนะ”
“มันจะไม่เกิดขึ้นอีกค่ะ” เธอตอบทั้งที่ยังหอบเหนื่อย ใบหน้าแดงซ่าน
“อ้อ ยอมรับแล้วเหรอ ว่ามันเคยเกิดขึ้น”
หญิงสาวค้อน “ทำไมคุณหมอต้องหลอกฉันแบบนั้นด้วยคะ ทำไมไม่บอกกันตรงๆ ว่า...”
“ว่าอะไร จะให้ผมบอกอะไรล่ะ บอกว่าผมไม่ได้เด็กอย่างที่คุณคิด บอกว่าผมเป็นหมอ เป็นจิตแพทย์ หรือบอกว่าอะไร”
“บอกทั้งหมดนั่นแหละค่ะ”
“คุณพูดเองเออเองทั้งนั้น ยังมาเรียกผมว่าน้องอย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็บอกไปแล้วว่าผมไม่ได้เด็กกว่านะ คุณก็หาว่าผมเป็นเด็กที่พยายามโต”
หญิงสาวอ้าปากจะเถียงแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบเหมือนจำใจยอมรับ มีเพียงดวงตากลมสวยที่ยังตวัดค้อน เธอผลักเขาให้ห่างออก แต่ถ้าเขาไม่ยอม แรงเท่าผีเสื้อขยับปีกแบบนี้หรือจะทำอะไรได้
“ปล่อยค่ะ ฉันจะกลับไปสัมมนา”
วิณทร์วายุยิ้มสดใส บอกเหมือนสั่ง “ไปนั่งลงกินของว่างให้หมด แล้วผมจะปล่อย”
“แต่...”
“งั้นก็อยู่อย่างนี้ไปอีกซักชั่วโมงจนกว่าจะถึงเวลาพักตอนเที่ยงก็แล้วกันนะ”
“เผด็จการ” เธอบ่นอุบอิบ
ชายหนุ่มผละออกห่าง แต่ยังจับที่ข้อมือเธอแน่น จากนั้นเขาก็จูงกึ่งลากร่างบอบบางไปที่โต๊ะเล็กๆ ที่เขานั่งอยู่เมื่อครู่ เลื่อนจานของว่างไปตรงหน้าเธอ
เธอเลือกแซนด์วิชทูน่าในจานเขาไป แกะกินโดยไม่โวยวายอะไรอีก เมื่อเห็นว่าแซนด์วิชในมือเล็กพร่องไปครึ่งชิ้นแล้ว เขาจึงถาม
“จะเอาชาหรือกาแฟมั้ย หรือเอาน้ำผลไม้”
“กาแฟใส่นมกับน้ำส้มก็แล้วกันค่ะ”
“ครับคุณผู้หญิง”
“ขอบคุณค่ะ”
วิณทร์วายุนั่งมองเธอกินของว่างเงียบๆ จนทุกอย่างตรงหน้าหมดแล้วนั่นละ เขาจึงยอมให้เธอกลับเข้าห้องสัมมนา
หลังจากกลับเข้ามาในห้องสัมมนาแล้ว คะนึงรักก็ไม่เห็นวิณทร์วายุอีกเลย ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขากลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว หรือยังพักผ่อนอยู่ที่นี่ต่อเพื่อรอกลับพร้อมคนอื่นในวันรุ่งขึ้น จนกระทั่งอาหารมื้อเย็นนั่นแหละ ถึงได้เห็นชายหนุ่มเดินชิลๆ เข้ามานั่งกินข้าวร่วมโต๊ะอยู่กับอาณัติซึ่งเป็นบอสใหญ่ของเลิฟ เลิฟ การ์เดน
วิณทร์วายุไม่ได้สวมกางเกงสแล็กสีดำกับเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินแบบเมื่อเช้าแล้ว เขาเปลี่ยนชุดที่ดูเป็นทางการออก เหลือเพียงกางเกงขาสั้นลำลองสีน้ำตาลอ่อนกับเสื้อเชิ้ตปล่อยชายสีขาวดูสบายๆ
“มองอะไรลี่” ปราณีซึ่งกินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยถาม จากนั้นก็เหลียวตามบ้าง
“บอสมาแล้วค่ะพี่” คะนึงรักเบี่ยงความสนใจของสาวรุ่นพี่ และก็ได้ผล เมื่ออีกฝ่ายทำเพียงพยักหน้าส่งๆ และกลับมาสนใจอาหารเลิศหรูในจานของตนเองต่อ
หญิงสาวลอบผ่อนลมหายใจเบาๆ และตรึงสายตาให้จดจ่ออยู่กับจานอาหารและเพื่อนร่วมโต๊ะเท่านั้น
โชคดีที่ตลอดเวลาอาหารเย็นนั้น หมอหนุ่มไม่ได้มาวอแวหรือมาแกล้งอะไร หญิงสาวจึงนั่งกินอาหารทะเลแสนอร่อยได้อย่างมีความสุข หลังจากนั้นจึงมานั่งรวมกลุ่มอยู่กับปราณีและผองเพื่อนซึ่งเลือกออกมาดื่มต่อที่บาร์ริมสระน้ำ
สบายอกสบายใจอยู่ได้ไม่นาน อาณัติก็เดินตามออกมาพร้อมกับวิณทร์วายุ บอสใหญ่ต้องการให้การสัมมนาครั้งนี้มีบรรยากาศของเพื่อนฝูงและมิตรภาพ ไม่แบ่งแยกเจ้านายกับลูกน้อง จึงออกมารวมกลุ่มด้วย เพียงไม่นาน กลุ่มสังสรรค์บริเวณบาร์ริมสระน้ำก็ขยายตัวจนเกือบยี่สิบคน
น้ำทิพย์ซึ่งเป็นเวดดิงเพลนเนอร์รุ่นน้องสาขาเดียวกับพิมรดารีบขยับหาที่นั่งให้วิณทร์วายุ ชายหนุ่มก็นั่งลงข้างเธอโดยไม่ขัดอะไร เรียกรอยยิ้มกว้างจากสาวรุ่นน้องได้ทันที ส่วนอาณัตินั่งข้างวิณทร์วายุอีกที
ปราณีมองแล้วก้มมากระซิบกับคะนึงรัก “หนุ่มๆ ตัวตึงของงานไปนั่งอยู่ฝั่งสาขาของพิมรดาหมดเลย ลี่ต้องโชว์ลีลาเรียกแขกหน่อยแล้วมั้ย ไม่งั้นฝั่งสาขาใหญ่ของเราจะแห้งเหี่ยวมาก”
“ปล่อยไปเถอะค่ะพี่ ฝั่งเราไม่เหี่ยวง่ายๆ หรอก เพราะโบนัสปลายปีที่มากกว่าฝั่งโน้นหลายล้านปีแสงจะทำให้พวกเรามีเงินฉีดโบท็อกซ์ได้อีกหลายปี”
“ลี่ก็เป็นซะอย่างนี้” สาวรุ่นพี่บ่นขำๆ
หลังจากนั่งคุยเบาๆ กันอยู่พักหนึ่ง น้ำทิพย์ก็เสนอให้เล่นเกมกัน อาณัติจึงถามความเห็นจากคนส่วนใหญ่ เมื่อทุกคนตกลง น้ำทิพย์และเพื่อนอีกสองคนก็จัดการเตรียมเกมอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงสิบนาที เธอก็กลับมาพร้อมกับถังโจรสลัดแบบที่ทุกคนเคยเล่นเสียบมีดเข้าไปตอนเด็กๆ ใครทำโจรสลัดเด้งออกมาคือแพ้
จากนั้นน้ำทิพย์ก็เริ่มอธิบายกติกาพิเศษที่น่าจะคิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เพราะเจ้าตัวหันไปซุบซิบและหัวเราะคิกคักกับกลุ่มเพื่อนก่อนจะบอก
“กติกาพิเศษก็ไม่มีอะไรมากนะคะ แค่สุ่มหยิบคำถามขึ้นมาก่อน จากนั้นให้แต่ละคนเสียบมีดเข้าไปในถังโจรสลัด ถ้าโจรสลัดเด้งออกมาเมื่อไหร่ คนที่ทำโจรสลัดเด้งออกมาจะต้องตอบคำถามที่ถูกสุ่มขึ้นมา ส่วนคนอื่นๆ ก็จะต้องเป็นคนทาย ใครทายถูกจะมีสิทธิ์สั่งสามครั้ง เรียกว่าต้องเป็นจินนี่ให้คนที่ทายถูก”
“จินนี่คืออะไร ยักษ์ในตะเกียงเหรอ” อาณัติถาม
“ใช่ค่ะบอส คนที่ทายถูกจะขอพรได้สามข้อจากคนที่เป็นจินนี่ ส่วนคนที่เป็นจินนี่ก็ห้ามบิดพลิ้วนะคะ ต้องทำตามพรสามข้อที่คนทายถูกขอ แล้วขอให้ทุกคนตอบตามความจริงนะคะ ใครโกหกขอให้ยอดขายสาขาของตัวเองตก อดได้โบนัสจากบอส”
เสียงโวยวายดังกระหึ่มเมื่อได้ยินสองประโยคสุดท้ายของน้ำทิพย์ เป็นที่รู้กันว่ายอดขายของแต่ละสาขาเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันดับที่สองของพนักงานในเลิฟ เลิฟ การ์เดน ส่วนอันดับแรกก็คือโบนัสจากบอสใหญ่อย่างอาณัตินั่นแหละ
“พรสามข้อห้ามล่อแหลม สุ่มเสี่ยงต่ออันตราย หรือเกินวิสัยที่จะทำได้ด้วยนะ” อาณัติรีบกำชับก่อนจะเล่น
“ค่ะ บอส” สาวๆ ทุกคนตอบรับแทบจะพร้อมกัน
คะนึงรักไม่ได้นึกสนุกกับเกมประเภทนี้เท่าใดนัก มองเผินๆ ก็พอรู้ว่าเป็นเกมเชื่อมความสนิทสนมของชายกับหญิง แต่เธอก็ร่วมเล่นเสียบมีดเข้าไปในถังโจรสลัดตามมารยาท โชคดีที่โจรสลัดไม่ใจร้ายกับเธอ เพราะมันไม่เด้งเลยสักครั้งจนกระทั่ง...
“จูบครั้งแรกที่ไหน” น้ำทิพย์อ่านคำถาม จากนั้นก็ยื่นถังโจรสลัดไปที่เป้าหมาย “หมอวิณทร์เสียบมีดเลยค่ะ”
ประตูห้องรักษาเปิดออก พร้อมกับร่างสูงกำยำของวิณทร์วายุที่ก้าวเข้าไปนั่งสบายๆ บนเก้าอี้โซฟาเดี่ยว ส่วนที่โต๊ะทำงานซึ่งห่างออกไป มีหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกำลังจัดแฟ้มงานบนโต๊ะอยู่พินทุอรเป็นนักศึกษาแพทย์รุ่นเดียวกับเขา ไปเป็นอินเทิร์นหรือแพทย์ใช้ทุนที่โรงพยาบาลเดียวกัน แต่เธอเลือกเรียนต่อเฉพาะทางเลย จึงเข้าเป็นเรสซิเดนท์ก่อน ต่างกับเขาซึ่งทำงานอยู่ระยะหนึ่งก่อนเพื่อค้นหาตัวตนให้แน่ใจแล้วค่อยต่อเฉพาะทาง ทำให้หญิงสาวกลายเป็นจิตแพทย์รุ่นพี่“ขอปรึกษาหมออิงหน่อย เรื่องด่วน”เมื่อจิตแพทย์สาวเห็นว่าเป็นใครก็ถามเสียงเนือย “นัดล่วงหน้ามาหรือเปล่าคะ ไม่รู้หรือคะว่าจิตแพทย์ที่นี่ไม่รับนัดวอล์กอินนะ”“กำลังจะทำนัดอยู่นี่ไง นัดกับหมอนี่แหละ นัดเลย คุยเลย อย่าลีลา” ชายหนุ่มหยิบหมอนอิงบนเก้าอี้มากอด เอนหลังในท่าที่สบายขึ้น“ไปหาหมอคนอื่น ฉันไม่รับ”“เดี๋ยวเลี้ยงข้าวที่แคนทีน”“ไม่ว่าง แกไปหาหมอน็อตสิ” พินทุอรหมายถึงจิตแพทย์รุ่งน้องอีกคนซึ่งจะมาตรวจที่โรงพยาบาลสัปดาห์ละครั้ง“ไม่เอา อายไอ้น็อตมัน”“แล้วกับฉันไม่อายเหรอไอ้วิณทร์ ฉันเป็นหมอสาวแสนสวยนะ”“ไม่อาย แกนิสัยเหมือนผู้ชายมากกว่าไอ้น็อตอีก
“คุณเปิดไฟทำไม”“ผมปลอมตัวเป็นหิ่งห้อย เปล่งแสงหาคู่ไง”คะนึงรักหลุดขำออกมานิดหนึ่ง แสงนวลจากดวงไฟดวงเล็กส่งให้ใบหน้าสวยหวานดูผุดผ่องเรืองรอง รอยยิ้มน้อยๆ จากริมฝีปากอิ่มทำให้หัวใจของเขากระตุกวูบการที่เขาใจเต้นเมื่อตอนบ่ายวันก่อนที่ได้จูบคะนึงรักนั้น วิณทร์วายุไม่แปลกใจหรือเอะใจเลยสักนิด เขาคิดว่ามันคือความตื่นเต้น เพราะใจคิดไปถึงเรื่องหวานๆ หื่นๆ ครั้งก่อนและกำลังดีใจที่มันกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งก็เหมือนตอนที่เขากำลังจะลากผู้หญิงฮ็อตๆ สักคนขึ้นเตียงนั่นแหละ ทั้งหวั่นไหวและคาดหวังถึงเซ็กซ์ที่เผ็ดร้อน หัวใจเขาจึงเต้นระรัวอย่างห้ามไม่อยู่แต่การที่เขากำลังใจเต้นอยู่ตอนนี้นี่สิ...แปลก เพราะเขายังไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดหญิงสาวแม้แต่น้อย“ผู้ชายอย่างคุณหมอวิณทร์ ไม่ต้องเปล่งแสงหรอก แค่มองแล้วยิ้ม ก็เรียกผู้หญิงเข้าไปหาได้นับสิบๆ คนแล้วมั้ง แทบจะไม่ต้องพยายามเลยด้วยซ้ำ”“คุณก็พูดเกินไป”“ลี่พูดในสิ่งที่คุณเองรู้อยู่แล้วนั่นแหละ”คะนึงรักกดปิดไฟฉาย จากนั้นยื่นผ้าห่มผืนบางขนาดย่อมมาให้ “อากาศไม่หนาว แต่ก็มีลม มีน้ำค้าง แม่ลี่บอกว่าคนกรุงเทพฯ อย่างคุณน่าจะกระหม่อมบาง เดี๋ยวจะไม่สบาย”“คุณห่มเถอะ
เพชรพร้อมมองชายหนุ่มหน้าขาวใสประหนึ่งโบกบีบีครีมครึ่งหลอดบนใบหน้า กำลังมองตามร่างบางของคะนึงรักไป ริมฝีปากอมชมพูคลี่ยิ้มน้อยๆ ดวงตาเรียวรีทอประกายเจิดจ้า“คุณมีอะไรในใจกับน้องผมหรือเปล่า”“มีอะไรนะครับ...”“มีอะไรในใจ” เพชรพร้อมย้ำ“ผม...” อีกฝ่ายกะพริบตาช้าๆ สามสี่ที ดูดน้ำมะพร้าวอีกอึกใหญ่ ก่อนจะบอกตรง “ไม่แน่ใจ ไม่รู้สิครับ”“ถ้าไม่รู้ ยังไม่แน่ใจ ก็อย่ามองแบบนั้น”“เรื่องความรู้สึกมันห้ามกันได้ด้วยเหรอครับ ตอนนี้ผมไม่รู้ ไม่แน่ใจ ผมก็ตอบตามตรงเท่านั้นเอง”“ผมมีน้องสาวคนเดียว ทั้งรักทั้งหวง ถ้าคุณมาหลอกน้องสาวผม รับรองว่าผมไม่ปล่อยคุณไว้แน่ ผมจะอัดคุณให้จมดินเลย” หนุ่มร่างยักษ์พูดพลางหยิบท่อนไม้ขนาดเกือบเท่าแขนเด็กมาหักเล่นชายหนุ่มหน้าขาวยิ้มอ่อนโยน ส่งให้ใบหน้านั้นยิ่งดูอ่อนเยาว์ “คุณจะต่อยผมก็ได้ แต่ก่อนจะมีวันนั้น ผมต้องบอกคุณเสียก่อนว่าตอนเด็กๆ ผมเคยได้เหรียญเงินเทควันโดในกีฬาเยาวชนแห่งชาติมาก่อน ส่วนปัจจุบันนี้ ผมฝึกยูโดจนได้สายดำ และกีฬาที่โปรดปรานอีกอย่างก็คือมวยไทย”“ฝึกไปทำไมเยอะแยะ” เพชรพร้อมขมวดคิ้ว“เพราะผมหน้าอ่อนไงคุณ แถมยังผิวขาว ดูยังไงก็ไม่พ้นไอ้ไก่อ่อน แต่ผมดันหล
เช้าวันรุ่งขึ้น เจ็ดโมงเช้าไม่ขาดไม่เกิน วิณทร์วายุก็ลงมาที่โต๊ะอาหารซึ่งครอบครัวสาลี่โฮมสเตย์อยู่พร้อมหน้า อาหารเช้าในวันนี้เป็นโจ๊กหมูใส่ตับ ฝีมือของคุณนายรำพึง ส่วนปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้นั้น พฤกษ์ซื้อมาจากตลาดเช้าของหมู่บ้านหลังจากกินอาหารเช้าและพักผ่อนเล็กน้อยแล้ว คะนึงรักก็นำจิตแพทย์หนุ่มไปยังท่าน้ำเพื่อเดินทางไปสวนมะพร้าว“ลี่จะพายเรือไปเองเหรอ”“พี่เพชรจะมารับเราตอนเก้าโมง” หญิงสาวตอบ“พี่เพชร?”“ลูกพี่ลูกน้องของลี่เอง พี่เพชรเป็นลูกชายลุง พี่ชายแท้ๆ ของแม่ค่ะ นั่นไง พี่เพชรมารอแล้ว” ประโยคสุดท้ายเธอพูดพร้อมชี้ไปทางท่าน้ำซึ่งมีเรือลำเล็กลอยลำรออยู่ภายในเรือลำน้อยมีชายหนุ่มตัวสูงใหญ่อย่างกับยักษ์ปักหลั่น ผิวสีแทนค่อนไปทางคล้ำ ผมยาวระต้นคอ แถมยังไม่ค่อยชอบโกนหนวดโกนเครา ทำให้ชายหนุ่มยิ่งดูเหมือนพวกโจรป่าที่ชอบมาดักปล้นพรหมจรรย์นางเอก“สวัสดีพี่เพชรย้อม” คะนึงรักทักทายด้วยชื่อแปร่งหูที่มีแต่เธอเท่านั้นเป็นคนเรียก แม้กล้ามแขนที่โผล่พ้นเสื้อยืดย้วยๆ สีเทาของเพชรพร้อมน่าจะหักคอเธอได้ด้วยมือเปล่า แต่หญิงสาวไม่เคยนึกกลัวเพชรพร้อมลุกขึ้นยืนเท้าเอว เอียงคอมองเหมือนพร้อมมีเรื่อง“มาถึง
เสียงเคาะประตูหน้าห้องของคะนึงรักดังขึ้นราวสามทุ่ม หญิงสาวสวมชุดนอนตัวเก่งเดินมาเปิดประตู แล้วก็เห็นพ่อกับแม่แต่งตัวเต็มยศเหมือนกำลังจะออกไปข้างนอก คืนนี้คุณนายรำพึงยิ่งสวยกว่าปกติ เพราะนางม้วนผมเป็นลอนสวย แถมยังตีโป่งตั้งกระบังแบบมองเห็นได้จากหน้าเวทีลิเกเลยทีเดียว“แม่กับพ่อจะออกไปดูลิเก ตอนแรกเห็นว่ามีแขกวีไอพีมาพัก เลยตัดใจแล้ว โชคดีที่ลี่กลับมาพอดี ช่างเป็นอภิชาตบุตรของแม่เหลือเกิน”คะนึงรักมองบิดา “พระเอกคนนี้ที่แม่ตามคล้องพวงมาลัยใช่ไหมพ่อ”“ใช่ พ่อเลยต้องตามไปด้วย กลัวกลับดึกแล้วจะอันตราย” คนเป็นพ่อตอบ“ไม่ใช่ตามไปคุมเหรอ ขี้หึง” คุณนายรำพึงหลิ่วตาพฤกษ์นิ่วหน้า “ใครหึง ไม่มี้”หญิงสาวอมยิ้ม เพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี พ่อเธอก็ยังรักยังหลงแม่เธอไม่เคยเปลี่ยน “ไปเถอะค่ะ เที่ยวให้สนุกนะ ไม่ต้องกังวล ลี่ดูแลแขกให้เอง แต่คิดว่าคุณวิณทร์เขาคงนอนแล้วแหละ”“ส่วนพรุ่งนี้เช้า ตามโปรแกรมของสาลี่โฮมสเตย์ หลังกินข้าวเช้าแล้ว แขกจะได้นั่งเรือเที่ยวสวนมะพร้าวตอนเก้าโมง แวะกินข้าวเที่ยงที่ตลาด แล้วกลับมาพักผ่อนตามอัธยาศัยที่บ้านตอนบ่าย” มารดาสาธยาย“บ้านเรามีสวนมะพร้าวที่ไหนกัน เห็นมีแต่พวกผลไม
“กลับมาแล้วเหรอลี่” เสียงของคุณนายรำพึงดังมาก่อนตัวคะนึงรักลุกขึ้นจากโต๊ะกินข้าว วิ่งเข้าไปสวมกอดมารดาโดยมีบิดาตามเข้ามาห่างๆ เมื่อกอดมารดาเสร็จก็โผไปกอดบิดาต่อสายตาของคุณนายรำพึงมองเลยไปเห็นคนตัวสูงนั่งหน้าแป้นอยู่ที่โต๊ะกินข้าวก็ตกใจ “ตายจริง มัวแต่ดีใจ ลืมไปเลยว่าวันนี้บ้านเรามีแขกวีไอพี”“เขาลงมาจากห้องแล้วเหรอ” พฤกษ์ถามแล้วหันไปมองตาม“ลงมาตั้งนานแล้วแม่ เปี๊ยกไม่ได้บอกเหรอ”“ไม่ได้บอกน่ะสิ บอกแค่ลี่ให้มาตาม ไอ้เด็กคนนี้ ใช้ไม่ได้เลย” บิดาบ่นคุณนายรำพึงกุลีกุจอเข้าไปหาแขกคนสำคัญ “ขอโทษทีนะพ่อคุณ เบื่อแย่เลย”“ไม่เป็นไรครับแม่ ผมนั่งคุยเล่นกับคุณลี่เพลินๆ ชวนกันทำโน่นทำนี่ ไม่เบื่อครับ”เห็นสายตาที่มีคำถามของมารดาแล้ว คะนึงรักจึงรีบอธิบาย “โลกกลมมากแม่ คุณวิณทร์เป็นเพื่อนสนิทของบอสลี่เอง เราสองคนรู้จักกันมาก่อน”“สนิทกันด้วยครับ” วิณทร์วายุเสริม“จริงเหรอ” คุณนายรำพึงถาม“จริงครับแม่”คะนึงรักส่งสายตาดุๆ ไปให้ ‘ลูก’ ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้น อยากจะถามเขาเหลือเกินว่าเธอไปสนิทกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ใจไม่กล้าพอเพราะกลัวคำตอบของจิตแพทย์หนุ่ม ก็ถ้าเกิดเขาโพล่งออกไปว่าเธอกับเขาสนิทกัน