เช้าของวันถัดมา...ก่อนที่แสงแรกของวันจะมาเยือน ครัวของบ้านสิงหราชที่นางเลิ้งก็สว่างไสวไปด้วยแสงตะเกียง แม้ว่าที่นี่จะมีไฟฟ้าใช้แล้วก็ตามแต่เพื่อความประหยัดไฟ ทุกคนจึงได้เลือกจุดตะเกียงแทน
ภายในครัวตอนนี้กำลังคึกคักทีเดียว และเมื่อปลากริมเดินลงมาจากชั้นบนเธอก็เห็นแม่กับตาสรและยายเมี้ยนที่มักจะตื่นเช้ากว่าใครกำลังช่วยกันเตรียมวัตถุดิบกันอย่างขยันขันแข็ง
"ทุกคนตื่นเช้ากันจังเลย" เสียงของปลากริมดังขึ้น ก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปนั่งร่วมกับสองตายาย และไม่นานนักหลังจากนั้นเธอก็เห็นพ่อกับพี่ ๆ ทุกคนตื่นและเดินตามมาสมทบ ยกเว้นเพียงปั้นขลิบกับเทวากรที่เด็กหญิงคิดว่าน่าจะยังคงนอนหลับอุตุอยู่บนห้อง
"พ่อ กำลังจะพาทุกคนออกไปวิ่งหรือจ๊ะ" เธอเอ่ยถามเสียงใส
"ใช่แล้วลูก ว่
ทางด้านเจ้าสัวราตรี...เมื่อเชฟสมศักดิ์นำเมนูที่ขโมยมาได้ไปเสนอให้ดู เขาก็หัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ "ดี...ปล่อยให้มันลงทุนกับของแพง ๆ ไปเยอะ ๆ" เขากล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ "แล้วเราก็ค่อยเปิดตัวเมนูของเราที่เหนือกว่า...ในราคาที่ถูกกว่า...หักหน้ามันให้แหก...อั๊วอยากเห็นตอนมันกระอักเลือด" เขาเอ่ยพร้อมหัวเราะเสียงต่ำด้วยความสะใจ โดยที่ทั้งสองไม่รู้เลยว่าตนเองได้หลงกลตกลงไปในกับดักที่ปลากริมวางเอาไว้อย่างแนบเนียนเรียบร้อยแล้ว... หลายวันต่อมา ในขณะที่การฝึกซ้อมของเพชรดำเนินไปอย่างเข้มข้นที่ค่ายมวยหลังร้าน ปลากริมก็เรียกประชุมทีมบริหารร้านอาหารฝรั่งเศสเป็นครั้งที่สอง หลังจากที่เธอเคยมาเยือนที่นี่ก่อนหน้านี้ การประชุมในครั้งนี้ประกอบด้วยตัวเธอ เชฟอองรี แ
ทางด้านยุพิน...หลังจากหล่อนวิ่งหนีออกมาจากร้านขนมของครอบครัวสิงหราชด้วยความอับอายและหวาดกลัว หล่อนก็ได้กลับไปยังบ้านของเสี่ยย้งด้วยหัวใจที่สิ้นหวังเพื่อรายงานความล้มเหลวทั้งหมด "เสี่ยคะ...ไอ้ลูกชั่วนั่น...มันไม่ฟังฉันเลย" คำพูดของหล่อนและน้ำตาหาได้ทำให้เสี่ยผู้เป็นสามีปลอบใจแต่อย่างใด...และสิ่งที่หล่อนได้รับกลับมานั้นก็คือความเจ็บปวดที่มากกว่า "เพี๊ยะ!" ฝ่ามืออันหนักหน่วงของเสี่ยย้งฟาดลงบนใบหน้าของยุพินอย่างแรงจนหล่อนล้มลงไปกองกับพื้น "ไร้ประโยชน์!" เขาตวาดด้วยความโกรธจัด "ขนาดลูกตัวเองยังเกลี้ยกล่อมไม่ได้! แล้วอั๊วจะเลี้ยงลื้อไว้ทำไม!" ยุพินได้แต่นั่งร้องไห้ตัวสั่นอยู่บนพื้น หล่อนรู้ดีว่าชีวิตของตัวเองในบ้านหลังนี้...ได้จบสิ้นลงแล้ว&
หลังจากวันนั้นไม่กี่วัน ท่านรองปลัดขจรก็ได้ทำตามที่พูดไว้ ท่านได้นัดหมายให้สิงห์และปลากริมได้เข้าพบกับพันตำรวจเอกประวิทย์...เป็นการส่วนตัวที่ร้านกาแฟเก่าแก่แห่งหนึ่งในย่านพระนครที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวและปลอดจากสายตาของผู้คน พันตำรวจเอกประวิทย์เป็นชายวัยกลางคนที่ดูสุขุมและน่าเกรงขาม แววตาของท่านคมกริบและมองทุกอย่างราวกับจะทะลุไปถึงความคิดข้างใน หลังจากที่ท่านรองปลัดขจรได้แนะนำให้ทั้งสองฝ่ายได้รู้จักกันแล้ว ท่านก็ขอตัวแยกออกไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่งที่อยู่ห่าง ๆ เพื่อให้พวกเขาพูดคุยกันอย่างเป็นส่วนตัวมากที่สุด "ท่านรองปลัดเล่าให้ผมฟังคร่าว ๆ แล้ว" พันตำรวจเอกประวิทย์เริ่มต้นก่อน "แต่ผมอยากจะฟังจากปากของหนูเอง... ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร...และที่สำคัญ...หนูได้ข้อมูลเหล่านี้มาจากไหน"&n
หลังจากที่ปลากริมได้เปิดเผยแผนซ้อนแผนของเธอแล้ว ความรู้สึกโล่งใจและสะใจก็เข้ามาแทนที่ความตึงเครียดในใจของทุกคน...ยกเว้นเพียงคนเดียว มะตูม...ชายหนุ่มที่เคยเข้มแข็งและเป็นที่พึ่งให้กับน้อง ๆ เสมอมา บัดนี้กลับทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง เขาก้มหน้าซ่อนใบหน้าของตนไว้ในฝ่ามือ...ไหล่กว้างของชายหนุ่มสั่นเทาอย่างรุนแรง แต่กลับไม่มีเสียงร้องไห้ใด ๆ เล็ดลอดออกมา...มันคืออาการของคนที่เจ็บปวดจนจุกอยู่ข้างใน ภาพนั้นทำให้ทุกคนในบ้านสิงหราชรู้สึกปวดใจ ก่อนจะตามมาด้วยเพชร ดิน และข้าวเหนียว เดินเข้าไปนั่งล้อมรอบพี่ใหญ่ของพวกเขาอย่างเงียบ ๆ พวกเขาวางมือลงบนบ่าและแผ่นหลังของมะตูมเป็นการส่งต่อกำลังใจโดยไม่ต้องใช้คำพูด สิงห์เดินเข้าไปนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าลูกศิษย์เอก เขาวางมือใหญ่ที่หยาบกร้านของตนลงบนศีรษะของมะตูมอย่างอ่อนโยน&nbs
ช่วงเย็นภายในวันเดียวกันนั้นเอง...แม่ตานีสาวก็ได้ลอยตัวกลับมาที่บ้านสีฟ้าด้วยสีหน้าและท่าทางไม่สู้ดี 'แม่หนู! แย่แล้ว! เรื่องมันร้ายแรงมากกว่าที่เราคิด!' เสียงของนางดังขึ้นในหัวปลากริมอย่างร้อนรน 'ข้าไปคุยกับเจ้าที่ที่ค่ายพยัคฆ์คำรามมา...ท่านบอกว่าคนพวกนั้นต้องการทำลายพี่เพชรของเจ้าเลยนะ...แบบว่าให้เขาไม่สามารถกลับขึ้นสังเวียนได้อีกทีเดียว' ข้อมูลที่ได้มาทำให้ปลากริมกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ! ความกังวลของเธอกลายเป็นความจริง...นี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่ขาวสะอาดอีกต่อไปแล้ว 'ถ้าเราเอาแค่เรื่องยาไปแฉ...พวกนั้นอาจจะหาทางปัดความรับผิดชอบได้...เราต้องมีหลักฐานที่สามารถเอาผิดพวกมันได้มากกว่านี้...หลักฐานที่ทำให้พวกมันดิ้นไม่หลุด!' เธอคิดอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เธอจะตั
ไม่กี่วันหลังจากค่ำคืนแห่งงานเลี้ยงฉลองได้จบลง...วันแห่งการเดินทางไกลของสองชายหนุ่มก็มาถึง...บรรยากาศภายในท่าอากาศยานดอนเมืองในเช้าของวันนี้คึกคักเป็นพิเศษ เสียงประกาศเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่องบินดังก้องเป็นภาษาไทยสลับภาษาอังกฤษ ประกอบกับเสียงเครื่องยนต์ของใบพัดเครื่องบินที่กำลังจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ที่มุมหนึ่งไม่ไกลจากประตูผู้โดยสารขาออก ครอบครัวใหญ่สิงหราชกับเมธาวินได้ยืนรวมกลุ่มกันอยู่...บรรยากาศรอบตัวของพวกเขากำลังเป็นช่วงเวลาแห่งการร่ำลาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและคราบน้ำตา ชื่นกอดข้าวเหนียวผู้เป็นหลานชายของหล่อนเอาไว้แน่นพร้อมกับร้องไห้ออกมา "ไปอยู่ที่นู่น...หากกับข้าวกับปลาไม่ถูกปากก็ฝืนกินเอาหน่อยนะลูก....ไว้กลับมาเมื่อไหร่ย่าจะทำของโปรดให้กิน" หญิงชราพูดด้วยความเป็นห่วงตามประสาคนที่เลี้ยงหลานมากับมือ&