จางลี่กัดฟันแน่น มิได้นึกเจ็บปวดต่อบาดแผลแรกที่อ๋องแคว้นหลู่บากมันไว้บนไหล่แต่เจ็บใจที่นางนึกไม่ถึงว่าพระญาติผู้พี่จะมีจิตใจอำมหิตถึงเพียงนี้ ก่อนนางขยับตัวหลินเจินจับมือเรียวบางไว้แน่นและเอ่ยทั้งน้ำตา
“ท่านหญิง...เป็นเพราะข้าท่านถึงต้องมาตกที่นั่งลำบากเยี่ยงนี้ อภัยให้ข้าด้วย”
“แค่โบยร้อยครั้ง...ก็แค่ตาย”
จางลี่กัดฟันพลางเหลือบมองญาติผู้พี่ของนางที่ยืนอยู่อย่างไม่สะทกสะท้าน นางแสดงความเข้มแข็งด้วยการลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องนั้น ราชองครักษ์โม่โฉวเก็บดาบลงฝักพลางเอ่ยขึ้น
“ท่านอ๋อง...จะให้ผู้คุมเป็นผู้โบยองค์ชายาหรือไม่พะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง...เดี๋ยวข้าจะไปที่คุกหลวงและเป็นคนลงแส้นางเอง!”
หลี่เจี๋ยหันหลังกลับและก้าวออกจากห้องนั้น ยังเหลือหลินเจินที่นั่งตาเบิกค้างเมื่อได้ยินบัฐชาของผู้ครองแคว้นหลู่ และก่อนที่โม่โฉวจะเดินตามออกไปหลินเจินก็ร้องออกมาว่า
“มินึกเลยว่าคนแคว้นหลู่จะใจดำอำมหิตเช่นนี้ พระธิดาจางลี่เป็นองค์ชายามิใช่กบฏแผ่นดินแม้แต่น้อย”
“แต่นางกระทำผิดอย่างร้ายแรง” ราชองครักษ์ตอบเสียงหนักแน่น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตำหนักร้อยไหมมีความสำคัญต่อท่านอ๋องเยี่ยงไร”
“สำคัญเยี่ยงไรเล่า ตำหนักนี้ช่างน่ากลัวนัก หรือท่านมิรู้หรือว่าใต้ตำหนักมีจระเข้อยู่เต็มไปหมด”
“นั่นคือความเจ็บปวดที่ท่านอ๋องต้องสูญเสียพระบิดาและเจ้ากับองค์ชายาก็มิมีวันเข้าใจ ข้ามิมีเวลาพูดกับเจ้ามากนัก”
“ท่านโม่โฉว ข้ารู้ว่าท่านเป็นองรักษ์เอกของหลู่อ๋อง แต่...ท่านก็เห็นว่าพระธิดาเป็นเพียงหญิงตัวเล็กที่ไม่มีวันต่อกรกับเหล่าทหารและอ๋องแคว้นหลู่ได้เลย ทำเยี่ยงไรถึงจะช่วยเบาโทษให้นางได้"
“บัญชาของหลู่อ๋องนั้นเทียบเท่าชีวิต พระองค์คือผู้อยู่เหนือสิ่งใด และข้าก็มิอาจขัดพระประสงค์ของพระองค์ได้”
“ได้โปรด...ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะ ทัณฑ์ลงแส้ถึงร้อยครั้ง แม้แต่ชายอกสามศอกก็ยังมิทานไหว แล้วพระธิดาจะทนได้หรือเจ้าคะ และหากว่า...นางเป็นอะไรไปต้องเกิดศึกใหญ่ระหว่างแคว้นอย่างแน่นอน”
ถึงนางร้องขอหากโม่โฉวก็ยังมิแสดงท่าทีใด ๆ ออกมา ราชองครักษ์เอกก้าวออกจากห้องนั้นอย่างเยือกเย็นทิ้งไว้แต่หลินเจินที่ร้องไห้คร่ำครวญเบื้องหลัง
“พระธิดา...อภัยให้ข้าด้วย หลินเจินผิดเอง หลินเจินผิดเอง”
คุกหลวง ชั้นในสุด
เหล่าทหารและผู้คุมต่างถวายความเคารพเมื่ออ๋องหลี่เจี๋ยและนายทหารคู่พระทัยก้าวผ่านลงไปตามเส้นทางคดเคี้ยวและซับซ้อนของคุกหลวงกระทั่งถึงชั้นในสุด ภายในนั้นมืดและอับทึบ มีเพียงแสงสว่างจากคบเพลิงสาดส่องผนังหินแข็งแกร่ง เมื่อไปถึงที่นั่นเขาก็เห็นว่าพระธิดาจางลี่นั่งติดอยู่ตรงลางห้อง มือเรียวบางของนางถูกพันธนาการด้วยผ้าเนื้อหยาบมัดติดอยู่กับเสาต้นใหญ่ มันคือลานที่มีไว้ลงทัณฑ์นักโทษ รอบห้องนั้นเต็มไปด้วยเครื่องมือทรมานที่เห็นแล้วน่าหดหู่ มิรู้ว่ามีนักโทษต้องตายมาแล้วสักกี่ชีวิตและนางอาจเป็นคนต่อไป
ขณะนั้นหลี่เจี๋ยย่างเท้าเข้าไปหยุดตรงหน้าพระญาติผู้น้อง นางมิยอมเงยหน้าขึ้นมองทั้งที่รู้ว่าผู้ใดเข้ามาขณะที่ราชองรักษ์โม่โฉวยืนมองอยู่ห่างๆ ร่างสูงงามสง่าจ้องมองใบหน้าสวยซึ้งของจางลี่นั้นปราศจากความหวาดหวั่นแม้บนไหล่ข้างหนึ่งของนางจะเต็มไปด้วยคราบเลือดจากการเอาตัวเข้ารับปลายดาบคมแทนนางสนมคนสนิท หลี่เจี๋ยหยัดมุมปากขึ้น
“จางลี่...ข้าจะลงทันฑ์โทษฐานที่เจ้าขัดคำสั่งข้า”
“เพคะ”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าแท้แล้วผู้ก่อเหตุร้ายแรงวางเพลิงไม่ว่าจะเป็นที่ใดในเขตพระราชฐานนั้นโทษตายสถานเดียว เจ้ามิเกรงกลัวถึงได้กล้าขัดคำสั่งและกล้าทำสิ่งร้ายแรง”
“สำหรับหม่อมฉันสิ่งใดจะน่าหวาดหวั่นเท่าความความชิงชังที่พระองค์มีต่อคนแคว้นฉี ถึงหม่อมฉันไม่ทำเยี่ยงนี้วันหนึ่งก็อาจตายทั้งที่มิได้กระทำความผิด มันแตกต่างกันหรือเพคะหากพระองค์มิเคยพอพระทัยไม่ว่าหม่อมฉันจะทำเยี่ยงไร”
“ข้าทำตามกฎต่างหาก และเห็นชัดแล้วบัดนี้ว่าธิดาของฉีอ๋องทั้งดื้อรั้นและอวดดีแค่ไหน ทหาร! นำแส้มาให้ข้า”
เสียงบัญชากึกก้องในห้องนั้น ทหารร่างใหญ่ผู้คุมเวรยามในคุกหลวงก้าวเข้ามาแล้วคุกเข่าลงเพื่อถวายแส้เส้นใหญ่แก่ปาอ๋อง หลี่เจี๋ยรับมันมากุมไว้ในมือมั่น มือของเขาเย็นเฉียบกว่าทุกครั้งที่รู้สึก น่าประหลาดที่ครานี้หัวใจของเขามิได้เต้นด้วยจังหวะมั่นคงดั่งทุกครั้งที่ลงทัณฑ์คนผิด เคยทรมานนักโทษให้ถึงตายหากก็มิเคยหวั่นไหวต่อความเหี้ยมหาญของตัวเองแม้เพียงสักครั้ง จางลี่กัดฟันตัวเองแน่น มือทั้งสองที่ถูกมัดไว้กับเสาต้นใหญ่กำหมัดจนปลายเล็บจิกลงในอุ้งมือเลือดไหลซิบ นางเชิดคางขึ้นและสบนัยน์ตาดำยาวรีของหลี่เจี๋ยราวไม่เกรงกลัว
จางลี่ครางหวิวหวาด หัวใจแทบขาดด้วยความกระสันเสียว นางก็คิดถึงเขาไม่ต่างกัน ระหว่างเขาและนางความอ่อนหวานราวกำซาบเข้าสู่หัวใจทั้งสองดวง เมื่อเขาดูดกลืนความหวานจากยอดบัวจนพอใจร่างอรชรจึงขยับหันหลังให้ หลี่เจี๋ยไล้ปลายลิ้นบนขมับลงมาถึงลำคอ แนบอกกว้างกับแผ่นหลังของนางจนสนิททุกสัดส่วน ความเป็นชายของเขาตื่นตัวและรุกเร้าอยู่บื้องหลังบั้นท้ายงอนงาม มือแกร่งสอดมาด้านหน้ากอบกุมปทุมถันทั้งสอง หลี่เจี๋ยเฟ้นฟอนไปตามไหล่กลมกลึงด้วยปากและปลายจมูกโด่ง“จางลี่...อาส์...พี่ต้องการเจ้า”เสียงแผ่วพร่าดังกว่ากระซิบยิ่งทำให้นางหวิววาบซาบซ่านก่อนที่เขาสอดมือข้างหนึ่งลงไปใต้เข่ายกเรียวขาของนางขึ้นและสอดใส่ความแข็งแกร่งเข้าสู่กลีบเนื้องามจากด้านหลัง“ท่านพี่...อะ...อาส์...อาส์...อืม...อาส์”“จางลี่...อาส์...อาส์”กษัตริย์หนุ่มหายใจหอบเมื่อแก่นเนื้ออวบหนาถูกบีบรัดจากกลีบผการุนแรง หลี่เจี๋ยขยับสะโพกแต่ไม่ลืมผ่อนเบาในบางจังหวะ ไม่ลืมว่าลึกเข้าไปคือชีวิตน้อย ๆ ขององค์รัชทายาทที่หลับใหลอยู่ในนั้น แม้ความปรารถนาถาโถมรุนแรงแต่จังหวะขยับโยกนั้นอ่อนหวานจนจางลี่สยิวซ่านไปทั่วเรือนกาย“ท่านพี่...อาส์...อาส์”นางตวัดแขนเร
“ใครหรือเพคะ?”“อำมาตย์ใหญ่อู๋อี้ฝาน และ...พระอาจารย์วั่งซู”จางลี่มีสีหน้าตกใจ นางพยายามลำดับเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อนั้น ดวงตางามเต็มไปด้วยคาวมสับสน“มันจะเป็นไปได้เช่นไร พระอาจารย์วั่งซูคือผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ท่านพี่ และยิ่งกว่านั้นลูกสาวของพระอาจารย์ก็ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นหวางเฟยองค์ใหม่อีกด้วย”“นั่นเป็นแผนที่ถูกวางไว้แล้วทั้งหมด เพราะพี่เองที่โง่งม มิเคยคิดระวังคนใกล้ตัว พี่ไว้วางใจพระอาจารย์ของตัวเอง เพราะเห็นวั่งซูมาแต่เล็กและอยู่ใกล้ชิดฮุยอินมาแต่ยังเยาว์ พี่ถือว่าเราคือครอบครัวเดียวกัน แต่คนเหล่านั้นมิเคยคิดแยกแยะ มีแต่ความโลภโมโทสัน สุดท้ายก็ต้องพบจุดจบของตัวเอง”“หม่อมฉันคิดว่าฮุยอินโชคดีแล้วที่ได้รับตำแหน่งหวางเฟยองค์ใหม่ นางคงรอโอกาสนี้มานับแต่ยังเยาว์”“ฮุยอินมิได้รู้เห็นกับการกระทำของพ่อตัวเอง แต่นางยุยงให้พี่เข้าใจผิด ขับเจ้าออกจากวัง และมันก็เข้าแผนของพวกกบฏ”“แล้วพระองค์ทำเช่นไรกับนางหรือเพคะ?”“นางได้รับโทษอย่าสาสมแล้ว ฮุยอินเอาตัวเข้ารับลูกธนูของพวกกบฏแทนพี่ ตอนนี้พระอาจารย์วั่งซูถึงกับสติฟั่นเฟือนที่ต้องสูญเสียลูกสาวคนเดียว”“นางรักท่านพี่ด้วยหัวใจบริสุทธิ
หลี่เจี๋ยเงียบไป เขาได้ยินเสียงสะอื้นไห้และแรงกระตุกของร่างเล็กในอ้อมแขน ความสำนึกผิดแล่นขึ้นมาจับหัวใจ เขากดศีรษะทุยของนางกับไหล่กว้าง มันเป็นช่วงเวลาที่ยากยิ่งสำหรับเขา แม้เป็นกษัตริย์ปกครองคนมากมาย เป็นเจ้าแห่งรัฐที่มิเคยอ่อนข้อให้ผู้ใดแต่วันนี้เขาขอวางเกียรติและความสูงส่งนั้นเพื่อเอาหัวใจรักของบุรุษผู้หนึ่งไว้แทบเท้าสตรียอดดวงใจในบัดนี้ “จางลี่” เสียงนั้นแผ่วลง “พี่รู้ว่าที่ผ่านมาได้ทำอะไรไว้กับเจ้าบ้าง หากเจ้าจะอภัยให้พี่”“อภัยหรือเพคะ?”จางลี่ขยับห่างเล็กน้อยแต่หลี่เจี๋ยไม่ยอมคลายวงแขนที่ยังกอดไว้แน่น นางยิ้มขื่น“พระองค์เป็นถึงหลู่อ๋อง จะให้หม่อมฉันซึ่งเป็นเพียงหญิงต่ำช้าในสายพระเนตรอภัยให้พระองค์เช่นนั้นหรือเพคะ หม่อมฉันมิกล้า แค่นี้ก็เกรงอาญาเหลือเกินแล้ว”“นิสัยช่างประชดประชันของเจ้าทำอย่างไรก็แก้ไม่หายเสียที แต่...สิ่งนี้มิใช่หรือที่ทำให้พี่รักเจ้ามากจนถอนใจไม่ขึ้น”“พระองค์ต้องการสิ่งใด” นางนิ่วหน้าเหมือนเจ็บปวด “วันก่อนหาว่าหม่อมฉันคบชู้ ขับไล่หม่อมฉันออกจากวัง แล้ววันนี้มาตามหาหม่อมฉัน มีประสงค์อันใดกันแน่”“จางลี่...”“หม่อมฉันรู้ตัวดีว่าเป็นแค่ธิดาของพระสน
“อยู่นิ่ง ๆ ...อย่าแม้แต่ขยับตัว”หลี่เจี๋ยสั่งด้วยเสียงทุ้มต่ำขณะร่างบางที่ยืนตรงหน้าสั่นเทา จางลี่ถึงกับน้ำตาไหลเมื่อสุนัขป่าค่อย ๆ ย่างเข้ามา มันกำลังดูเชิงและตั้งท่าหมอบลงเล็กน้อย ดวงตาแดงราวเปลวเพลิงคู่นั้นสะท้อนแสงวับวาว“กรี๊ด!!”จางลี่กรีดร้องสุดเสียงเมื่อมันกระโจนเข้าหาแต่ยังไม่ทันถึงตัวกลับถูกคมธนูปักเข้าที่กลางหน้าผากจนหงายหลังล้มฟุบลงกับพื้นเลือดทะลักออกมาแดงฉาน“จางลี่”หลี่เจี๋ยวิ่งเข้าไปประคองร่างบางที่ทรุดลงหมดสติในอ้อมแขนของเขาทั้งที่มือแกร่งอีกข้างกุมคันธนูไว้มั่น“จางลี่...จางลี่”เขาพยายามเรียกแต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบ จางลี่หมดสติไปแล้วด้วยความตื่นตกใจ เขากอดนางเอาไว้แนบอกและจูบบนหน้าผากมนชื้นเหงื่อขณะกระซิบ“น้องสาวของพี่...พี่มาช่วยเจ้าแล้ว และนับแต่นี้จะมิมีวันทอดทิ้งเจ้าไปไหนอีก”จางลี่รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางความมึนงง นางค่อย ๆ ลืมตาตื่นและเห็นแสงสว่างสาดส่องไปทั่ว เมื่อรู้สึกตัวเต็มที่จึงเห็นเพดานคูหาถ้ำและเงาของใครคนหนึ่งวาบไหวไปมาบนนั้น นางค่อย ๆ พลิกตัวและมองเห็นแผ่นหลังกว้างของบุรุษผู้ซึ่งนางคุ้นเคย“องค์ชาย...”เสียงแหบเบาลอดออกมาจากริมฝีปากแห้งผา
จางลี่สะอื้นไห้ คิดถึงชีวิตแสนสุขสบายในวังหลวง นางอยู่แคว้นฉีมีแต่ความรื่นรมย์ มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ทำให้ต้องตัดสินใจเดินทางมายังเมืองหลู่ หากโอรสของพระชายาเอกมิต้องการได้นางเป็นอนุลับ ๆ นางอาจพบใครสักคนและมีชีวิตครอบครัวอยู่บ้านเกิดเมืองนอน แต่เมื่อคิดไปจางลี่กลับยิ่งรู้สึกเสียใจต่อความร้ายกาจของหลู่อ๋อง ก็ในเมื่อนางรักเขามากถึงเพียงนั้นจางลี่ยอมรับกับตัวเองแล้วว่านางรักองค์ชายหลี่เจี๋ย และยิ่งรู้ว่านางกับเขามิได้มีสายเลือดเดียวกันก็ยิ่งทำให้หลุดพ้นจากความคิดติดพันในเรื่องการเป็นญาติใกล้ชิดกัน นางเป็นอิสระที่จะรักเขา แต่แล้วราวสวรรค์แกล้งเมื่อไร้วาสนาได้ครองคู่เพราะความอิจฉาริษยาและยุแยงกลั่นแกล้งจากคนใกล้ตัวหลู่อ๋องชังนางยิ่งกว่าสิ่งใด ชาตินี้ถึงอย่างไรคงคงไร้วาสนาหนำซ้ำหากมิรีบหนีไปตอนนี้ลูกน้อยในครรภ์ก็อาจไม่มีโอกาสได้ลืมตาดูโลกก็เป็นได้ แต่แล้วจางลี่ก็ต้องระงับความคิดของนางเมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังเข้ามาใกล้ เป็นเสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับ มีคนเข้ามาที่นี่เช่นนั้นหรือ นางค่อย ๆ ขยับตัวและเยี่ยมหน้าออกไปจากด้านหลังโขดหินใหญ่หากต้องตกใจเมื่อเห็นแสงจากคบไฟใกล้เข้ามา“หล
“มิเกี่ยวกับท่านดอก หวังหย่ง...ทำใจให้สบายเถิด ทำตามหน้าที่ของท่านนนั้นถูกต้องที่สุดแล้ว”โม่โฉวกล่าวจบก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นหลู่อ๋องก้าวออกมาจากศาลเจ้าด้วยใบหน้าเคียดขึ้ง ทุกคนต้องรีบคุกเข่าลงอีกครั้ง“หวังหย่ง...ใยข้าจึงมิเห็นผู้ใดอยู่ในศาลเจ้า”“เป็นไปมิได้ดอกพะย่ะค่ะ หวางเฟยเพิ่งเข้าไปในศาลเจ้าก่อนหน้าที่พระองค์เสด็จมาเพียงครู่เดียวเท่านั้น”“ท่านหญิง...ท่านหญิงมิได้อยู่ในศาลเจ้าหรอกหรือเพคะ”หลินเจินหน้าตื่น นางลุกขึ้นและรีบวิ่งเข้าไปในศาลเจ้าก็เห็นแต่แท่นบูชาต่อหน้าเทพเจ้าที่มีเพียงร่องรอยธูปหลายอันปักในแจกันหากแต่เป็นธูปเก่าที่ไหม้จนหมดดอก มิมีอันใหม่ดังที่เข้าใจว่าพระธิดาจางลี่จะเข้ามาบูชาเทพเจ้าดังที่บอกไว้ เมื่อเห็นดังนั้นนางสนมก็ถึงกับหลั่งน้ำตา“พระธิดา...ไม่จริงหรอกนะเจ้าคะ...ท่านคงมิทำเช่นนั้น”“จางลี่อยู่ที่ไหน!”เสียงทรงอำนาจที่ดังขึ้นเบื้องหลังทำให้หลินเจินหันกลับไป นางทรุดลงนั่งและร้องไห้ออกมา“ฝ่าบาท...ฝ่าบาทเพคะ...พระธิดาของหม่อมฉันมิได้อยู่ที่นี่ พระธิดา...อาจจะหนีไปแล้วเพคะ”“ว่าอย่างไรนะ!”18วอนรักนั้นกลับคืนหลี่เจี๋ยชะงักงัน นัยน์ตาดำยาวรีสะท้อนความเจ็บปวด