ครั้งหนึ่ง.. เรา(เกือบ)เคยรักกัน

ครั้งหนึ่ง.. เรา(เกือบ)เคยรักกัน

last updateปรับปรุงล่าสุด : 2025-08-25
โดย:  ญาลดลอัปเดตเมื่อครู่นี้
ภาษา: Thai
goodnovel16goodnovel
คะแนนไม่เพียงพอ
5บท
4views
อ่าน
เพิ่มลงในห้องสมุด

แชร์:  

รายงาน
ภาพรวม
แค็ตตาล็อก
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป

ความรักคลาสสิคในยุค 90s ที่ไม่มีมือถือ ไม่มีโซเชียลมีเดีย และไม่มีแม้แต่อีเมล พวกเขาจะต้องทำอย่างไรเมื่อต้องแยกจากกันไปคนละไทม์โซน โดยไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีกเมื่อไหร่ แค่เพียง "จดหมาย" จะส่งถึงใครอีกคนที่อยู่คนละฟากฟ้าได้ไหม หรือสุดท้ายก็จะต้องเสียกันไป เพียงเพราะเราไม่ได้อยู่ในแผ่นฟ้าเดียวกัน

ดูเพิ่มเติม

บทที่ 1

บทที่ 1 ธาร

“No matter how far it drifts, the wind always returns—though never with what I’m hoping for.”

**Timeline ของเรื่องนี้ ถูกเซตติ้งขึ้นในปี 1999 นะคะ**

“ณัฐ” เสียงจากอาจารย์ที่ปรึกษา ที่รับหน้าที่ในการสอนในภาควิชา ทฤษฎีการสื่อสาร เรียกชื่อผมขึ้นก่อนที่ผมจะได้เดินออกจากห้องไป

“ครับอาจารย์” ผมขานรับ และเดินไปหาอาจารย์ที่กำลังเก็บของตัวเองออกจากโต๊ะ หลังจากที่เพื่อน ๆ ทุกคนเดินออกจากห้องไปหมดแล้ว

“ตามอาจารย์มาที่ห้องหน่อย” อาจารย์ดาราลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินนำผมไปยังห้องพักครูที่ตัวเองประจำอยู่

ผมเดินตามแกมาแบบงง ๆ ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่า ถึงได้ถูกเรียกตัวออกมาพบเดี่ยว ๆ แบบนี้

ทันทีที่เดินเข้ามาในห้องพักครู ผมก็เห็นเด็กชายคนหนึ่งที่คาดว่าคงจะรุ่นราวคราวเดียวกับผม หรือถ้าห่างก็คงไม่เกินสองสามปี เขาลุกขึ้นราวกับต้อนรับการมาของอาจารย์ดารา

“อาจารย์จะฝากให้เธอช่วยดูแลแทฮยอนหน่อย เขาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนมาจากเกาหลี จะมาอยู่ที่นี่ 1 ปี” อาจารย์พูดธุระที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องตามมาถึงที่นี่ ก่อนจะหันไปพูดกับนักเรียนแลกเปลี่ยนคนนั้นเป็นภาษาอังกฤษ

ผมค่อนข้างช็อคที่จู่ ๆ ก็ได้รับบทเป็นพี่เลี้ยงของนักศึกษาแลกเปลี่ยนไปซะอย่างนั้น จริง ๆ แล้วผมยังไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าจะดูแลเขาได้ดีตามที่อาจารย์คาดหวังไหม

“แทฮยอน คนนี้ชื่อณัฐนะ เขาจะคอยดูแลเธอตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ มีอะไรก็ถามเขาได้” แทฮยอนหันมาก้มหัวให้ผมเล็กน้อย คล้ายจะฝากตัวให้ผมดูแล ก่อนจะส่งยิ้มสดใสมาให้ ซึ่งทำเอาผมเผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว

.

.

.

“แทฮยอนอยากกินอะไรครับเที่ยงนี้ เดี๋ยวผมพาไปกิน” ผมหันไปหาคนตัวเล็กกว่าที่เดินตามผมมาจากห้องพักครู

เนื่องจากพักเที่ยงพอดี และผมต้องรับหน้าที่ดูแลนักเรียนแลกเปลี่ยนคนนี้ตามที่อาจารย์ฝากมา แต่จะพาเขาไปนั่งกินข้าวที่แคนทีนก็กลัวเขาจะไม่คุ้นเคยกับอาหารไทย แล้วจะไม่ยอมกิน จึงต้องถามก่อน

“เรากินอะไรก็ได้ ณัฐพาเราไปไหนก็ได้เลย” คนตัวเล็กตอบกลับมาด้วยคำตอบที่ไม่ค่อยจะถูกใจผมสักเท่าไหร่ เพราะการที่เขาตอบแบบนี้ มันหมายความว่าผมต้องเลือกให้น่ะสิ แล้วผมจะรู้ได้ไงเนี่ยว่าเขาจะกินอะไรได้บ้าง

“เคยกินอาหารไทยไหมครับ” ผมลองถามออกไป ก็แค่เผื่อ ๆ น่ะ เขาอาจจะเคยกินก็ได้ ใครจะรู้

“เคยครับ ๆ เราเคยกินอาหารไทยนะ อร่อยมาก” เจ้าตัวว่าพร้อมกับยกนิ้วโป้งขึ้นแสดงท่าทางประกอบ น่าเอ็นดูชะมัด

“งั้นถ้าผมพาคุณไปกินที่แคนทีน คุณจะกินได้ใช่ไหม” ผมถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง และแทฮยอนก็พยักหน้ารัว ๆ แทนคำตอบ เขาดูเป็นคนง่าย ๆ ดีนะ น่ารักดี

ผมพาแทฮยอนเดินไปยังตึกสองชั้นที่อยู่ห่างไปไม่ถึง 500 เมตร ตามทางเดินเท้ากว้างๆ ที่ทอดยาวไปจนถึงตึกดังกล่าว ที่เป็นที่ตั้งของโรงอาหาร ซึ่งเป็นศูนย์รวมของนักศึกษาทุกคณะ ตอนเที่ยงแบบนี้ไม่มีที่นั่งว่างง่ายๆ โต๊ะไม้ตัวยาวเรียงรายอยู่ใต้เพิงหลังคาโครงเหล็ก บางโต๊ะมีถาดข้าววางค้างไว้เพราะเจ้าของยังต่อคิวซื้อของกินกันอยู่ เสียงแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้าสลับกับเสียงตะหลิวกระทบกระทะดังเป็นจังหวะคุ้นเคย กลิ่นผัดกะเพราและต้มยำโชยมากับสายลมร้อน กลบกลิ่นแดดที่แผดเผาผิว

ทันทีที่เดินเข้ามาถึงด้านใน ร้านอาหารมากมายหลากหลายประเภทตั้งเรียงรายกันเป็นแถวอยู่ด้านหน้า คนตัวเล็กด้านหลังผมก็ดูจะตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศมากเสียจนความรู้สึกนั้นล้นออกมาจากทางสายตา แทฮยอนหันมองซ้ายขวาด้วยสายตาที่เต็มไปความตื่นเต้น ราวกับเด็กที่ได้เข้ามาในดินแดนมหัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยสิ่งของแปลกตา

ผมเดินไปหยุดหน้าร้านอาหารตามสั่งร้านประจำ ที่มากินไม่ต่ำกว่าอาทิตย์ละสามครั้ง

“รู้จักเมนูไหนบ้างไหมครับ หรือมีเมนูไหนที่อยากลองไหม” ผมหันไปหาคนตัวเล็กกว่าที่กำลังยืนอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่เพราะเมนูด้านหน้าล้วนมีแต่ภาษาไทย

“เรารู้จักผัดกะเพรา แต่เราเบื่อผัดกะเพราแล้ว ณัฐมีเมนูไหนแนะนำไหม” เขาหันมาถามผม

“ถ้างั้นต้องลองข้าวผัดหมูกรอบต้มยำครับ อร่อยแบบนี้เลย” ผมตอบเขาไปพร้อมกับยกนิ้วโป้งขึ้นมาทำท่าประกอบ เช่นเดียวกับที่เขาเคยทำกับผมก่อนที่เราจะเข้ามาที่นี่

แทฮยอนเห็นท่าทางของผมที่ดูคล้ายจะล้อเลียนเขาแล้วก็ขำออกมาเบา ๆ ก่อนจะตอบตกลงว่าจะสั่งเมนูที่ผมแนะนำ

“งั้นผมเอาข้าวผัดหมูกรอบต้มยำสองที่ครับป้า” ผมหันไปสั่งคุณป้าเจ้าของร้าน ป้าพยักหน้าแล้วยิ้มให้หนึ่งที ก่อนจะหายเข้ามุมครัวเล็ก ๆ ของเขาเพื่อไปทำอาหาร

ผมและแทฮยอนยืนรออยู่ด้านหน้าร้านสักพัก จนได้อาหารมื้อเที่ยงที่สั่งไว้มาในครอบครอง ผมใช้สายตากวาดจนทั่วแคนทีนเพื่อหาโต๊ะที่จะสามารถนั่งด้วยกันได้ ก่อนจะไปสะดุดตาที่โต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ด้านในสุด แม้จะต้องเดินไกลหน่อย แต่อย่างน้อยมันก็มีพื้นที่พอให้ผมกับแทฮยอนได้นั่งด้วยกันล่ะนะ คิดได้ดังนั้นจึงหันไปหาอีกคนแล้วพยักหน้าเป็นเชิงให้เดินตามมา

ทันทีที่ได้ที่นั่งแล้ว ทั้งผมและแทฮยอนก็ไม่รอช้า รีบจัดการกับมื้ออาหารตรงหน้าทันที

แทฮยอนยกมือขึ้นมาพัดเบา ๆ ใกล้กับใบหน้า คล้ายกับว่าอาหารที่กินเข้าไปนั้นมีรสชาติเผ็ดร้อนมากจนเกินไป และผมก็ลืมนึกไป ว่าอาหารไทยมันค่อนข้างเผ็ด ชาวต่างชาติอาจไม่คุ้นชินกับมันก็ได้

“เอ่อ.. ผมลืมสั่งเผ็ดน้อยให้เลย เดี๋ยวผมไปซื้อน้ำมาให้นะครับ รอตรงนี้แป๊บนึงนะแทฮยอน” ผมลุกลี้ลุกลนทันทีที่เห็นอาการของอีกคน ก่อนจะได้สติแล้วเอาตัวเองลุกจากที่นั่งเพื่อไปซื้อน้ำให้

ผมรีบวิ่งไปที่ร้านขายเครื่องดื่มแล้วซื้อน้ำเปล่ามาสองขวดเพื่อให้ตัวเองด้วย ก่อนจะยื่นขวดหนึ่งให้กับคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้และยังคงเอามือพัดตัวเอง

มือบางยื่นมารับขวดน้ำที่ผมยื่นให้ ก่อนจะยกมันขึ้นกระดกทีเดียวเกือบครึ่งขวด แล้วจึงวางมันลงและแลบลิ้นออกมาเล็กน้อยคล้ายต้องการระบายความเผ็ดร้อนที่อยู่ในปากออกไปให้หมด

“ผมขอโทษนะ ส่วนตัวผมเป็นคนกินเผ็ด เลยลืมสนิทเลยว่าจริง ๆ แล้วอาหารร้านนี้มันค่อนข้างจะเผ็ดสำหรับชาวต่างชาติ” ผมพูดหงอย ๆ

“ไม่เป็นไรณัฐ เราโอเค จริง ๆ มันอร่อยนะ เราว่าเพราะว่ามันเผ็ดแบบนี้นี่แหละ มันเลยอร่อย เราชอบมาก ๆ เลยนะ” คนตัวเล็กพูดโดยที่ไม่ลืมยิ้มให้ผมบาง ๆ เพื่อเป็นการยืนยันให้มั่นใจ

“แน่ใจนะครับ” ผมถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เพราะดูจากปฏิกิริยาแล้วผมว่าเขาก็คงทรมานไม่น้อยจากความเผ็ด

“แน่ใจสิ ณัฐหายห่วงได้เลย สบายมาก” ว่าแล้วก็ยกนิ้วโป้งขึ้นให้ผมดูอีกครั้ง ผมคิดว่าท่านี้คงได้เป็นท่าประจำเขาแน่ ๆ แต่ก็ดูเข้ากับเขาดีนะ เห็นแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้ทุกที

.

.

.

“อยากมีชื่อไทยไหม” ผมแกล้ง ๆ โยนหินถามทาง เพราะแอบคิดว่าชื่อเกาหลีของเขามันค่อนข้างจะยาวและเรียกยาก ถึงจะจำได้ แต่ก็ยังไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่

“อื้อ ๆ ๆ อยากนะ เราอยากให้ณัฐตั้งให้” และแน่นอนว่าเขาตอบตกลง

ผมยกมือตัวเองขึ้นลูบคางตัวเองเบา ๆ ในขณะกำลังใช้ความคิด ก่อนจะปิ๊งไอเดียชื่อน่ารัก ๆ ที่คิดว่าเหมาะกับเขามากที่สุดขึ้นมา

“ชื่อธาร ดีไหม” ผมหันไปดูปฏิกิริยาของคนข้าง ๆ ทันทีที่บอกชื่อออกไป เดาได้ว่าเขาคงไม่รู้หรอกว่าแปลว่าอะไร แต่คงถูกใจใช่เล่น เพราะแววตาของเขาตอนนี้ดูเปล่งประกายเสียเหลือเกิน

“เราชอบนะ ชื่อธาร คล้ายกับแทฮยอนเลย เราชอบชื่อนี้”

“ฮ่า ๆ โอเค ถ้าชอบผมก็ดีใจ งั้นต่อจากนี้เราเรียกแทฮยอนว่าธารนะ”

“ได้เลย! ถ้ามีใครถาม เราก็จะบอกว่าเราชื่อธารเหมือนกัน” ว่าแล้วเขาก็ยิ้มให้ผมอีกครั้ง

TBC.

แสดง
บทถัดไป
ดาวน์โหลด

บทล่าสุด

บทอื่นๆ

ความคิดเห็น

ไม่มีความคิดเห็น
5
บทที่ 1 ธาร
“No matter how far it drifts, the wind always returns—though never with what I’m hoping for.”**Timeline ของเรื่องนี้ ถูกเซตติ้งขึ้นในปี 1999 นะคะ**“ณัฐ” เสียงจากอาจารย์ที่ปรึกษา ที่รับหน้าที่ในการสอนในภาควิชา ทฤษฎีการสื่อสาร เรียกชื่อผมขึ้นก่อนที่ผมจะได้เดินออกจากห้องไป“ครับอาจารย์” ผมขานรับ และเดินไปหาอาจารย์ที่กำลังเก็บของตัวเองออกจากโต๊ะ หลังจากที่เพื่อน ๆ ทุกคนเดินออกจากห้องไปหมดแล้ว“ตามอาจารย์มาที่ห้องหน่อย” อาจารย์ดาราลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินนำผมไปยังห้องพักครูที่ตัวเองประจำอยู่ผมเดินตามแกมาแบบงง ๆ ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่า ถึงได้ถูกเรียกตัวออกมาพบเดี่ยว ๆ แบบนี้ทันทีที่เดินเข้ามาในห้องพักครู ผมก็เห็นเด็กชายคนหนึ่งที่คาดว่าคงจะรุ่นราวคราวเดียวกับผม หรือถ้าห่างก็คงไม่เกินสองสามปี เขาลุกขึ้นราวกับต้อนรับการมาของอาจารย์ดารา“อาจารย์จะฝากให้เธอช่วยดูแลแทฮยอนหน่อย เขาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนมาจากเกาหลี จะมาอยู่ที่นี่ 1 ปี” อาจารย์พูดธุระที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องตามมาถึงที่นี่ ก่อนจะหันไปพูดกับนักเรียนแลกเปลี่ยนคนนั้นเป็นภาษาอังกฤษผมค่อนข้างช็อคที่จู่ ๆ ก็ได้รับบทเป็นพี
last updateปรับปรุงล่าสุด : 2025-08-25
อ่านเพิ่มเติม
บทที่ 2 สายลม แสงแดด และคุณ
“No matter how far it drifts, the wind always returns—though never with what I’m hoping for.”ระยะเวลา 3 เดือนผ่านไปไวราวกับโกหก ผมมีโอกาสได้เรียนคลาสเดียวกับธารบ้างเป็นครั้งคราว แต่ถึงแม้ว่าบางคลาสจะไม่ได้เรียนตรงกัน เราก็ยังคงนัดเจอกันทุกครั้งหลังจากที่เลิกเรียน โชคดีที่ตัวผมเองก็เป็นเด็กหอใน และธารก็ต้องอยู่หอพักของมหาลัยด้วยเช่นกัน จึงทำให้เราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันค่อนข้างบ่อย อาทิเช่นวันหยุด ก็มักจะพากันออกมาเดินเล่นข้างนอก หรือถ้ามีโอกาส ผมก็พาธารมาเที่ยวบ้าง เพื่อจะได้เรียนรู้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนไทยตามที่เจ้าตัวเขาตั้งใจไว้ในการเลือกมาเรียนที่นี่ เช่นวันนี้“เอ๊ะ ทำไมวันนี้มีจักรยานด้วยล่ะ” ธารหันมาถามเมื่อเห็นผมเดินจูงจักรยานมาถึงสองคัน“วันนี้ผมจะพาธารไปหาของกินที่ที่หนึ่งครับ มีอาหารพื้นเมืองเต็มไปหมดเลย ธารต้องชอบแน่ ๆ แล้วเดี๋ยวตอนเย็น เราไปดูพระอาทิตย์ตกที่สะพานพระรามแปดกัน” ผมตอบยิ้ม ๆ แอบตื่นเต้นนิดหน่อยที่ต้องเป็นไกด์นำเที่ยวด้วยจักรยานแบบนี้ แม้ว่ามันจะอันตรายกว่าการขึ้นรถเมล์ แต่ผมคิดว่ามันก็คงสนุกไปอีกแบบ และธารคงจะชอบ ผมคิดว่างั้นนะ“จริงเหรอ!? น่าตื่นเต้นแฮะ แ
last updateปรับปรุงล่าสุด : 2025-08-25
อ่านเพิ่มเติม
บทที่ 3 ยินดีที่ได้รู้จัก
“No matter how far it drifts, the wind always returns—though never with what I’m hoping for.”เวลาหนึ่งปีหมุนไปไวเกินกว่าที่ผมจะทำใจรับทัน เมื่อมองปฏิทิน ก็เพิ่งได้พบว่า เหลืออีกเพียงไม่กี่สัปดาห์ ธารก็ต้องกลับประเทศของตัวเองแล้วตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา การได้อยู่กับธารมันทำให้ผมมีความสุขมากเสียจนแทบจะลืมการใช้ชีวิตคนเดียวไปเลย เขาสดใสและมีพลังบวก และมันเผื่อแผ่มาถึงผมเสมอ ผมเริ่มตระหนักได้ว่าการมีอยู่ของเขามันมีผลกับผมมากแค่ไหนก็ประมาณช่วงเดือนที่สี่ หลังจากการไปวังหลังด้วยกันในวันนั้น มันทำให้ผมกลับมานั่งตกตะกอนกับตัวเองว่าความรู้สึกที่ลึกซึ้งแบบนี้มันคืออะไรกันแน่ ทั้งความโลภที่อยากครอบครองรอยยิ้มที่แสนสดใสนั้นไว้เพียงคนเดียว ทั้งความคิดที่คอยภาวนาให้รอยยิ้มของเขามาจากผมบ้าง อีกทั้งผมยังมักจะคอยหาเรื่องให้ได้เจอเขาตลอดในทุก ๆ วันอีก จนผมได้คำตอบจากการเฝ้าถามตัวเองซ้ำ ๆ อยู่ร่วมเดือน ว่าผมคงตกหลุมรักแทฮยอน หรือธารเข้าแล้วเสียเต็มเปาผมได้แต่เก็บความรู้สึกนั้นไว้ในใจคนเดียว ไม่กล้าเอามันไปเสี่ยงกับเขา เพราะผมไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้กับเพศเดียวกันมันจะถูกต้องแค่ไหน และเขาจะรับมันไว้ได้
last updateปรับปรุงล่าสุด : 2025-08-25
อ่านเพิ่มเติม
บทที่ 4 จดหมายฉบับแรก
“No matter how far it drifts, the wind always returns—though never with what I’m hoping for.”“สวัสดีธาร อยู่ทางนั้นเป็นไงบ้าง อากาศหนาวไหม แต่ที่ไทยก็ยังร้อนเหมือนเคย อยากลองไปสัมผัสอากาศที่เกาหลีบ้างเลยว่าจะเป็นยังไง อ้อ อาจารย์ดาราบ่นถึงธารด้วยนะ แต่เป็นการบ่นถึงธารที่พาดพิงผมซะมากกว่า ฮ่า ๆ แกบอกว่าพอธารไม่อยู่แล้วผมก็กลับไปเงียบเหมือนเดิม ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่อย่างที่ธารน่าจะพอรู้ ก็คือปกติผมไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ พอธารไม่อยู่ ผมเลยไม่รู้จะคุยกับใคร อิจฉาธารเลยที่เป็นคนปฏิสัมพันธ์กับคนเก่ง ถ้าผมทำได้เหมือนธารก็คงจะดีอยู่ที่นั่นก็อย่าลืมดูแลตัวเองดี ๆ นะครับคิดถึงเสมอณัฐ”จดหมายพร้อมโปสการ์ดรูปประเทศไทยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ถูกปิดผนึกไว้ในซองขาวซองเดียวกัน จ่าหน้าซองถึงคนที่อยู่ห่างไปอีกหลายช่วงเวลา ในใจผมตื่นเต้นลึก ๆ เพราะไม่เคยเขียนจดหมายถึงใครมาก่อน และฉบับนี้เป็นฉบับแรกในชีวิต และมันกำลังจะถูกส่งไปถึงคนที่ผมชอบใจจริงผมอยากจะเขียนไปหาเขาตั้งแต่เดือนแรกแล้วด้วยซ้ำ แต่พยายามเขียนแล้วก็ไม่รู้ว่าจะต้องเขียนว่าอะไร ในหัวมีแต่ความว่างเปล่า ผมรู้แค่ว่าคิดถึงเขา อยากคุยด้วย แต
last updateปรับปรุงล่าสุด : 2025-08-25
อ่านเพิ่มเติม
บทที่ 5 แค่เพียงสายลมพัดผ่าน
“No matter how far it drifts, the wind always returns—though never with what I’m hoping for.”ระยะเวลาผ่านไปเกือบทศวรรษ เลขศักราชเปลี่ยนผัน จากยุค 1990s สู่ปี 2000s ภายในระยะเวลาไม่ถึงสิบปี โลกนี้เปลี่ยนแปลงไปมากมายจนบางทีผมก็ตามแทบไม่ทัน ทั้งมือถือที่เล็กลงจนมีขนาดเพียงเท่าฝ่ามือ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในทุก ๆ สำนักงาน อีเมล หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ที่เข้ามาแทนที่การเขียนจดหมาย เพียงเพราะมันส่งถึงปลายทางได้ไว ถึงขั้นที่แม้จะอยู่ห่างกันคนละฝั่งของโลก ก็ยังคงได้รับมันภายในระยะเวลาไม่กี่นาที อีกทั้งตู้โทรศัพท์หยอดเหรียญที่ค่อย ๆ ทยอยหายไปเรื่อย ๆ นั่นอีก รวมถึงตัวผม ที่เปลี่ยนผ่านจากวัยเรียน เข้าสู่วัยทำงานอย่างเต็มตัว“ขอให้สนุกกับการเที่ยวนะณัฐ” พี่จอย รุ่นพี่ที่ทำงานกล่าวอวยพรผมเมื่อเห็นว่าผมกำลังเก็บกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้านทันทีที่เลิกงาน“ครับพี่จอย” ผมตอบรับยิ้ม ๆ“เจอสาวสวย ๆ ก็อย่าลืมเก็บมาฝากบ้างล่ะณัฐ อย่าเก็บไว้กินคนเดียว” พี่ยอด ผู้คุมตำแหน่งหัวหน้าสูงสุดในแผนกนี้เอ่ยแซวผม ผมฮัมขำเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับไปที“งั้นผมขอตัวนะครับทุกคน อีก 1 สัปดาห์เจอกันครับ”
last updateปรับปรุงล่าสุด : 2025-08-25
อ่านเพิ่มเติม
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status