ความรักคลาสสิคในยุค 90s ที่ไม่มีมือถือ ไม่มีโซเชียลมีเดีย และไม่มีแม้แต่อีเมล พวกเขาจะต้องทำอย่างไรเมื่อต้องแยกจากกันไปคนละไทม์โซน โดยไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีกเมื่อไหร่ แค่เพียง "จดหมาย" จะส่งถึงใครอีกคนที่อยู่คนละฟากฟ้าได้ไหม หรือสุดท้ายก็จะต้องเสียกันไป เพียงเพราะเราไม่ได้อยู่ในแผ่นฟ้าเดียวกัน
ดูเพิ่มเติม“No matter how far it drifts, the wind always returns—though never with what I’m hoping for.”
**Timeline ของเรื่องนี้ ถูกเซตติ้งขึ้นในปี 1999 นะคะ**
“ณัฐ” เสียงจากอาจารย์ที่ปรึกษา ที่รับหน้าที่ในการสอนในภาควิชา ทฤษฎีการสื่อสาร เรียกชื่อผมขึ้นก่อนที่ผมจะได้เดินออกจากห้องไป
“ครับอาจารย์” ผมขานรับ และเดินไปหาอาจารย์ที่กำลังเก็บของตัวเองออกจากโต๊ะ หลังจากที่เพื่อน ๆ ทุกคนเดินออกจากห้องไปหมดแล้ว
“ตามอาจารย์มาที่ห้องหน่อย” อาจารย์ดาราลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินนำผมไปยังห้องพักครูที่ตัวเองประจำอยู่
ผมเดินตามแกมาแบบงง ๆ ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่า ถึงได้ถูกเรียกตัวออกมาพบเดี่ยว ๆ แบบนี้
ทันทีที่เดินเข้ามาในห้องพักครู ผมก็เห็นเด็กชายคนหนึ่งที่คาดว่าคงจะรุ่นราวคราวเดียวกับผม หรือถ้าห่างก็คงไม่เกินสองสามปี เขาลุกขึ้นราวกับต้อนรับการมาของอาจารย์ดารา
“อาจารย์จะฝากให้เธอช่วยดูแลแทฮยอนหน่อย เขาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนมาจากเกาหลี จะมาอยู่ที่นี่ 1 ปี” อาจารย์พูดธุระที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องตามมาถึงที่นี่ ก่อนจะหันไปพูดกับนักเรียนแลกเปลี่ยนคนนั้นเป็นภาษาอังกฤษ
ผมค่อนข้างช็อคที่จู่ ๆ ก็ได้รับบทเป็นพี่เลี้ยงของนักศึกษาแลกเปลี่ยนไปซะอย่างนั้น จริง ๆ แล้วผมยังไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าจะดูแลเขาได้ดีตามที่อาจารย์คาดหวังไหม
“แทฮยอน คนนี้ชื่อณัฐนะ เขาจะคอยดูแลเธอตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ มีอะไรก็ถามเขาได้” แทฮยอนหันมาก้มหัวให้ผมเล็กน้อย คล้ายจะฝากตัวให้ผมดูแล ก่อนจะส่งยิ้มสดใสมาให้ ซึ่งทำเอาผมเผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว
.
.
.
“แทฮยอนอยากกินอะไรครับเที่ยงนี้ เดี๋ยวผมพาไปกิน” ผมหันไปหาคนตัวเล็กกว่าที่เดินตามผมมาจากห้องพักครู
เนื่องจากพักเที่ยงพอดี และผมต้องรับหน้าที่ดูแลนักเรียนแลกเปลี่ยนคนนี้ตามที่อาจารย์ฝากมา แต่จะพาเขาไปนั่งกินข้าวที่แคนทีนก็กลัวเขาจะไม่คุ้นเคยกับอาหารไทย แล้วจะไม่ยอมกิน จึงต้องถามก่อน
“เรากินอะไรก็ได้ ณัฐพาเราไปไหนก็ได้เลย” คนตัวเล็กตอบกลับมาด้วยคำตอบที่ไม่ค่อยจะถูกใจผมสักเท่าไหร่ เพราะการที่เขาตอบแบบนี้ มันหมายความว่าผมต้องเลือกให้น่ะสิ แล้วผมจะรู้ได้ไงเนี่ยว่าเขาจะกินอะไรได้บ้าง
“เคยกินอาหารไทยไหมครับ” ผมลองถามออกไป ก็แค่เผื่อ ๆ น่ะ เขาอาจจะเคยกินก็ได้ ใครจะรู้
“เคยครับ ๆ เราเคยกินอาหารไทยนะ อร่อยมาก” เจ้าตัวว่าพร้อมกับยกนิ้วโป้งขึ้นแสดงท่าทางประกอบ น่าเอ็นดูชะมัด
“งั้นถ้าผมพาคุณไปกินที่แคนทีน คุณจะกินได้ใช่ไหม” ผมถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง และแทฮยอนก็พยักหน้ารัว ๆ แทนคำตอบ เขาดูเป็นคนง่าย ๆ ดีนะ น่ารักดี
ผมพาแทฮยอนเดินไปยังตึกสองชั้นที่อยู่ห่างไปไม่ถึง 500 เมตร ตามทางเดินเท้ากว้างๆ ที่ทอดยาวไปจนถึงตึกดังกล่าว ที่เป็นที่ตั้งของโรงอาหาร ซึ่งเป็นศูนย์รวมของนักศึกษาทุกคณะ ตอนเที่ยงแบบนี้ไม่มีที่นั่งว่างง่ายๆ โต๊ะไม้ตัวยาวเรียงรายอยู่ใต้เพิงหลังคาโครงเหล็ก บางโต๊ะมีถาดข้าววางค้างไว้เพราะเจ้าของยังต่อคิวซื้อของกินกันอยู่ เสียงแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้าสลับกับเสียงตะหลิวกระทบกระทะดังเป็นจังหวะคุ้นเคย กลิ่นผัดกะเพราและต้มยำโชยมากับสายลมร้อน กลบกลิ่นแดดที่แผดเผาผิว
ทันทีที่เดินเข้ามาถึงด้านใน ร้านอาหารมากมายหลากหลายประเภทตั้งเรียงรายกันเป็นแถวอยู่ด้านหน้า คนตัวเล็กด้านหลังผมก็ดูจะตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศมากเสียจนความรู้สึกนั้นล้นออกมาจากทางสายตา แทฮยอนหันมองซ้ายขวาด้วยสายตาที่เต็มไปความตื่นเต้น ราวกับเด็กที่ได้เข้ามาในดินแดนมหัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยสิ่งของแปลกตา
ผมเดินไปหยุดหน้าร้านอาหารตามสั่งร้านประจำ ที่มากินไม่ต่ำกว่าอาทิตย์ละสามครั้ง
“รู้จักเมนูไหนบ้างไหมครับ หรือมีเมนูไหนที่อยากลองไหม” ผมหันไปหาคนตัวเล็กกว่าที่กำลังยืนอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่เพราะเมนูด้านหน้าล้วนมีแต่ภาษาไทย
“เรารู้จักผัดกะเพรา แต่เราเบื่อผัดกะเพราแล้ว ณัฐมีเมนูไหนแนะนำไหม” เขาหันมาถามผม
“ถ้างั้นต้องลองข้าวผัดหมูกรอบต้มยำครับ อร่อยแบบนี้เลย” ผมตอบเขาไปพร้อมกับยกนิ้วโป้งขึ้นมาทำท่าประกอบ เช่นเดียวกับที่เขาเคยทำกับผมก่อนที่เราจะเข้ามาที่นี่
แทฮยอนเห็นท่าทางของผมที่ดูคล้ายจะล้อเลียนเขาแล้วก็ขำออกมาเบา ๆ ก่อนจะตอบตกลงว่าจะสั่งเมนูที่ผมแนะนำ
“งั้นผมเอาข้าวผัดหมูกรอบต้มยำสองที่ครับป้า” ผมหันไปสั่งคุณป้าเจ้าของร้าน ป้าพยักหน้าแล้วยิ้มให้หนึ่งที ก่อนจะหายเข้ามุมครัวเล็ก ๆ ของเขาเพื่อไปทำอาหาร
ผมและแทฮยอนยืนรออยู่ด้านหน้าร้านสักพัก จนได้อาหารมื้อเที่ยงที่สั่งไว้มาในครอบครอง ผมใช้สายตากวาดจนทั่วแคนทีนเพื่อหาโต๊ะที่จะสามารถนั่งด้วยกันได้ ก่อนจะไปสะดุดตาที่โต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ด้านในสุด แม้จะต้องเดินไกลหน่อย แต่อย่างน้อยมันก็มีพื้นที่พอให้ผมกับแทฮยอนได้นั่งด้วยกันล่ะนะ คิดได้ดังนั้นจึงหันไปหาอีกคนแล้วพยักหน้าเป็นเชิงให้เดินตามมา
ทันทีที่ได้ที่นั่งแล้ว ทั้งผมและแทฮยอนก็ไม่รอช้า รีบจัดการกับมื้ออาหารตรงหน้าทันที
แทฮยอนยกมือขึ้นมาพัดเบา ๆ ใกล้กับใบหน้า คล้ายกับว่าอาหารที่กินเข้าไปนั้นมีรสชาติเผ็ดร้อนมากจนเกินไป และผมก็ลืมนึกไป ว่าอาหารไทยมันค่อนข้างเผ็ด ชาวต่างชาติอาจไม่คุ้นชินกับมันก็ได้
“เอ่อ.. ผมลืมสั่งเผ็ดน้อยให้เลย เดี๋ยวผมไปซื้อน้ำมาให้นะครับ รอตรงนี้แป๊บนึงนะแทฮยอน” ผมลุกลี้ลุกลนทันทีที่เห็นอาการของอีกคน ก่อนจะได้สติแล้วเอาตัวเองลุกจากที่นั่งเพื่อไปซื้อน้ำให้
ผมรีบวิ่งไปที่ร้านขายเครื่องดื่มแล้วซื้อน้ำเปล่ามาสองขวดเพื่อให้ตัวเองด้วย ก่อนจะยื่นขวดหนึ่งให้กับคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้และยังคงเอามือพัดตัวเอง
มือบางยื่นมารับขวดน้ำที่ผมยื่นให้ ก่อนจะยกมันขึ้นกระดกทีเดียวเกือบครึ่งขวด แล้วจึงวางมันลงและแลบลิ้นออกมาเล็กน้อยคล้ายต้องการระบายความเผ็ดร้อนที่อยู่ในปากออกไปให้หมด
“ผมขอโทษนะ ส่วนตัวผมเป็นคนกินเผ็ด เลยลืมสนิทเลยว่าจริง ๆ แล้วอาหารร้านนี้มันค่อนข้างจะเผ็ดสำหรับชาวต่างชาติ” ผมพูดหงอย ๆ
“ไม่เป็นไรณัฐ เราโอเค จริง ๆ มันอร่อยนะ เราว่าเพราะว่ามันเผ็ดแบบนี้นี่แหละ มันเลยอร่อย เราชอบมาก ๆ เลยนะ” คนตัวเล็กพูดโดยที่ไม่ลืมยิ้มให้ผมบาง ๆ เพื่อเป็นการยืนยันให้มั่นใจ
“แน่ใจนะครับ” ผมถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เพราะดูจากปฏิกิริยาแล้วผมว่าเขาก็คงทรมานไม่น้อยจากความเผ็ด
“แน่ใจสิ ณัฐหายห่วงได้เลย สบายมาก” ว่าแล้วก็ยกนิ้วโป้งขึ้นให้ผมดูอีกครั้ง ผมคิดว่าท่านี้คงได้เป็นท่าประจำเขาแน่ ๆ แต่ก็ดูเข้ากับเขาดีนะ เห็นแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้ทุกที
.
.
.
“อยากมีชื่อไทยไหม” ผมแกล้ง ๆ โยนหินถามทาง เพราะแอบคิดว่าชื่อเกาหลีของเขามันค่อนข้างจะยาวและเรียกยาก ถึงจะจำได้ แต่ก็ยังไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่
“อื้อ ๆ ๆ อยากนะ เราอยากให้ณัฐตั้งให้” และแน่นอนว่าเขาตอบตกลง
ผมยกมือตัวเองขึ้นลูบคางตัวเองเบา ๆ ในขณะกำลังใช้ความคิด ก่อนจะปิ๊งไอเดียชื่อน่ารัก ๆ ที่คิดว่าเหมาะกับเขามากที่สุดขึ้นมา
“ชื่อธาร ดีไหม” ผมหันไปดูปฏิกิริยาของคนข้าง ๆ ทันทีที่บอกชื่อออกไป เดาได้ว่าเขาคงไม่รู้หรอกว่าแปลว่าอะไร แต่คงถูกใจใช่เล่น เพราะแววตาของเขาตอนนี้ดูเปล่งประกายเสียเหลือเกิน
“เราชอบนะ ชื่อธาร คล้ายกับแทฮยอนเลย เราชอบชื่อนี้”
“ฮ่า ๆ โอเค ถ้าชอบผมก็ดีใจ งั้นต่อจากนี้เราเรียกแทฮยอนว่าธารนะ”
“ได้เลย! ถ้ามีใครถาม เราก็จะบอกว่าเราชื่อธารเหมือนกัน” ว่าแล้วเขาก็ยิ้มให้ผมอีกครั้ง
TBC.
“No matter how far it drifts, the wind always returns—though never with what I’m hoping for.”ระยะเวลาผ่านไปเกือบทศวรรษ เลขศักราชเปลี่ยนผัน จากยุค 1990s สู่ปี 2000s ภายในระยะเวลาไม่ถึงสิบปี โลกนี้เปลี่ยนแปลงไปมากมายจนบางทีผมก็ตามแทบไม่ทัน ทั้งมือถือที่เล็กลงจนมีขนาดเพียงเท่าฝ่ามือ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในทุก ๆ สำนักงาน อีเมล หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ที่เข้ามาแทนที่การเขียนจดหมาย เพียงเพราะมันส่งถึงปลายทางได้ไว ถึงขั้นที่แม้จะอยู่ห่างกันคนละฝั่งของโลก ก็ยังคงได้รับมันภายในระยะเวลาไม่กี่นาที อีกทั้งตู้โทรศัพท์หยอดเหรียญที่ค่อย ๆ ทยอยหายไปเรื่อย ๆ นั่นอีก รวมถึงตัวผม ที่เปลี่ยนผ่านจากวัยเรียน เข้าสู่วัยทำงานอย่างเต็มตัว“ขอให้สนุกกับการเที่ยวนะณัฐ” พี่จอย รุ่นพี่ที่ทำงานกล่าวอวยพรผมเมื่อเห็นว่าผมกำลังเก็บกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้านทันทีที่เลิกงาน“ครับพี่จอย” ผมตอบรับยิ้ม ๆ“เจอสาวสวย ๆ ก็อย่าลืมเก็บมาฝากบ้างล่ะณัฐ อย่าเก็บไว้กินคนเดียว” พี่ยอด ผู้คุมตำแหน่งหัวหน้าสูงสุดในแผนกนี้เอ่ยแซวผม ผมฮัมขำเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับไปที“งั้นผมขอตัวนะครับทุกคน อีก 1 สัปดาห์เจอกันครับ”
“No matter how far it drifts, the wind always returns—though never with what I’m hoping for.”“สวัสดีธาร อยู่ทางนั้นเป็นไงบ้าง อากาศหนาวไหม แต่ที่ไทยก็ยังร้อนเหมือนเคย อยากลองไปสัมผัสอากาศที่เกาหลีบ้างเลยว่าจะเป็นยังไง อ้อ อาจารย์ดาราบ่นถึงธารด้วยนะ แต่เป็นการบ่นถึงธารที่พาดพิงผมซะมากกว่า ฮ่า ๆ แกบอกว่าพอธารไม่อยู่แล้วผมก็กลับไปเงียบเหมือนเดิม ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่อย่างที่ธารน่าจะพอรู้ ก็คือปกติผมไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ พอธารไม่อยู่ ผมเลยไม่รู้จะคุยกับใคร อิจฉาธารเลยที่เป็นคนปฏิสัมพันธ์กับคนเก่ง ถ้าผมทำได้เหมือนธารก็คงจะดีอยู่ที่นั่นก็อย่าลืมดูแลตัวเองดี ๆ นะครับคิดถึงเสมอณัฐ”จดหมายพร้อมโปสการ์ดรูปประเทศไทยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ถูกปิดผนึกไว้ในซองขาวซองเดียวกัน จ่าหน้าซองถึงคนที่อยู่ห่างไปอีกหลายช่วงเวลา ในใจผมตื่นเต้นลึก ๆ เพราะไม่เคยเขียนจดหมายถึงใครมาก่อน และฉบับนี้เป็นฉบับแรกในชีวิต และมันกำลังจะถูกส่งไปถึงคนที่ผมชอบใจจริงผมอยากจะเขียนไปหาเขาตั้งแต่เดือนแรกแล้วด้วยซ้ำ แต่พยายามเขียนแล้วก็ไม่รู้ว่าจะต้องเขียนว่าอะไร ในหัวมีแต่ความว่างเปล่า ผมรู้แค่ว่าคิดถึงเขา อยากคุยด้วย แต
“No matter how far it drifts, the wind always returns—though never with what I’m hoping for.”เวลาหนึ่งปีหมุนไปไวเกินกว่าที่ผมจะทำใจรับทัน เมื่อมองปฏิทิน ก็เพิ่งได้พบว่า เหลืออีกเพียงไม่กี่สัปดาห์ ธารก็ต้องกลับประเทศของตัวเองแล้วตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา การได้อยู่กับธารมันทำให้ผมมีความสุขมากเสียจนแทบจะลืมการใช้ชีวิตคนเดียวไปเลย เขาสดใสและมีพลังบวก และมันเผื่อแผ่มาถึงผมเสมอ ผมเริ่มตระหนักได้ว่าการมีอยู่ของเขามันมีผลกับผมมากแค่ไหนก็ประมาณช่วงเดือนที่สี่ หลังจากการไปวังหลังด้วยกันในวันนั้น มันทำให้ผมกลับมานั่งตกตะกอนกับตัวเองว่าความรู้สึกที่ลึกซึ้งแบบนี้มันคืออะไรกันแน่ ทั้งความโลภที่อยากครอบครองรอยยิ้มที่แสนสดใสนั้นไว้เพียงคนเดียว ทั้งความคิดที่คอยภาวนาให้รอยยิ้มของเขามาจากผมบ้าง อีกทั้งผมยังมักจะคอยหาเรื่องให้ได้เจอเขาตลอดในทุก ๆ วันอีก จนผมได้คำตอบจากการเฝ้าถามตัวเองซ้ำ ๆ อยู่ร่วมเดือน ว่าผมคงตกหลุมรักแทฮยอน หรือธารเข้าแล้วเสียเต็มเปาผมได้แต่เก็บความรู้สึกนั้นไว้ในใจคนเดียว ไม่กล้าเอามันไปเสี่ยงกับเขา เพราะผมไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้กับเพศเดียวกันมันจะถูกต้องแค่ไหน และเขาจะรับมันไว้ได้
“No matter how far it drifts, the wind always returns—though never with what I’m hoping for.”ระยะเวลา 3 เดือนผ่านไปไวราวกับโกหก ผมมีโอกาสได้เรียนคลาสเดียวกับธารบ้างเป็นครั้งคราว แต่ถึงแม้ว่าบางคลาสจะไม่ได้เรียนตรงกัน เราก็ยังคงนัดเจอกันทุกครั้งหลังจากที่เลิกเรียน โชคดีที่ตัวผมเองก็เป็นเด็กหอใน และธารก็ต้องอยู่หอพักของมหาลัยด้วยเช่นกัน จึงทำให้เราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันค่อนข้างบ่อย อาทิเช่นวันหยุด ก็มักจะพากันออกมาเดินเล่นข้างนอก หรือถ้ามีโอกาส ผมก็พาธารมาเที่ยวบ้าง เพื่อจะได้เรียนรู้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนไทยตามที่เจ้าตัวเขาตั้งใจไว้ในการเลือกมาเรียนที่นี่ เช่นวันนี้“เอ๊ะ ทำไมวันนี้มีจักรยานด้วยล่ะ” ธารหันมาถามเมื่อเห็นผมเดินจูงจักรยานมาถึงสองคัน“วันนี้ผมจะพาธารไปหาของกินที่ที่หนึ่งครับ มีอาหารพื้นเมืองเต็มไปหมดเลย ธารต้องชอบแน่ ๆ แล้วเดี๋ยวตอนเย็น เราไปดูพระอาทิตย์ตกที่สะพานพระรามแปดกัน” ผมตอบยิ้ม ๆ แอบตื่นเต้นนิดหน่อยที่ต้องเป็นไกด์นำเที่ยวด้วยจักรยานแบบนี้ แม้ว่ามันจะอันตรายกว่าการขึ้นรถเมล์ แต่ผมคิดว่ามันก็คงสนุกไปอีกแบบ และธารคงจะชอบ ผมคิดว่างั้นนะ“จริงเหรอ!? น่าตื่นเต้นแฮะ แ
“No matter how far it drifts, the wind always returns—though never with what I’m hoping for.”**Timeline ของเรื่องนี้ ถูกเซตติ้งขึ้นในปี 1999 นะคะ**“ณัฐ” เสียงจากอาจารย์ที่ปรึกษา ที่รับหน้าที่ในการสอนในภาควิชา ทฤษฎีการสื่อสาร เรียกชื่อผมขึ้นก่อนที่ผมจะได้เดินออกจากห้องไป“ครับอาจารย์” ผมขานรับ และเดินไปหาอาจารย์ที่กำลังเก็บของตัวเองออกจากโต๊ะ หลังจากที่เพื่อน ๆ ทุกคนเดินออกจากห้องไปหมดแล้ว“ตามอาจารย์มาที่ห้องหน่อย” อาจารย์ดาราลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินนำผมไปยังห้องพักครูที่ตัวเองประจำอยู่ผมเดินตามแกมาแบบงง ๆ ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่า ถึงได้ถูกเรียกตัวออกมาพบเดี่ยว ๆ แบบนี้ทันทีที่เดินเข้ามาในห้องพักครู ผมก็เห็นเด็กชายคนหนึ่งที่คาดว่าคงจะรุ่นราวคราวเดียวกับผม หรือถ้าห่างก็คงไม่เกินสองสามปี เขาลุกขึ้นราวกับต้อนรับการมาของอาจารย์ดารา“อาจารย์จะฝากให้เธอช่วยดูแลแทฮยอนหน่อย เขาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนมาจากเกาหลี จะมาอยู่ที่นี่ 1 ปี” อาจารย์พูดธุระที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องตามมาถึงที่นี่ ก่อนจะหันไปพูดกับนักเรียนแลกเปลี่ยนคนนั้นเป็นภาษาอังกฤษผมค่อนข้างช็อคที่จู่ ๆ ก็ได้รับบทเป็นพี
ความคิดเห็น