Share

โลกใบใหม่ 3

last update Terakhir Diperbarui: 2024-12-25 19:15:53

อาณาจักรหลิวเฟิง แผ่นดินนี้ไม่ใช่ดินแดนที่หลี่หลิงเฟิ่งรู้จัก ที่นี่ไม่เคยปรากฎขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์มาก่อน ถูกครอบครองด้วยผู้ฝึกพลังยุทธ์

อาณาจักรหลิวเฟิงแบ่งออกเป็นสี่แคว้นใหญ่ แคว้นตงเยว่ แคว้นจวิน แคว้นหลิวอวิ๋น และแคว้นเหลียน แต่ละแคว้นมีเมืองในเขตปกครองที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อแคว้นใหญ่อีกแปดเมือง โดยชื่อเมืองจะตั้งตามจวนตระกูลของเจ้าเมือง ซึ่งตระกูลหลี่เป็นตระกูลเจ้าเมืองหลี่และยังเป็นเมืองในปกครองของแคว้นหลิวอวิ๋น แผ่นดินของอาณาจักรหลิวเฟิงมีรูปลักษณ์เป็นวงกลม ตำแหน่งเขตแดนทั้งสี่แคว้นจะกั้นด้วยป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรดุร้าย ใจกลางอาณาจักรปกคลุมไปด้วยป่าทมิฬกาลและมีเทือกเขาลับแลที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรหายากและอันตราย เทือกเขาแห่งนี้ยังไม่เคยมีผู้ใดเหยียบย่างเข้าไปแล้วได้ออกมาเลยสักคน ล้วนแต่สังเวยชีวิตที่ป่าแห่งนั้นทั้งสิ้น

ยามลืมตาตื่นขึ้นมาในโลกแห่งใหม่ครั้งแรกหลี่หลิงเฟิ่งอยู่ในจวนเจ้าเมือง เพียงแต่เช้าวันรุ่งขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งถูกฮูหยินใหญ่ขับไล่ออกมาจากจวนให้มาอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ ทางฝั่งตะวันออกใกล้กับป่าอัศดงซึ่งคั่นอยู่ระหว่างกลางแคว้นหลิวอวิ๋นและแคว้นจวิน เล่าลือกันว่าป่าแห่งนี้มีสัตว์อสูรขั้นสูงอาศัยอยู่ หลายพันปีมานี้จึงไม่มีใครย่างกลายเข้าไปในเขตหวงห้ามแห่งนั้น เห็นได้ชัดว่าฮูหยินใหญ่คงอยากให้นางตายเร็วขึ้น นางจำได้ว่าคืนนั้นฝนตกหนักทั้งคืนราวกับฟ้ารั่ว เด็กสาวอายุสิบสองปีถูกเนรเทศออกมาท่ามกลางฝนที่ตกกระหน่ำ ถูกกล่าวหาว่าสังหารมารดาตัวเอง ฝนตกหนักสามวันสามคืน ร่างกายที่เดิมอ่อนแออยู่แล้ว ขาข้างหนึ่งเหยียบย่างเข้าสู่ปรโลก นางล้มป่วยอยู่บนเตียงราวครึ่งปี

หลี่หลิงเฟิ่งมาอยู่โลกนี้สามปีแล้ว ช่างบังเอิญว่านางมีชื่อเดียวกันกับเจ้าของร่างเดิม แตกต่างก็ตรงคำว่าหลิง*เท่านั้น บิดาที่รักบุตรคนใดจะตั้งชื่อให้ลูกสาวตัวเองไร้ค่าเช่นนี้

บิดาของนางคือหลี่จ้ง เจ้าเมืองตระกูลหลี่ทั้งยังมีศักดิ์เป็นน้องชายของเสนาบดีแห่งแคว้นหลิ๋วอวิ๋นอีกด้วย มารดาที่จบชีวิตตัวเองของนางนั้นคือชิงหลัว เป็นอนุภรรยาลำดับที่สามที่หลี่จ้งซื้อตัวมาจากหอนางโลม ส่วนนางคือคุณหนูห้าผู้ไร้พลังยุทธ์เป็นตัวโง่เขลาประจำตระกูลหลี่

ณ อาณาจักรหลิวเฟิงแห่งนี้ เด็กทุกคนที่มีพรสวรรค์สามารถฝึกพลังยุทธ์ได้ ตอนกำเนิดจะมีปรากฏการณ์แสดงถึงพื้นฐานของพลังที่แข็งแกร่งแตกต่างกันไป ทว่าคุณหนูห้านั้นกลับสงบนิ่งมีเพียงแสงสีขาววาบผ่านเท่านั้น พออายุสามขวบปีเด็กทุกคนจะต้องเข้ารับการทดสอบพลัง เพื่อกำหนดชะตากรรมของชีวิตและวิถีการฝึกฝนที่ถูกต้อง ในวันนั้นเองที่ทุกคนทั่วแคว้นล้วนรับรู้ว่านางเป็น ตัวไร้ค่า ที่ไม่มีพรสวรรค์สักอย่าง! และเป็นการขีดเขียนจุดเริ่มต้นโศกอนาฏกรรมของชีวิตที่บัดซบของนาง

ในดินแดนแห่งนี้มีการจัดลำดับขั้นพลังยุทธ์ไว้อย่างชัดเจน เพื่อประเมินระดับความแข็งแกร่งของแต่ละคน อันได้แก่ ขั้นกำเนิดใหม่ ขั้นหลอมรวม ขั้นนิลกาญจณ์ ขั้นพิภพ ขั้นนภา ขั้นปราชน์ และขั้นราชันย์ ในแต่ละลำดับยังจัดระดับพลังความแข็งแกร่งของร่ายกายไว้เช่นกัน คือ ระดับต่ำ ระดับกลาง และระดับสูง

นอกจากนี้ยังมีพลังธาตุที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์ ลำดับพลังธาตุที่แข็งแกร่งที่สุด คือ ธาตุน้ำแข็ง รองลงมาคือธาตุพลังทั่วไป ธาตุไฟ ธาตุน้ำ ธาตุดิน และธาตุลม สีของพลังยุทธ์จะสามารถระบุธาตุของผู้ฝึกยุทธ์ได้เป็นอย่างดี เช่นพลังยุทธ์สีแดงคือผู้ฝึกยุทธ์ธาตุไฟ แต่พลังของหลี่หลิงเฟิ่งคือสีขาวที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในดินแดนแห่งนี้ ผู้คนจึงจัดให้นางอยู่ในลำดับผู้ไร้พลังยุทธ์

หลี่หลิงเฟิ่งคลึงขมับอย่างเหนื่อยอ่อน ขณะจัดการกับข้อมูลในหัวที่นางได้ศึกษามาเป็นเวลาสามปี “จากที่ข้าสังเกต พลังยุทธ์ยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งสามารถควมคุมสัตว์อสูรได้ง่ายขึ้น ยามต่อสู้กับศัตรู ยิ่งสัตว์อสูรแข็งแกร่ง อานุภาพยิ่งไม่ต้องพูดถึง สัตว์อสูรทั่วไปนั้นหาง่าย เข้าไปจับเอาในป่าก็ได้มาแล้ว ทว่าผู้ควบคุมสัตว์อสูรนี่สิถึงจะเป็นได้ยากยิ่ง”

“น่าเสียดายที่ร่างนี้ฝึกพลังยุทธ์ไม่ได้ ต่อให้วางแผนมาดีแค่ไหน อยู่ใกล้ป่าอสูรนี่มากเท่าไหร่ ข้าก็เข้าไปจับพวกมันออกมาไม่ได้อยู่ดี นี่พระเจ้าเล่นตลกอะไรกัน ส่งข้ามาที่แห่งนี้แต่ทำไมไม่มีสกิลอะไรติดตัวมาบ้างเลย” ใช่ว่าเจ้าของร่างเดิมจะไม่เคยฝึกพลังยุทธ์เลย แต่ทุกครั้งที่ฝึกจะต้องเจ็บปวดที่จุดตันเถียนเสมอ ราวกับว่ามีสิ่งขวางกั้นไม่ให้พลังกายภายในเล็ดลอดออกมา

วันนั้นที่นางไม่ขัดขืนการจัดการของฮูหยินใหญ่เป็นเพราะนางกำลังสับสนกับสภาพแวดล้อมที่แปลกตา แต่นอกเหนือจากนั้นนางต้องการเวลาที่จะศึกษาดินแดนแห่งใหม่ และอาจเป็นเพราะโชคดีที่สถานที่แห่งนี้ใกล้กับป่าอัศดงที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรดุร้าย

ไม่แปลกใจเลยที่นางเป็นที่รังเกียจของทุกคน บิดาไม่แยแสความเป็นอยู่ของนาง ทุกคนค่อยๆ ลืมเลือนไม่สนใจว่านางจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ มารดาเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในเรือน ไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไป สุดท้ายก็คลุ้มคลั่งปลิดชีพตัวเองและบุตรสาวอย่างน่าเวทนา

คุณหนูห้าผู้น่าสงสารที่นางบังเอิญเก็บชีวิตมาแทนนี้ เมื่อก่อนจะเป็นคนไม่มีค่าอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อนางได้รับโอกาสให้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง จะเลวร้ายแค่ไหนคนอย่างนางก็ไม่มีวันยอมแพ้เป็นแน่

รอยยิ้มร้ายกาจพาดผ่านแววตา ชาติก่อนนางเคยฝึกฝนอย่างหนัก ตั้งแต่จำความได้ครอบครัวของนางก็ส่งนางไปให้กับรัฐบาลแล้ว ต่อให้ชาตินี้นางไม่มีพรสวรรค์ก็ต้องสร้างให้มันมีให้ได้! ใครกล่าวกันว่าต้องเป็นแค่ผู้มีพรสวรรค์เท่านั้นที่จะสามารถฝึกพลังยุทธ์ได้ สักวันนางจะต้องแข็งแกร่งขึ้น ตอนทะลุมิติเข้ามาวันแรก นางยังจำความรู้สึกที่ถูกทารุณกรรมนั้นได้ทุกอย่าง ต่อให้นางไม่มีความผูกพันกับเจ้าของร่างเดิม แต่นางก็เป็นคนรู้คุณคน ความเจ็บแค้นทุกอย่างนางจะช่วยชำระให้เอง

ทุกเย็นนางจะเดินแถวๆ ชายป่าอัสดงเผื่อสักวันจะได้เจอสัตว์อสูร พลางสำรวจพื้นที่รอบนอกปากทางเข้าป่าไปพลางๆ

หลี่หลิงเฟิ่งก้มหน้าถอนหายใจแผ่วเบาอย่างปลงตก นางมาอยู่ที่นี่ก็หลายปีแต่ไม่มีความคืบหน้าบ้างเลย ปรับตัวเข้ากับโลกแห่งใหม่ได้สมบูรณ์แล้วแต่นางยังไม่มีหนทางฝึกพลังยุทธ์ให้แข็งแกร่งขึ้นได้ยังไง อย่าว่าแต่ให้นางฝึกเลย เห็นทีเจ้าของร่างเดิมคงอาศัยครูพักลักจำมาแอบฝึกอย่างมั่วๆ สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวไม่ต่างอะไรกับลงทุนไปก็สูญเปล่า ไม่ได้กำไรตอบแทน ซ้ำยังต้องเจ็บตัวหรอกหรือ

ตูม!

เสียงกึกก้องที่ดังแว่วมาแต่ไกล หลี่หลิงเฟิ่งออกจากโหมดความคิด เงยหน้าขึ้นทอดสายตาไปในป่าทึบ แววตาฉายแววครุ่นคิด พลันเบิกตากว้าง แสงสีขาวนั่น!

แสงสีขาวพุ่งวาบผ่านสายตานางไป ไม่ทันได้ฉุกคิดสองเท้าก็วิ่งตามแสงนั่นไปทันที แสงนั่นช่างคล้ายกับแสงที่นางเห็นก่อนลาโลกในชาติก่อนมาก ไม่ได้การ ขืนวิ่งช้ากว่านี้ต้องไม่ทันแน่

แต่ต่อให้หลี่หลิงเฟิ่งวิ่งเร็วแค่ไหนก็ยังไม่ทันอยู่ดี สุดท้ายแสงนั่นก็หายไปจากสายตานาง

หลี่หลิงเฟิ่งยืนหอบหายใจ มองทิวทัศน์รอบด้าน ป่าอัศดงเป็นที่เล่าลือกันว่ากว้างใหญ่ไพศาลเป็นอันดับสองของแผ่นดินนี้ พื้นที่สลับซับซ้อน และเต็มไปด้วยสมุนไพรมากมาย

ทว่า นางมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากต้นไม้เก่าแก่สูงเสียดฟ้าเหล่านี้ เสียงสิงสาราสัตว์ตัวเล็กตัวใหญ่แข่งกันร้องลั่นผืนป่า หลี่หลิงเฟิ่งเบะปาก อย่างไรก็ตาม คำเล่าลือมักกล่าวเกินจริงเสมอ

ทว่าตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องแหลมของนกกรีดร้องเข้ามาใกล้ เปลวไฟร้อนระอุพ่นตรงมาที่หลี่หลิงเฟิ่ง ทำเอานางร้อนราวกับถูกไฟแผดเผาทั้งตัว ยามนี้สัตว์ตัวอื่นๆ ในละแวกใกล้เคียงต่างออกวิ่งกันคนละทิศคนละทาง หนีตายด้วยกลัวพลังอันน่าเกรงขามนี้ พากันกรีดร้องเสียงดังระงม

นี่มันนกประหลาดอะไร พ่นไฟได้ หญิงสาวอดพึมพำออกมาอย่างเสียไม่ได้

“สัตว์อสูร พ่นไฟได้ นก วิหคเพลิง!” ดวงตาของนางเหลือกขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “แย่แล้ว!” นี่ข้าไปทำอะไรให้พระเจ้าองค์ไหนโกรธหรือนี่ ถึงได้ซวยขนาดนี้

ก่อนที่วิหคเพลิงจะโฉบลงมาถึงตัวนางนั้น ไฟที่พ่นออกมาอย่างน่าหวาดผวาทำให้หัวใจของนางเต้นระรัว ความหวาดกลัวฉายชัดออกมาในแววตา ส่งผลให้สมองของนางไม่ทำงาน สัญชาตญาณการเอาตัวรอดจึงสั่งให้สองขาวิ่งหนีในทันที

เสียงกรีดร้องของวิหคเพลิงไล่มาตามหลัง เสียงนั้นเข้ามาใกล้นางเรื่อยๆ หลี่หลิงเฟิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น นี่คงเป็นการวิ่งที่เร็วที่สุดในชีวิตของนางแล้ว ในใจนางหดหู่ยิ่งนัก ความเร็วของเท้าไหนเลยจะสู้ปีกบิน สักพักคงโดนตามทันแน่

ไม่ได้! ต้องคิดหาทางสลัดมันออกไปก่อน แต่จะทำอย่างไรดี

มันไล่ตามหลังหญิงสาวอยู่ข้างหลังไปทั่วทุกทิศ ต้องยอมรับว่าการกระเสือกกระสนอยากมีชีวิตอยู่ของนางทำให้ความเร็วของฝีเท้านางตอนนี้ราวกับเหาะได้

เจ้าวิหคเพลิงไล่ตามหญิงสาวอยู่นานยังไม่มีวี่แววจะถึงตัวนางสักที ก็เริ่มหงุดหงิด มันกระพือปีกขึ้นลงด้วยความไม่พอใจที่จับมนุษย์ตัวเล็กๆ นี้ไม่ได้

แรงลมจากการกระพือปีกของมันสั่งผลให้หลี่หลิงเฟิ่งตัวลอยไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง หลังของนางกระทบกับลำต้นไม้อย่างแรง หลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกราวกับกระดูกแผ่นหลังแหลกละเอียด หน้าอกเหมือนถูกของหนักๆ ทุ่มใส่ รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก มือข้างหนึ่งยันพื้น อีกข้างกุมหน้าอก ลำคอของนางฝืดเฝื่อน เลือดสดๆ ทะลักออกจากปากโดยไม่รู้ตัว

“อึก”

วิหคเพลิงไล่ตามมาอยู่เบื้องหน้านาง สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปทันที ฝืนทรงตัวให้มั่น หันหลังออกวิ่งด้วยแรงเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่

หลี่หลิงเฟิ่งพลันท้อแท้ เสียแรงที่บำรุงร่างกายนี้มานานปี ร่างกายก็ยังอ่อนแอเหมือนเดิม โดนโจมตีครั้งเดียวก็เกือบตายแล้ว

นางพยายามวิ่งสุดกำลัง แต่ก็รู้สึกว่าช่างไร้ประโยชน์นัก ไม่นานเจ้าวิหคเพลิงก็ตามนางทัน

หญิงสาวหยุดวิ่งหันหน้ากลับไปมองมัน พลันเห็นแววตาสนุกสนานที่มันสามารถต้อนเหยื่อให้หมดทางหนี หลี่หลิงเฟิ่งจ้องมองมันอย่างหงุดหงิด แต่ในใจกลับหนาวยะเยือก เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า นางพยายามคิดหาทางหนีสุดกำลัง แต่ดูเหมือนจะเกินกำลังของนางในตอนนี้

ขณะจ้องตากันอยู่นั้น เท้าของหญิงสาวค่อยๆ ขยับไปทางด้านข้างทีละนิด ก่อนหน้าที่นางจะหยุดวิ่งสายตาเหลือบเห็นหน้าผาสูงชันอยู่ด้านข้าง ด้านหน้ารายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ หลี่หลิงเฟิ่งปราดตามองตัวช่วยที่จะทำให้นางรอดชีวิตอย่างรวดเร็ว

ย่อมเป็นเช่นนั้น! พระเจ้าย่อมไม่ทอดทิ้งนาง สวรรค์ยังคงยืนอยู่ข้างนาง

หัวใจของนางเต็มตื้นด้วยความดีใจ นางมีทางรอดแล้ว ไม่รอช้า นางวิ่งไปคว้าเถาวัลย์ที่ห้อยลงมาข้างต้นไม้อย่างชำนาญ นางใช้มือเท้ายันตัวเองโหนกลางอากาศไปอย่างว่องไว

แต่เหมือนนางจะลืมบางอย่างไป

ฟู่…

โดยไม่คาดคิดเถาวัลย์แห่งความหวังสุดท้าย พังทลายลงเพราะถูกเผาใหม้จากไฟที่พ่นออกมาจากปากของวิหคเพลิง

บัดซบ!

หลี่หลิงเฟิ่งเงยหน้ามองขึ้นไป พลันเห็นเงาสีดำพุ่งเข้ามาจู่โจมด้วยความเร็วที่ไม่อาจมองเห็นรูปร่างชัดเจนได้ นางหัวเราะเย้ยหยันให้กับความอ่อนแอและไร้ความสามารถของตนเอง หลับตาลงอย่างยอมรับชะตากรรม อย่างไรข้าคงไม่อาจมีชีวิตรอดได้อีกแล้ว เสียดายก็แต่ด่วนจากไปขณะที่ยังไม่ได้วางแผนครองแผ่นดินนี้เลย

ฉึก!

‘อา เจ็บจังเลย’

ความเจ็บปวดรุนแรงพุ่งเข้าสู่หน้าอกซ้าย กรงเล็บเท้าของเจ้าวิหคเพลิงจิกลงมาราวกับกระบี่คมที่แทงทะลุร่างของนาง เจ็บปวดจนร้องไม่ออก สติของนางค่อยๆ ดับวูบ จมดิ่งลงไปเบื้องล่างหุบเหวลึกหมื่นจั้ง

ชั่วขณที่หลี่หลิงเฟิ่งกำลังจะหมดสติไปนั้นเอง นางราวกับได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างทรมานของวิหคเพลิงดังสะเทือนเลื่อนลั่นก้องไปทั่วผืนป่า รู้สึกถึงพลังอันน่ากลัวบางอย่างพุ่งออกมาจากอกของนางอย่างต่อเนื่อง

สักพักพลันเปลี่ยนเป็นกระแสความเย็นสายหนึ่งห่อหุ้มตัวนางเอาไว้ เย็นสบายเหมือนสายลมยามวสันต์ ความเจ็บปวดตรงหน้าอกไม่รุนแรงเหมือนตอนแรกอีกต่อไป พลังอันกล้าแกร่งส่งผลให้หลี่หลิงเฟิ่งถึงพื้นเบื้องล่างอย่างปลอดภัยก่อนที่มันจะค่อยๆ หายวับไป

*หลิง คือ 玲 เสียงก้องกังวานคล้ายเสียงเคาะหยก แทนความน่ารัก น่าเอ็นดู ส่วน 零 ความหมายคือศูนย์ ไม่มีค่า

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ชายาอสรพิษ   อันตรายมาเยือน

    หุบเขาหยกขาวมิใช่ชื่อที่คนในแผ่นดินไร้ขอบกล่าวถึงด้วยความยินดี ถึงแม้จะมีคำว่า “หยก” และ “ขาว” อันดูสูงส่งบริสุทธิ์อยู่ในชื่อ แต่มันกลับเป็นสถานที่ที่ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นนภายังไม่กล้าย่างเท้าเข้าไปลึกเกินสามลี้ที่แห่งนั้นคือเส้นแบ่งระหว่าง ความรุ่งโรจน์กับความตาย และในยามฤดูหนาวเช่นนี้ หิมะที่ปกคลุมมันก็ไม่ต่างจากผืนผ้าสะอาดที่กลบศพเน่าเปื่อยไว้ใต้รากไม้หลี่หลิงเฟิ่งเคลื่อนกายอย่างเงียบงัน ลมหายใจเป็นไอขาวราวควันจาง กลีบหิมะโปรยปรายแตะใบหน้าของนางแล้วละลายหายอย่างไม่ทันรู้สึกเย็น แต่ความเย็นกลับฝังลึกอยู่ในอกอย่างไม่ทราบสาเหตุไฉนที่นี่จึงมีหิมะตก น่าแปลกหลี่หลิงเฟิ่งเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางแคบ ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างหน้าผาสูงชันและป่ารกเรื้อ นางอยู่คนเดียว ไร้ผู้ติดตาม ไร้เสียงสนทนา มีเพียงเสียงฝีเท้าของตนที่ก้าวลงบนก้อนกรวด กับเสียงใบไม้เสียดสีกันจากกระแสลมที่ไม่หยุดนิ่ง“เงียบเกินไป…” นางพึมพำกับตัวเองนางชะลอฝีเท้า สายตามองไปรอบกาย แผ่กระจิตออกไปสำรวจ ทว่าไม่สิ่งมีชีวิตสักตัวในระแวกนี้เลยบนข้อมือข้างซ้ายของนาง มีกำไลสีแดงเข้มรูปวงแหวนมันวาวประดับอยู่ นุ่มนิ่มสิ่งมีชีวิตรูปร่

  • ชายาอสรพิษ   ภัยเงียบ

    ท้องฟ้าสีดำสนิทปราศจากแสงจันทร์และดวงดารา สายลมหนาวพัดผ่านไปทั่วอาณาเขต เงามืดเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบบนหลังคาโม่จื่อหลิงยืนอยู่ที่ระเบียงชั้นสูงสุดของหอสิบทิศ ดวงตาคมกริบทอดมองไปยังเมืองที่แผ่กว้างออกไปสุดสายตา ลางสังหรณ์บางอย่างบีบคั้นหัวใจของเขา คล้ายกับว่ามีพายุที่มองไม่เห็นกำลังพัดโหมเข้ามาและแล้ว...ตูม!เสียงระเบิดดังสนั่นทำลายความเงียบงันของค่ำคืน แสงเพลิงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ เสียงร้องของผู้คนปะปนกับเสียงอาวุธกระทบกันดังไปทั่วบริเวณ"ในที่สุด พวกมันก็มาจนได้ คนที่ควรมาก็มาแล้ว" โม่จื่อหลิงกระซิบกับตัวเอง ดวงตาของเขาเย็นเยียบไร้ซึ่งความหวาดหวั่นชายในชุดดำจำนวนมากพุ่งทะยานเข้ามาภายในหอสิบทิศ ราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก พวกมันเคลื่อนไหวอย่างเป็นระเบียบ รวดเร็ว และโหดเหี้ยม"นายท่าน! หอสิบทิศถูกจู่โจม!" หนึ่งในลูกน้องของเขารีบวิ่งเข้ามารายงาน "พวกมันมีกำลังพลมหาศาล และมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงอยู่ด้วย!"โม่จื่อหลิงกวาดตามองไปรอบ ๆ แม้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจได้เป้าหมายของพวกมัน คือ สังหารเขาเสียงกระบี่ปะทะกันดังกึกก้อง ลูกธนูเพลิงถูกยิงเ

  • ชายาอสรพิษ   เบื้องหลังที่ทับซ้อน

    ในโรงน้ำชาที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เสียงผู้คนกระซิบกระซาบมิขาดสาย ข่าวการแตกหักของตระกูลหนานและตระกูลหลินแพร่กระจายราวเพลิงลามป่า“ได้ยินมาว่า เจ้าสาวหายตัวไปหลังจากถูกพวกโจรลักพาตัว แต่จู่ ๆ นางกลับมาเองอย่างไร้รอยแผล”“แล้วนางก็ปฏิเสธการแต่งงานทันที! ข้ารู้สึกเหมือนเรื่องนี้มีอะไรมากกว่านั้น”“หรือว่านางมิได้ถูกลักพาตัว แต่ไปด้วยความยินยอมเอง”เสียงพูดคุยนั้นกระทบถึงหูโม่จื่อหลิง เขานั่งเงียบอยู่มุมหนึ่ง สวมอาภรณ์ธรรมดาไม่สะดุดตา เขามองภาพของเจ้าสาวตระกูลหลินจากที่ไกลๆ เหมือนกับภาพจากมือสอดแนมของหอสิบทิศไม่ผิดเพี้ยนในภาพนั้น หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ในสวนของตระกูลหลิน ใบหน้าเรียบสงบ ผมที่เคยสลวยถูกรวบไว้ลวก ๆ ราวผู้ที่เพิ่งผ่านบางสิ่งบางอย่างมา อย่างเช่นเหตุการณ์เฉียดตายภายในเรือนรับรองของตระกูลเป่ย หลี่หลิงเฟิ่งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ไม้แกะสลัก นางจิบชาหอมกรุ่นอย่างใจเย็น ขณะที่สายตาเหลือบไปทางกลุ่มสาวใช้ที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส“ข้าล่ะไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเรื่องนี้มันเป็นมาอย่างไรกันแน่” สาวใช้คนหนึ่งกล่าวพลางส่ายหน้า “อยู่ดี ๆ เจ้าสาวของตระกูลหลินก็กลับไปโดยไม่กล่าวอะไรเลย เมื่อตระกูลหนาน

  • ชายาอสรพิษ   ผ้าแพร

    สองวันหลังจากโม่จื่อหลิงจากไป แสงอรุณในจวนตระกูลเป่ยคล้ายหม่นลงกว่าทุกวัน ลมเหนือพัดเอื่อยเฉื่อยประหนึ่งพาเอากลิ่นของบางสิ่งจากอดีตย้อนกลับมาและหลี่หลิงเฟิ่งรับรู้มันตั้งแต่ย่างก้าวแรกที่ตื่นขึ้นณ ห้องคุณชายสาม นางยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงไม้แกะสลัก มือหนึ่งแตะที่ชีพจรของเป่ยเฉินหลงที่ยังคงหลับใหล ลมหายใจของเขาราบเรียบขึ้นเล็กน้อย แต่กลิ่นพลังปราณยังขุ่นมัวไม่เสื่อมคลายทว่าสิ่งที่ทำให้นางกังวล ไม่ใช่สภาพของเขา แต่เป็นเงาที่ค่อย ๆ เริ่มเผยตัวนางใช้เวลาทุกวินาทีอย่างแยบคาย เฝ้าสังเกตความผิดปกติของคนในจวน เฝ้าฟังเสียงก้าวเท้าที่ไม่ได้ยินจากทหารยาม และเฝ้ารอสิ่งที่แน่ใจว่ายังไม่สิ้นสุด อย่างการลอบสังหาร“ครั้งก่อนเจ้ามาเพื่อวางยา” นางกระซิบ ขณะบดสมุนไพร “ครั้งนี้ เจ้าจะเอาอะไรมาทิ้งร่องรอยอีกล่ะ”ระหว่างที่ปลายนิ้วนางบรรจงหยดยาแยกพิษใส่ถ้วยสมุนไพร กลิ่นหนึ่งก็ลอยเข้าจมูก กลิ่นหอมจาง ๆ ไม่ใช่จากยา ไม่ใช่จากดอกไม้ในสวน ทว่าเป็นกลิ่นที่คุ้นอย่างน่ากลัวจนรู้สึกขนลุกกลิ่นเช่นนี้ นางเคยได้กลิ่นมันในความฝันในชาติก่อนตอนอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ฝันที่ไม่มีใบหน้ามีเพียงเสียงร้องไห้ของเด็กหญิง กลิ่น

  • ชายาอสรพิษ   เงามืด

    *ขอเปลี่ยนจากตำหนักเทพธิดา เป็นตำหนักธิดาสวรรค์*คำพูดของหลี่หลิงเฟิ่งดุจสายฟ้าฟาดลงบนผิวน้ำอันสงบนิ่ง เงาสะท้อนแห่งศรัทธาที่เหล่าผู้อาวุโสเคยยึดมั่นภักดี เริ่มแตกร้าว เทพธิดาแห่งตำหนักธิดาสวรรค์มิได้ตอบกลับทันที นางยืนนิ่งราวรูปสลักกลางห้อง ศูนย์รวมแห่งความเคารพที่เคยเปล่งประกายความสง่างามไร้ราคี บัดนี้กลับถูกความเงียบห่มคลุมราวหมอกหนาอาภรณ์ขาวสะอาดที่เคยดั่งแสงจันทร์เหนือเมฆ บัดนี้ดูซีดหม่นลงในสายตาของหลายคน ม่านผ้าบางเบาที่บดบังใบหน้างดงามพลิ้วไหวไปตามแรงลมเบา ดวงตาเรียวยาวใต้ผืนผ้าทอแสงแข็งกร้าว เงาที่เคยสงบ บัดนี้กลับเจือความตึงเครียดแนบแน่นฝ่ามือเรียวงามของนางละจากจุดชีพจรของเป่ยเฉินหลง ราวกับตัดขาดพันธะบางอย่างที่มองไม่เห็น“หากพวกท่านเห็นว่า ตำหนักธิดาสวรรค์ไม่ควรข้องเกี่ยว ข้าย่อมถอย” เสียงของนางยังคงอ่อนหวานดั่งระฆังเงิน ทว่าในห้วงลึกของถ้อยคำกลับมีความเยียบเย็นที่ทำให้ผู้ฟังขนลุก “ข้ามิเคยยัดเยียดตนเข้าสู่ที่ที่ผู้คนไม่ต้อนรับ ข้าเพียงทำตามวิถีที่ควรจะเป็น หากพวกท่านมิอาจวางใจ ข้าย่อมไม่อยู่ให้เป็นภาระใจผู้ใด” แม้ถ้อยคำจะฟังดูอ่อนโยนสงบเสงี่ยม ทว่าแรงสะท้อนกลับตึงเครียดเ

  • ชายาอสรพิษ   พบศัตรูบนทางแคบ

    ปัง!เสียงเปิดประตูดังขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมกับเสียงฝีเท้าเร่งรีบที่ก้าวเข้ามาในห้อง"เกิดอะไรขึ้น!?" เสียงอันทรงอำนาจของบุรุษวัยกลางคนดังขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งเงยหน้าขึ้นก็พบว่าชายวัยกลางคนที่แต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรากำลังมองนางด้วยสายตาคมกริบ ด้านหลังของเขามีชายชราผู้อาวุโสหลายคนยืนเรียงราย สีหน้าทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความสงสัยและวิตกกังวล"ท่านพ่อ!" ผู้อาวุโสเป่ยรีบคารวะชายผู้นั้น "นางผู้นี้เป็นหมอที่สามารถตรวจพบพิษของเฉินหลง และตอนนี้กำลังรักษาเขาอยู่ขอรับ""พิษรึ" ประมุขเป่ยขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ "เจ้ากำลังจะบอกว่าเฉินหลงถูกพิษ ไม่ใช่ต้องคำสาปอย่างที่เราคิดมาโดยตลอดรึ"หลี่หลิงเฟิ่งไม่แปลกใจต่อปฏิกิริยานั้น นางจ้องประมุขเป่ยด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง "ถูกต้อง"บรรยากาศในห้องหนักอึ้งขึ้นมาทันที ผู้อาวุโสหลายคนหันมองหน้ากันอย่างลังเล ทว่าเมื่อเห็นโม่จื่อหลิงในห้องก็ไม่กล้าปริปากเสียมารยาทต่อหลี่หลิงเฟิ่ง"หากเป็นเช่นนั้น หมายความว่าที่ผ่านมามีคนจงใจปกปิดเรื่องนี้" ผู้อาวุโสเป่ยคนหนึ่งกล่าวขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งตอบ "ข้าไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้ แต่สิ่งที่ข้

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status