ท่ามกลางม่านหมอกที่ปกคลุมเชิงเขาอย่างแน่นหนา ยากนักที่จะมีใครมาพานพบหมู่บ้านแห่งนี้เข้า
ทว่าตั้งแต่มีผู้บริสุทธิ์ร่วงลงมาจากการผลักไสของคนชั่ว ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป
เหล่าองครักษ์ผู้รอดชีวิตจากการต่อสู้เบื้องบน พากันไต่ลงจากหน้าผาอย่างไม่หวาดหวั่น
แม้เชือกที่ใช้โรยตัวอาจขาดลงได้ทุกเมื่อ.. แต่หามีใครถอดใจในการตามหาผู้เป็นนายไม่
ตู้อี้จ๋ายเดินนำหน้า แม้สีหน้ามุ่งมั่นแต่แววตากลับฉายความหวั่นไหว
“พวกเราต้องหาองค์รัชทายาทให้เจอ ไม่ว่าจะเป็นหรือ...”
คำพูดบางคำจมหาย
เขาไม่กล้าเอ่ยมันออกมา
แต่... ท่ามกลางความหวังริบหรี่นั้น
“หัวหน้าขอรับ ทางนั้น”
เสียงร้องตะโกนของหยวนอี้ รองหัวหน้าองครักษ์ปลุกความหวังที่ใกล้มอดดับ
ตู้อี้จ๋ายหันขวับทันที
เพ่งมองผ่านพุ่มไม้แน่นที่แหวกออกก่อนเห็นร่างสูงใหญ่ปะทะแสงแดดยามเย็น...
“องค์รัชทายาท!!”
เขาร้องเรียกสุดเสียง ก่อนออกวิ่งเต็มแรงตรงไปหาพระองค์
หัวใจเต้นโครมคราม
ดวงตาร้อนผ่าว เมื่อเห็นเงาของผู้เป็นนายอยู่ไม่ไกล...
เหล่าองครักษ์ผู้อาจหาญและภักดี ไม่มีใครไม่หลั่งน้ำตาออกมาขณะที่วิ่งกรูกันไปยังพุ่มไม้นั้น
ตู้อี้จ๋ายที่วิ่งไปก่อนใคร
ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งเห็นในสิ่งที่ทำให้เขาอดฉงนใจไม่ได้.... เพราะเบื้องหน้าเขามิได้มีแค่พระองค์เท่านั้น
แม้ทั่วพระวรกายจะเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและบาดแผล
ทว่ายังคงทรง ‘อุ้มเด็กน้อย’ ไว้แนบอกอย่างหวงแหน
และยังทรงแบกสตรีนางหนึ่งไว้บนบ่า
ตลอดชั่วพระชนม์ชีพ... ทรงแบกไว้เพียงแค่พระยศและพระเกียรติในฐานะโอรสสวรรค์เท่านั้น
ทว่าบัดนี้
กลับใช้เพื่อโอบอุ้มสองชีวิตเอาไว้ ราวกับเป็นสิ่งล้ำค่าที่ต้องปกป้องเหนือสิ่งอื่นใด
แววพระเนตรคู่นั้นบอกชัดเจนว่า
คนในอ้อมแขนมีความหมายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าแผ่นดิน
ตู้อี้จ๋ายละทิ้งความสงสัยก่อนเร่งฝีเท้าไปประคองเจ้านายที่เหมือนจะไร้เรี่ยวแรงเต็มที
“องค์รัชทายาท ทรงปล่อยเด็กและสตรีให้พวกกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เขาพูดพลางหันไปพยักหน้าให้องครักษ์เข้าไปเพื่อรับตัวเด็กน้อยกับสตรีคนนั้นออกมา
ทว่ารับสั่งของนายเหนือหัวดังขึ้นเสียก่อน...
“ต้องช่วยพวกนางแม่ลูกไว้ เข้าใจไหม?”
“รับปากข้า... ห้ามทิ้งพวกนางไว้เด็ดขาด!”
ลั่วอี้เสียนที่สายตาพร่าเลือนและปวดหัวจนแทบจะอาเจียน
แม้สติสัมปชัญญะกำลังจะหลุดลอย
แต่จิตใต้สำนึกทำให้เขายังคงประคองให้หยัดยืนอยู่ได้...
น้ำเสียงแห้งผากสั่งออกไปอีกครั้ง
“รับปากข้า... ห้ามทอดทิ้งพวกนาง!!”
ตู้อี้จ๋ายแม้จะเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็รีบพยักหน้ารับคำอย่างไม่ลังเล
“พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท กระหม่อมจะไม่ทอดทิ้งพวกนางแม่ลูกเป็นอันขาด”
สิ้นเสียงรับปาก
ลั่วอี้เสียนก็ล้มพับลงในอ้อมแขนขององครักษ์ผู้ภักดีทันที
ปัง! ปัง!
เสียงเคาะประตูไม้ดังขึ้นอย่างเร่งร้อน ฝ่าเสียงหวีดร้องของลมยามค่ำคืนเพราะอาการของทั้งสามไม่สู้ดีเลย
“เปิดประตูหน่อย! พวกเรามีคนตกเขาบาดเจ็บสาหัส!”
ตู้อี้จ๋ายยืนอยู่เบื้องหน้า คิ้วขมวดแน่น ดวงตาแดงก่ำ
มือหนึ่งโอบพยุงเจ้านายผู้หมดสติ
ขณะที่องครักษ์อีกนายแบกสตรีนางหนึ่งไว้แนบอก และอีกผู้หนึ่งอุ้มเด็กน้อยที่ยังหายใจรวยริน
เสียงไม้ไผ่ไหวลู่ยามลมเย็นพัดผ่าน กลิ่นยาสมุนไพรจาง ๆ ลอยอบอวลอยู่ทั่วห้อง
เปลวตะเกียงริบหรี่คล้ายใกล้ดับ
แต่แสงนั้นยังเพียงพอให้มองเห็นเงาร่างที่นอนแนบกันบนฟูกผืนเดียว
บ้านไม้ขนาดย่อมหลังนี้ คือที่พักของ ‘เฒ่าเหลียนกง’หมอยาชราและผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านลึกลับแห่งนี้
“ไข้ลดแล้ว ขอบใจเจ้ามากเสี่ยวจิน”
ผู้อาวุโสกล่าวกับหลานสาว พลางหยิบผ้าชุบน้ำหมาด ๆ วางบนหน้าผากของหนูน้อย
รอยย่นบนใบหน้าของผู้ชราแฝงไว้ด้วยความสงบเย็นที่ฝ่าลมฝนมาทั้งชีวิต
เด็กชายตัวจ้ำม่ำนอนแนบอยู่ข้างมารดา
ผิวแก้มขึ้นริ้วแดงจาง ๆ ทำให้คนรักษาใจชื้นนัก
“เจ้าตัวน้อยแข็งแรงดีกว่าที่คิดเสียอีก”
เสียงผู้เฒ่าเอ่ยเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มบางขณะมองเด็กน้อยด้วยสายตาเอ็นดู
“แม้จะยังไม่ตื่น...แต่ชีพจรก็แล่นสมดุลดี”
แต่เมื่อหันไปยังสองร่างที่นอนอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง
แววตาอ่อนโยนกลับเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที
“ทั้งสองยังไม่รู้สึกตัวเลยหรือเจ้าคะท่านปู่?” เสียงของเสี่ยวจินเอ่ยถามอย่างไม่สบายใจ
เฒ่าเหลียนกงเพียงพยักหน้าเบา ๆ
“สามวันแล้ว... ไม่มีเสียงครางหรือลืมตาขึ้นเลยสักครั้ง ”
เขาสบตากับหลานสาว ก่อนใช้ปลายนิ้วแตะที่ข้อมือซ่งเม่ยหลินและลั่วอี้เสียน
“ชีพจรอ่อนเกินไป”
“พรุ่งนี้ต้องให้คนไปรับหมอจากหมู่บ้านข้าง ๆ มาเสียแล้ว หากปล่อยไว้ไม่ดีแน่”
ผู้อาวุโสถอนหายใจด้วยความกังวล
เพราะหมู่บ้านนี้อยู่ท่ามกลางป่าเขา จึงไม่ง่ายนักที่จะรักษาคนที่บาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ได้
“ดูเหมือนอาการของบุรุษผู้นี้แย่ลงใช่หรือไม่เจ้าคะ ศีรษะของเขาบวมขึ้นเล็กน้อยจากเมื่อวานนี้”
เสี่ยวจินถามผู้เป็นปู่เมื่อพิจารณาใบหน้าลั่วอี้เสียน
เพียงแค่คิดว่าเด็กน้อยคนนี้จะสูญสิ้นทั้งบิดาและมารดา หัวใจของนางก็หดหู่อย่างบอกไม่ถูก
“นั่นคือสิ่งที่ข้ากังวล”
“แอ๊ดด”
เสียงเปิดประตูของผู้เข้ามาใหม่ทำให้สองปู่หลานชะงักครู่หนึ่ง
“ข้าจะเป็นคนไปหาหมอจากในเมืองมาเอง”
“แต่...ได้โปรดให้คนของท่านนำทางข้าไปยังทางลัดของหมู่บ้านได้หรือไม่”
เสียงนี้เป็นของใครไปมิได้นอกจากตู้อี้จ๋าย
เขาเฝ้าดูอาการผู้เป็นนายด้วยความร้อนรน ไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาสามวันเต็ม ๆ
ขณะเดียวกันเขาลองสำรวจเส้นทางเข้าเมืองแล้ว แต่กลับไม่พบมันแม้แต่น้อย
ทางเดียวที่เขารู้คือการย้อนกลับไปทางเดิมที่พวกเขาปีนลงมาอย่างทุลักทุเลจากหน้าผาสูงชันนั่น
เขาจึงมั่นใจว่าที่นี่ต้องมีทางลับเข้าออกหมู่บ้าน
“ได้สิ หากได้หมอจากในเมืองมา ชีวิตเจ้านายทั้งสามของท่านคงมีหวัง”
ผู้เฒ่าเหลียนกงเห็นด้วยแทบจะทันที ด้วยเพราะอยากช่วยคนเจ็บ
และเขามิใช่คนโง่นัก
‘แม้ข้าจะไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะมียศศักดิ์เป็นราชนิกุลสูงส่ง หรือเป็นขุนนางใหญ่แค่ไหน’
‘แต่หากทุ่มเทขนาดยอมเสี่ยงไต่หน้าผาสูงชันเพื่อตามหาร่างผู้ร่วงหล่น’
‘แสดงว่าคนพวกนี้มิใช่คนธรรมดาสามัญเป็นแน่’
“ขอบคุณท่านมาก”
ตู้อี้จ๋ายประสานมือทำความเคารพอีกฝ่ายด้วยความซาบซึ้งใจ
หากไม่ได้หมอชาวบ้านผู้นี้
เกรงว่าเจ้านายของเขา มิอาจรักษาพระชนม์ชีพมาได้จนถึงตอนนี้เป็นแน่
วันเวลาเคลื่อนไปโดยไม่รอใครเหมือนเช่นทุกวัน
ยามค่ำคืนของหมู่บ้านฮวาโหวเริ่มเย็นเยียบลง เสียงแมลงป่าขับกล่อมแว่วมาแต่ไกล
สองร่างที่นอนเคียงกันประหนึ่งไร้ชีวิต
โดยเฉพาะซ่งเม่ยหลินที่ยิ่งผ่านไปสิบกว่าวัน นางกลับดูเหมือนกำลังหลับพักผ่อนเท่านั้น
แม้แต่หมอที่ตู้อี้จ๋ายพามายังได้แต่ฉงนว่าเหตุใดนางยังไม่ฟื้นเสียที
แต่ใครจะรู้ว่าภายในของซ่งเม่ยหลินนั้น...
มิได้สงบนิ่งเฉกเช่นภายนอกเลยแม้แต่น้อย
จิตสำนึกของนางกำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่าง
“นี่มันที่ใด...เจ้าเป็นใคร”
เสียงในใจของนางถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"หรือว่าข้าตายแล้ว..."
ทุกสิ่งรอบตัวมืดมิด...
เว้นเพียงแสงสีทองบางเบาที่แล่นวาบขึ้นมาในหัวไม่หยุด
แสงนั้นไม่ได้สว่างจ้า
ทว่าอ่อนโยนดั่งสุริยาแรกยามอรุณ คล้ายจะไหลรินมาจากที่ใดสักแห่งบนฟากฟ้า
ท่ามกลางความเงียบ
เสียงหนึ่งดังก้องกังวานไม่เคยหยุด
เหมือนอาจารย์ผู้กรุณาสั่งสอนศิษย์
“ดินประสิว...ถ่านไม้...กำมะถัน...”
“อัตราส่วนสามต่อสองต่อหนึ่ง...จุดระเบิดด้วยประกายไฟ...”
ยิ่งเสียงนั้นดังเท่ามากขึ้นเท่าไร
ยิ่งทำให้เห็นภาพผุดวูบวาบ ราวกับมีคนวาดภาพกลางความคิดของนาง
“ต่อเรือด้วยไม้สัก...อุดรอยต่อด้วยยางไม้...เสริมโครงลำตัวด้วยหินถ่วง...”
แต่ละถ้อยคำหาได้เพียงล่องลอยผ่าน หากกลับฝังลงในจิตใจ
ไม่ใช่เพียงความจำ
แต่เป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ราวกับเรียนรู้มานับร้อยพันชาติ
ศาสตร์การแปรรูปอาหาร เครื่องสำอาง ตำรับน้ำอบ
ตำราอาวุธ กลไกน้ำ ระบบถ่วงเรือ…แม้แต่เคล็ดลับประดิษฐ์เข็มกลัดให้ไร้เสียงยามเปิดปิดก็มีครบถ้วน
ทุกสิ่งหลั่งไหลอย่างไม่หยุดยั้ง
“ขุมทรัพย์แห่งปัญญาอย่างนั้นหรือ?”
“ทำไมท่านเงียบไป ไปไหน”
เสียงในใจของนางดังอีกครั้ง
เมื่อเสียงนั้นเงียบลงราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาก่อน
สิ่งที่เกิดขึ้น... ไม่มีผู้ใดรู้ว่า
มันคือการชดใช้สำหรับเรื่องร้าย ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวที่น่าสงสารนี้
หรือแท้จริงแล้วสวรรค์ลิขิต
ให้มันเป็นอาวุธ...
เพื่อเป็นทางรอดให้กับนางและครอบครัว
จากสามัญ... สู่ชนชั้นสูงส่ง
“ซื่อหมิง จงทำหน้าที่แทนพี่ชายคนนี้ด้วย” “เจ้าต้องคืนรอยยิ้มให้ไท่จื่อเฟยให้ได้” “ท่านอย่าทำอะไรบ้า ๆ นะหวังหลุน” “พวกเราต้องรอดไปด้วยกัน” “เจ้าได้ยินไหม” “ถ้าเจ้ากล้าทิ้งข้า ข้าจะฆ่าท่าน” ฉึบ “ล่าก่อนซื่อหมิง” “อย่าให้พระองค์ร้องไห้เพราะข้า” ตูมมมม “พี่หวังหลุนนนน” นั่นคือเหตุการณ์เพียงชั่วลมหายใจ ที่เกิดขึ้นหลังจากกระโดดจากหน้าผา เขาคิดว่า....พวกเขารอดแล้ว แต่เปล่าเลย เพราะเชือกที่คว้าเอาไว้ได้... มันรับน้ำหนักไม่ไหว มีคนหนึ่งที่ต้องเสียสละ และเจ้านั่น...มันใช้มีดสั้นที่มันพกเอาไว้ ตัดช่องน้อยแต่พอตัวและทิ้งร่างลงทะเลไป ทั้งที่รู้สึกผิด หัวใจปวดร้าวจนแทบจะแตกสลาย แต่ทุกคนเชื่อไหม.... เขาไม่กล้าโดดลงไปเพื่อให้ตายตามอีกคนไป ยอมรับตามตรง... ว่าเขาอยากรอดชีวิตมากกว่า สิ่งที่ตอบตัวเองได้ในยามนั้นมิใช่เพราะเจ
“กรี๊ดดด พี่สาวทางนั้นมีขนมหนวดมังกรด้วย” “หานเอ๋อร์หยุดวิ่งเดี๋ยวนี้นะ” ซ่งเม่ยหลินห้ามพลางส่ายหน้ายิ้ม ๆ มองเจ้าก้อนแป้งทั้งสองที่วิ่งหลุน ๆ ไปยังร้านขนม โดยไม่สนใจว่านี่... มิใช่วังหลวง เด็กทั้งคู่ชอบนักยามได้ออกมาข้างนอกเช่นนี้ แต่คนที่ปวดหัวหนัก คงหนีไม่พ้นองครักษ์ทั้งหลายที่ต้องทำหน้าที่ป้องกันอันตรายให้เจ้านาย “ไม่เป็นไรหรอกเม่ยเม่ย อี้จ๋ายกับซื่อหมิงเองก็อยู่ด้วย” ลั่วอี้เสียนจับมือภรรยาเอาไว้ก่อนบอกนางให้เบาใจ แต่สิ่งที่ได้ยินกลับมาทำเอาอีกสองคนถึงกับสะดุ้ง “สองคนนั้นน่าเป็นห่วงไม่ต่างกับหานเอ๋อร์และลู่ลู่เลยนะเจ้าคะ” “คราวก่อนเด็กแสบหายไปอยู่หลังโรงงิ้ว” “เพราะผู้ใหญ่ต่างหลงเสน่ห์นางเอกผู้งดงามเข้าให้” “โธ่นายหญิงขอรับ” “ข้าน้อยบอกท่านเป็นร้อยครั้งพันครั้งแล้ว...” “พวกเรามิได้หยุดดูนางจนทำให้นายน้อยหานเอ๋อร์ กับคุณหนูน้อยลู่ลู่หายไป” เฟิ่งซื่อหมิงแกล้งโอดครวญ “กระหม่
“พี่สาว...นี่ตัวอะไรเอ่ย” “คิก ๆ เอาไปเลย” “ว้ายยย หานเอ๋อร์ไม่นะ” “ทิ้งมันเดี๋ยวนี้” องค์หญิงน้อยลู่ลู่วัยหกชันษา ถูกองค์รัชทายาทตัวน้อยแกล้งเข้าให้อีกแล้ว “พี่สาวกลัวอะไรน่ะ มันแค่ไส้เดือนเองนะ” เจ้าตัวอ้วนหานเอ๋อร์ ยืนมือเท้าสะเอวข้างหนึ่งหัวเราะพี่สาวขณะที่มีเจ้าไส้เดือนตัวอ้วนอยู่ในมือ แม้รู้ความว่าเป็นน้องแต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าแสบจะเป็นน้องที่ดีเหมือนพี่น้องคู่อื่น แค่คนพี่ก็ใช่ว่าจะยอมเสียเมื่อไร “หึ หานเอ๋อร์” “ดูนี่สิ” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ผิดกับหน้าตาน่ารักดังขึ้น บ่าวไพร่รู้ดี... มันคือช่วงเวลาเอาคืน “อื้ออยยย พี่สาว” “เอามันออกไป “อย่าเอามาใกล้ข้านะ” “เสด็จแม่” “แง้งงง” ในที่สุดชัยชนะก็เป็นขององค์หญิงน้อยผู้กล้าหาญ นางกล้าจับกบตัวเป็น ๆ มาเอาคืนน้องชายตัวแสบ “...” “พอได้แล้วเด็ก ๆ” “มากินของว่างได้แล้ว ประเดี๋ยวเย็น
สำนักศึกษาภายในตำหนักตงกง ยามสายของวันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงไล่จับ และเสียงท่องบทเรียนที่เจือปนเสียงหัวเราะ ตรงลานกว้างใต้ร่มไม้ เด็ก ๆ จากตระกูลขุนนางหมุนเวียนกันเข้ามาเรียนรู้ร่วมกับองค์รัชทายาท เหล่าอาจารย์พากันอมยิ้มบ้าง ดุด่าบ้าง ขณะมองเหล่าศิษย์ตัวเล็ก ๆ ที่บางครั้งตั้งใจ บางครั้งก็แกล้งหลับในห้องเรียน แม้ทุกอย่างจะดูวุ่นวายไปบ้างในสายตาผู้ใหญ่ แต่ความวุ่นวายนั้นกลับอบอุ่นนัก การได้เห็นว่าเด็กเหล่านี้มีเสียงหัวเราะ มีอิสระให้วิ่งเล่นและเรียนรู้ นั่นย่อมหมายความว่า… แผ่นดินในยามนี้สงบสุข และรุ่งเรืองอย่างแท้จริง “องค์รัชทายาททรงพระปรีชายิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่เห็นจะเก่งเลย เสด็จแม่เก่งกว่าข้าตั้งเยอะ” “ฮ้าววว ท่านอาจารย์” “วันนี้ข้าเรียนจบแล้วใช่ไหม” องค์รัชทายาทตัวน้อยของทุกคนหาวหวอด เด็กคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือเจ้าอ้วนน้อยหานเอ๋อร์ของซ่งเม่ยหลิน ทันทีที่อายุสี่ขวบเต็ม เจ
“แม่จ๋าอุ้มลูก” “แม่จ๋า” “เจ้าตัวแสบ อายุสามขวบกว่าแล้วยังจะอ้อนให้แม่อุ้มอยู่อีกหรือ” คำพูดเหมือนจะดุ แต่สิ่งที่ทำคือคว้าตัวเจ้าก้อนกลม ๆ ที่วิ่งหลุน ๆ มาหาทันทีที่พวกนางเปิดประตูเข้ามา ซ่งเม่ยหลินที่ดวงตายังคงแดงก่ำเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา นางอ้าแขนรับเจ้าตัวกลมขึ้นมาอุ้ม วันนี้นางกอดลูกรักไว้แน่นยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ การที่มีเขาอยู่ในอ้อมกอด และการที่เขากอดนางตอบอย่างออดอ้อน คือคำตอบ....ว่านางทำทุกสิ่งทุกอย่างไปทำไม ร้ายกับคนทั้งโลก เพื่อรักษารอยยิ้มบริสุทธิ์ของแกเอาไว้ เพื่อให้ครอบครัวเล็ก ๆ ของนางยังคงอยู่ เพื่อรักษารอยยิ้มของผู้คนที่ไม่เคยได้ลืมตาอ้าปาก “ได้โปรดอย่ากรรแสงอีกเลยนะพ่ะย่ะค่ะ” “พระองค์เป็นคนดีที่สุดเท่าที่กระหม่อมเคยพบเจอมา” เฟิ่งซื่อหมิงปาดน้ำตายามปลอบเจ้านาย เขาหมายความตามนั้น หากการเป็นคนดี...คือการปล่อยให้ตัวเองถูกทำร้าย ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอยู่ร่ำไป
เงามืดที่คืบคลาน “พวกเราควรทำเช่นไรดี” “วาจาของมันศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่าเทพเซียน” “ไม่ว่ามันจะเยื้องย่างไปที่ไหน...แม่น้ำก็กลับไปเป็นปกติทุกที่ไป” “และยิ่งมันเป็นฮ่องเต้ของแคว้นซ่างหยุน” “ยิ่งทำให้ความเชื่อของชาวบ้านยิ่งหนักแน่น” “มันคือคนที่สวรรค์เลือก ฮ่องเต้หย่งหลงเริ่มต้นปรึกษากับฮ่องเต้อีกสามแคว้น ชื่อของซ่างหวงตี้กำลังหลอกหลอนพวกเขา ทั้งเรื่องมันสังหารพี่ชายเมื่อเดือนก่อน พร้อมกับที่คนของมันก่อกบฏ แย่งชิงบัลลังก์มอบให้ผู้เป็นนายโดยเสียเลือดเนื้อเพียงน้อยนิด แม้ไรพิธีปราบดาภิเษกอย่างเป็นทางการ แต่...มันคือฮ่องเต้แห่งซ่างหยุนโดยชอบธรรม และอีกเรื่องที่ทำให้พวกเขานั่งไม่ติดไปตาม ๆ กัน ก็คือเรื่องที่มันเป็นคนที่สวรรค์เลือก หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ดูผิวเผินเหมือนว่าพวกมันตกอยู่กับความเศร้าโศกที่ คณะทูตของพวกมันถูกไฟไหม้จนวอด เหลือผู้รอดชีวิตแค่ไม่กี่คน แต่ความรู้สึกบอกว่า... พวกมัน