เช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านฮวาโหว
วันนี้...ดูเหมือนจะอ่อนโยนกว่าหลายวันที่ผ่านมา
ภายในเรือนไม้หลังเดิมของหมู่บ้านฮวาโหว บนฟูกฟางริมผนัง
คนป่วยค่อย ๆ ขยับเปลือกตาหนักอึ้ง หลังหลับใหลอยู่นานนับครึ่งเดือน
กลิ่นสมุนไพรอ่อน ๆ แตะปลายจมูก เป็นสัญญาณแรกที่บอกว่าตัวเองยังมีชีวิต
นางสูดลมหายใจลึก พยายามเรียกคืนสติที่แตกกระจัดกระจายเหมือนใบไม้ที่ปลิดปลิว
และทันทีที่ดวงตาพร่าเลือนปรับรับแสงได้
สิ่งแรกที่เห็นคือร่างเล็กกลมป้อมของลูกชายที่นางไม่มีวันลืม
เจ้าตัวน้อยนั่งอยู่ใกล้ ๆ ขณะเล่นตุ๊กตาผ้า
“หานเอ๋อร์...”
เสียงเรียกแผ่วเบาเล็ดลอดจากริมฝีปากแห้งผากของผู้เป็นแม่
เสียงนั้นสั่นระรัวแฝงด้วยความกลัวจับจิต...กลัวว่ามันจะเป็นแค่ความฝัน
นางค่อยยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางอ้าแขนกว้างให้ลูกน้อยมาหา
“มะ… มะ…”
“แง้งงงงง!”
เสียงเล็กเรียกมารดาด้วยความคุ้นเคย
ไม่นานนักเจ้าก้อนแป้งเบะปากแล้วปล่อยโฮพลางคลานเข้าหาอ้อมกอดแม่ด้วยความคะนึงหา
สิบห้าวันที่ผ่านมา เจ้าตัวน้อยถูกพี่สาวใจดีอย่างเสี่ยวจินดูแล
แต่ต้องอยู่ในห้องนี้เท่านั้น เพราะหากอุ้มแกออกไปห่างมารดาเมื่อใดก็จะหวีดร้องสุดเสียงทันที
ยามนี้แกหวนคืนอ้อมกอดมารดาอีกครั้ง
มือป้อม ๆ กอดคอมารดาไม่ยอมปล่อย
น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหล่นบนแก้มกลม
ราวกับจะตัดพ้อที่มารดาไม่ตื่นมาอุ้มและเล่นหัวเหมือนเคย
ราวกับกลัวว่านางจะนอนแน่นิ่งไปอีกครา
เสียงสะอื้นของลูกน้อย แล่นทะลุทะลวงหัวใจของคนเป็นแม่ยิ่งกว่าอาวุธใด แต่มันก็ทำให้นางตระหนัก
พวกนางแม่ลูกยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ
สองมือของซ่งเม่ยหลินกอดลูกแน่นขึ้น พร้อมกับน้ำตาที่หลั่งไหลราวสายฝน
“หานเอ๋อร์... ลูกแม่”
“แม่อยู่นี่แล้วนะ ไม่ต้องกลัวอีกแล้ว”
ซ่งเม่ยหลินซบหน้าลงกับกลุ่มผมของลูกชาย ลูบหลังเบา ๆ อย่างอ่อนโยนยิ่งกว่าครั้งใดในชีวิต
“แม่กลับมาแล้ว... และจะไม่จากเจ้าไปไหนอีก”
นางพร่ำพูดทั้งน้ำตา
พร้อมจูบซับแก้มกลมซ้ำ ๆ
เจ้าตัวน้อยเองก็ยังคงกอดแม่แน่น พลางสะอื้นจนใบหน้าน่ารักชื้นไปด้วยน้ำตา
ท่ามกลางความเงียบ ภาพเหตุการณ์ก่อนหมดสติผุดกลับมาในหัวอย่างโหดร้าย
เสียงรถม้าดิ่งเหว กระแทกกับก้อนหิน
เสียงตัวเองกรีดร้องยามกอดลูกเอาไว้แน่นเพราะคิดว่าต้องตายแน่แล้ว
และอ้อมกอดของชายคนนั้น... คนที่นางไม่รู้จัก
ทว่าสัมผัส
และวาจาที่เอื้อนเอ่ย...เป็นเขาไม่ผิดแน่
ชีวิตของพวกนาง...ถูกสวรรค์เล่นตลกเข้าให้แล้ว
สามีของนางฟื้นขึ้นมาในร่างบุรุษแปลกหน้า
และร่างนั้นยามนี้... นอนแน่นิ่งเสียจนเหมือนไร้ชีวิต
เสียงพูดคุยของท่านหมอหรือใครบางคนที่คุยกันยามนางสะลึมสะลือก่อนได้สติ...เริ่มวาบเข้ามา
“อาการเขาแย่ลงมากจากวันแรกนะเจ้าคะท่านปู่”
เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นอย่างร้อนรน
“เขาต้องได้รับการรักษาจากหมอฝีมือดี หาไม่แล้วคง...”
“ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก”
“เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ติดขัด หยุดนิ่ง มันบวมมากกว่าเดิมหลายเท่านัก”
ตามด้วยเสียงของคนที่น่าจะเป็นหมอ
คำพูดที่ผ่านเข้าหูในยามสติพร่าเลือน บาดลึกเสียยิ่งกว่าถูกของแหลมคมทิ่มแทงเสียอีก
มันคือความจริง
ซ่งเม่ยหลินหลับตาแน่น น้ำตาที่เพิ่งหยุดรินกลับเอ่อท้นอีกครั้ง
ก่อนอุ้มลูกน้อยแล้วคลานเข่าไปหาเขาที่นอนอยู่บนฟูกอีกผืนในห้องนั้น
ทันทีที่ได้เห็นอาการของเขาด้วยตา
ผนวกกับสิ่งที่ได้ยิน
ไม่นานในหัวของนางก็มีเนื้อหาในตำราเป็นร้อย ๆ เล่มโผล่มา.. และมันทำให้นางแทบหายใจไม่ออก
“...ก้อนเลือดอันใดกัน ฮือ ๆ”
ตำราจากขุมทรัพย์แห่งปัญญานับร้อย
บอกเป็นไปในทางเดียวกันว่า
อาการของเขารอช้าไม่ได้
‘ศีรษะของเขาบวมเด่นชัด เลือดไหลเวียนไม่สะดวก เป็นเพราะเลือดจับตัวเป็นก้อน’
‘วิธีการรักษาตามตำรา...’
มือเรียวบอบบางสั่นเทายามลูบไล้ใบหน้าของเขา พลางร้องไห้ราวกับจะขาดใจ
“ฮือ ๆ ท่านพี่”
“ข้าควรทำเช่นไรดี”
“ข้าต้องทำเช่นไรถึงจะใช้ความรู้ที่มีท่วมท้นนี้ช่วยท่านได้”
“สวรรค์!! ไยท่านใจร้ายกับพวกข้าถึงเพียงนี้”
“ท่านให้โอกาสเขากลับมาอยู่กับข้า”
“ถึงแม้จะเป็นร่างของชายอื่น”
เสียงของนางขาดห้วงยามตัดพ้อไม่ขาดสาย
“ข้านั้นยินดี น้อมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างยากลำบาก”
“แต่ตอนนี้ เหตุใดท่านถึงไม่ให้เขาฟื้น ฮืออ…”
นางอุ้มลูกน้อยซบหน้าร่ำไห้กับอกสามี พลางรำพันความในใจทั้งหมด
ทุกความรู้สึกถาโถมเข้ามา
ทั้งโกรธ ทั้งเกลียด ทั้งปวดร้าว…
และความกลัวคืบคลานเข้ามากัดกินหัวใจอีกครั้ง
“ไม่ตายก็เหมือนตาย ทำไม!? ถึงเป็นพวกเราที่ถูกกระทำ ฮือ ๆ ”
“แง้งง”
เสียงร้องไห้ของมารดา
ทำให้เด็กน้อยสะอึกสะอื้นอีกครั้งพลางกวาดตามองไปรอบตัว
“ฮึก ป้อ หนาย... ป้อ ป้อ หนายยยย”
เสียงสะอื้นของมารดาก็เศร้าโศกมาพอแล้ว
ทว่าเมื่อเจ้าตัวน้อยในอ้อมกอดร้องไห้จนตัวสั่นเทาด้วยอีกคน
ทำให้คนที่แอบมองอยู่ตั้งแต่แรกน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว
ทั้งสงสารและเจ็บปวด
“ซื่อหมิง จงทำหน้าที่แทนพี่ชายคนนี้ด้วย” “เจ้าต้องคืนรอยยิ้มให้ไท่จื่อเฟยให้ได้” “ท่านอย่าทำอะไรบ้า ๆ นะหวังหลุน” “พวกเราต้องรอดไปด้วยกัน” “เจ้าได้ยินไหม” “ถ้าเจ้ากล้าทิ้งข้า ข้าจะฆ่าท่าน” ฉึบ “ล่าก่อนซื่อหมิง” “อย่าให้พระองค์ร้องไห้เพราะข้า” ตูมมมม “พี่หวังหลุนนนน” นั่นคือเหตุการณ์เพียงชั่วลมหายใจ ที่เกิดขึ้นหลังจากกระโดดจากหน้าผา เขาคิดว่า....พวกเขารอดแล้ว แต่เปล่าเลย เพราะเชือกที่คว้าเอาไว้ได้... มันรับน้ำหนักไม่ไหว มีคนหนึ่งที่ต้องเสียสละ และเจ้านั่น...มันใช้มีดสั้นที่มันพกเอาไว้ ตัดช่องน้อยแต่พอตัวและทิ้งร่างลงทะเลไป ทั้งที่รู้สึกผิด หัวใจปวดร้าวจนแทบจะแตกสลาย แต่ทุกคนเชื่อไหม.... เขาไม่กล้าโดดลงไปเพื่อให้ตายตามอีกคนไป ยอมรับตามตรง... ว่าเขาอยากรอดชีวิตมากกว่า สิ่งที่ตอบตัวเองได้ในยามนั้นมิใช่เพราะเจ
“กรี๊ดดด พี่สาวทางนั้นมีขนมหนวดมังกรด้วย” “หานเอ๋อร์หยุดวิ่งเดี๋ยวนี้นะ” ซ่งเม่ยหลินห้ามพลางส่ายหน้ายิ้ม ๆ มองเจ้าก้อนแป้งทั้งสองที่วิ่งหลุน ๆ ไปยังร้านขนม โดยไม่สนใจว่านี่... มิใช่วังหลวง เด็กทั้งคู่ชอบนักยามได้ออกมาข้างนอกเช่นนี้ แต่คนที่ปวดหัวหนัก คงหนีไม่พ้นองครักษ์ทั้งหลายที่ต้องทำหน้าที่ป้องกันอันตรายให้เจ้านาย “ไม่เป็นไรหรอกเม่ยเม่ย อี้จ๋ายกับซื่อหมิงเองก็อยู่ด้วย” ลั่วอี้เสียนจับมือภรรยาเอาไว้ก่อนบอกนางให้เบาใจ แต่สิ่งที่ได้ยินกลับมาทำเอาอีกสองคนถึงกับสะดุ้ง “สองคนนั้นน่าเป็นห่วงไม่ต่างกับหานเอ๋อร์และลู่ลู่เลยนะเจ้าคะ” “คราวก่อนเด็กแสบหายไปอยู่หลังโรงงิ้ว” “เพราะผู้ใหญ่ต่างหลงเสน่ห์นางเอกผู้งดงามเข้าให้” “โธ่นายหญิงขอรับ” “ข้าน้อยบอกท่านเป็นร้อยครั้งพันครั้งแล้ว...” “พวกเรามิได้หยุดดูนางจนทำให้นายน้อยหานเอ๋อร์ กับคุณหนูน้อยลู่ลู่หายไป” เฟิ่งซื่อหมิงแกล้งโอดครวญ “กระหม่
“พี่สาว...นี่ตัวอะไรเอ่ย” “คิก ๆ เอาไปเลย” “ว้ายยย หานเอ๋อร์ไม่นะ” “ทิ้งมันเดี๋ยวนี้” องค์หญิงน้อยลู่ลู่วัยหกชันษา ถูกองค์รัชทายาทตัวน้อยแกล้งเข้าให้อีกแล้ว “พี่สาวกลัวอะไรน่ะ มันแค่ไส้เดือนเองนะ” เจ้าตัวอ้วนหานเอ๋อร์ ยืนมือเท้าสะเอวข้างหนึ่งหัวเราะพี่สาวขณะที่มีเจ้าไส้เดือนตัวอ้วนอยู่ในมือ แม้รู้ความว่าเป็นน้องแต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าแสบจะเป็นน้องที่ดีเหมือนพี่น้องคู่อื่น แค่คนพี่ก็ใช่ว่าจะยอมเสียเมื่อไร “หึ หานเอ๋อร์” “ดูนี่สิ” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ผิดกับหน้าตาน่ารักดังขึ้น บ่าวไพร่รู้ดี... มันคือช่วงเวลาเอาคืน “อื้ออยยย พี่สาว” “เอามันออกไป “อย่าเอามาใกล้ข้านะ” “เสด็จแม่” “แง้งงง” ในที่สุดชัยชนะก็เป็นขององค์หญิงน้อยผู้กล้าหาญ นางกล้าจับกบตัวเป็น ๆ มาเอาคืนน้องชายตัวแสบ “...” “พอได้แล้วเด็ก ๆ” “มากินของว่างได้แล้ว ประเดี๋ยวเย็น
สำนักศึกษาภายในตำหนักตงกง ยามสายของวันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงไล่จับ และเสียงท่องบทเรียนที่เจือปนเสียงหัวเราะ ตรงลานกว้างใต้ร่มไม้ เด็ก ๆ จากตระกูลขุนนางหมุนเวียนกันเข้ามาเรียนรู้ร่วมกับองค์รัชทายาท เหล่าอาจารย์พากันอมยิ้มบ้าง ดุด่าบ้าง ขณะมองเหล่าศิษย์ตัวเล็ก ๆ ที่บางครั้งตั้งใจ บางครั้งก็แกล้งหลับในห้องเรียน แม้ทุกอย่างจะดูวุ่นวายไปบ้างในสายตาผู้ใหญ่ แต่ความวุ่นวายนั้นกลับอบอุ่นนัก การได้เห็นว่าเด็กเหล่านี้มีเสียงหัวเราะ มีอิสระให้วิ่งเล่นและเรียนรู้ นั่นย่อมหมายความว่า… แผ่นดินในยามนี้สงบสุข และรุ่งเรืองอย่างแท้จริง “องค์รัชทายาททรงพระปรีชายิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่เห็นจะเก่งเลย เสด็จแม่เก่งกว่าข้าตั้งเยอะ” “ฮ้าววว ท่านอาจารย์” “วันนี้ข้าเรียนจบแล้วใช่ไหม” องค์รัชทายาทตัวน้อยของทุกคนหาวหวอด เด็กคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือเจ้าอ้วนน้อยหานเอ๋อร์ของซ่งเม่ยหลิน ทันทีที่อายุสี่ขวบเต็ม เจ
“แม่จ๋าอุ้มลูก” “แม่จ๋า” “เจ้าตัวแสบ อายุสามขวบกว่าแล้วยังจะอ้อนให้แม่อุ้มอยู่อีกหรือ” คำพูดเหมือนจะดุ แต่สิ่งที่ทำคือคว้าตัวเจ้าก้อนกลม ๆ ที่วิ่งหลุน ๆ มาหาทันทีที่พวกนางเปิดประตูเข้ามา ซ่งเม่ยหลินที่ดวงตายังคงแดงก่ำเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา นางอ้าแขนรับเจ้าตัวกลมขึ้นมาอุ้ม วันนี้นางกอดลูกรักไว้แน่นยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ การที่มีเขาอยู่ในอ้อมกอด และการที่เขากอดนางตอบอย่างออดอ้อน คือคำตอบ....ว่านางทำทุกสิ่งทุกอย่างไปทำไม ร้ายกับคนทั้งโลก เพื่อรักษารอยยิ้มบริสุทธิ์ของแกเอาไว้ เพื่อให้ครอบครัวเล็ก ๆ ของนางยังคงอยู่ เพื่อรักษารอยยิ้มของผู้คนที่ไม่เคยได้ลืมตาอ้าปาก “ได้โปรดอย่ากรรแสงอีกเลยนะพ่ะย่ะค่ะ” “พระองค์เป็นคนดีที่สุดเท่าที่กระหม่อมเคยพบเจอมา” เฟิ่งซื่อหมิงปาดน้ำตายามปลอบเจ้านาย เขาหมายความตามนั้น หากการเป็นคนดี...คือการปล่อยให้ตัวเองถูกทำร้าย ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอยู่ร่ำไป
เงามืดที่คืบคลาน “พวกเราควรทำเช่นไรดี” “วาจาของมันศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่าเทพเซียน” “ไม่ว่ามันจะเยื้องย่างไปที่ไหน...แม่น้ำก็กลับไปเป็นปกติทุกที่ไป” “และยิ่งมันเป็นฮ่องเต้ของแคว้นซ่างหยุน” “ยิ่งทำให้ความเชื่อของชาวบ้านยิ่งหนักแน่น” “มันคือคนที่สวรรค์เลือก ฮ่องเต้หย่งหลงเริ่มต้นปรึกษากับฮ่องเต้อีกสามแคว้น ชื่อของซ่างหวงตี้กำลังหลอกหลอนพวกเขา ทั้งเรื่องมันสังหารพี่ชายเมื่อเดือนก่อน พร้อมกับที่คนของมันก่อกบฏ แย่งชิงบัลลังก์มอบให้ผู้เป็นนายโดยเสียเลือดเนื้อเพียงน้อยนิด แม้ไรพิธีปราบดาภิเษกอย่างเป็นทางการ แต่...มันคือฮ่องเต้แห่งซ่างหยุนโดยชอบธรรม และอีกเรื่องที่ทำให้พวกเขานั่งไม่ติดไปตาม ๆ กัน ก็คือเรื่องที่มันเป็นคนที่สวรรค์เลือก หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ดูผิวเผินเหมือนว่าพวกมันตกอยู่กับความเศร้าโศกที่ คณะทูตของพวกมันถูกไฟไหม้จนวอด เหลือผู้รอดชีวิตแค่ไม่กี่คน แต่ความรู้สึกบอกว่า... พวกมัน