ริณเรณูเดินกลับมาที่เตียงของมารดาอย่างช้าๆ สายตายังคงจับจ้องไปอยู่ที่ผู้ชายคนที่นั่งอยู่ด้านข้างเตียง เธอไม่รู้ว่าเขามาที่นี่ได้ยังไงและมาคุยอะไรกับมารดา
“สวัสดีค่ะ” เมื่อเดินมาถึงเด็กสาวก็ยกมือไว้แต่ยังไม่ทันถามอะไรมารดาก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“หนูไปนานเลยนะลูก ถ้ามาช้ากว่านี้อีกนิดแม่กะว่าจะโทรตามหนูแล้วล่ะ ครูประจำชั้นหนูเขาใจดีมากๆ เลยนะเขามาเยี่ยมแม่ด้วย”
“ครูมาได้ยังไงคะ” ริณเรณูถามด้วยความแปลกใจเพราะไม่คิดว่าเขาจะมาเยี่ยมมารดาของเธอ
“ทำไมถามครูแบบนั้นล่ะลูก” เรณูดุลูกสาวที่ทำเหมือนไม่ค่อยพอใจที่คุณครูมาเยี่ยม
“ก็ช่วงนี้ครูงานยุ่งหนูก็ไม่คิดว่าครูจะมาเยี่ยมแม่ของหนู”
“คุณครูเขาไม่ได้แค่แวะมาเยี่ยมแม่อย่างเดียวนะ เขามาบอกข่าวดีด้วย” เรณูมองหน้าลูกสาวด้วยความภูมิใจ
“ข่าวดีอะไรคะแม่”
“แม่เองก็พูดไม่ถูกเหมือนกัน คุณครูลองบอกลูกสาวแม่อีกครั้งหนึ่งได้ไหมคะ”
“ได้ครับ คือมีผู้ใหญ่ใจดีมีทุนการศึกษามามอบให้กับเด็กที่เรียนดีและริณเรณูก็เป็นคนที่ถูกเลือกให้รับทุนนั้นมัน เป็นกันทุนแบบไม่ผูกมัด ทุนนี้ผู้ใหญ่จะมอบให้จนเรียนจบระดับปริญญาตรี”
“มีทุนแบบนั้นด้วยเหรอคะคุณครู หนูไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยค่ะ” เด็กสาวมองหน้าคุณครูหนุ่มแล้วจ้องอย่างจับผิด
“มีสิมันเป็นทุนที่ผู้ใหญ่ใจดีเขาให้ทางโรงเรียนจัดหาคนที่เหมาะสมและทางโรงเรียนก็ประชุมกันแล้ว หนูเป็นคนที่เหมาะสมกับทุนนี้ที่สุดเพราะหนูเป็นคนที่เรียนเก่งมากๆ”
“แต่ก็มีเพื่อนอีกหลายคนที่เขาเรียนเก่งแบบหนู”
“คนที่เรียนเก่งมีอีกหลายคนก็จริงแต่พวกเขาก็ยังมีครอบครัวคอยสนับสนุนแต่หนูอยู่กับแม่แค่สองคนและแม่ของหนูก็กำลังป่วยอยู่”
“ขอบคุณนะคะ” ริณเรณูขอบคุณแต่เธอไม่รู้สึกยินดีกับทุนที่ได้รับเลย
“แม่ดีใจด้วยนะลูก แม่ได้ยินแบบนี้แม่ก็หายห่วงไปเยอะเลยทีเดียว แม่ต้องขอบคุณคุณครูทุกคนด้วยนะคะและก็ฝากขอบคุณผู้ใหญ่ใจที่มอบทุนให้กับลูกสาวของแม่ด้วย”
“แล้วผมจะบอกท่านให้นะครับ ผมว่าหนูริณเหมาะสมที่จะได้ทุนจริงๆ ครับคุณแม่” ชายหนุ่มพูดกับคุณเรณูมารดาของเด็กสาวที่ได้ทุนการศึกษา
ทั้งสามคนคุยกันอีกสักพักใหญ่ก่อนที่คุณครูจะขอตัวกลับ
“หนูเดินไปส่งครูเขาหน่อยนะลูก”
“ค่ะแม่” เด็กสาวเดินนำหน้าชายหนุ่มรูปร่างสูงออกมาจากวอร์ดผู้ป่วยผู้ป่วยมะเร็งเมื่อประตูปิดลงเธอก็หันหน้ากลับมามองคนที่เดินตามหลังมาอย่าเอาเรื่อง สายตาของเด็กสาวเต็มไปด้วยคำถาม
“อารามทำแบบนี้ทำไม”
“อาไปคุยกับพ่อหนู แล้วพ่อหนูบอกว่าเรื่องที่หนูได้ฟังทางโทรศัพท์มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดเขาต้องพูดกับคุณศิตาแบบนั้นเพราะถ้าไม่พูดคุณสิตาจะต้องตามจี้และสืบแน่ว่าหนูคือใคร พ่อเขากลัวว่าหนูกับแม่จะเดือดร้อน”
“อากำลังแก้ตัวแทนเขาหรือเปล่าคะ”
“อาจะทำแบบนั้นทำไมล่ะ อาไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรเลยแล้ว ที่อามาวันนี้ก็เพราะเขาฝากให้อามาเยี่ยมแม่ของหนู”
“แล้วเรื่องทุนการศึกษาอะไรนะราคาทำไมอาจะต้องโกหกแม่ด้วยล่ะคะแล้วยังจะมาบอกแม่อีกว่าตัวเองเป็นครู”
“ถ้าอาไม่บอกแบบนั้นแม่ของหนูจะไว้ใจอาได้ยังไงแต่พออาบอกเรื่องทุนไปแม่ของหนูก็ดูสบายใจมากขึ้นนะ”
“แล้วความจริงเรื่องทุนมันคืออะไร”
“คุณใหญ่เขาอยากจะส่งเสียให้หนูเรียนจบสูงๆ หนูไม่ดีใจเหรอ”
“ไม่หรอกค่ะ หนูก็บอกอารามไปแล้วนี่คะว่าหนูไม่ได้ต้องการเงินจากเขาเลย หนูต้องการแค่ให้เขามาเยี่ยมแม่แค่นั้นเองค่ะ”
“คุณใหญ่เขามาเยี่ยมแม่ของหนูตอนนี้ไม่ได้จริงๆ”
“แล้วอาได้บอกแม่หรือเปล่าว่ารู้จักกับคุณนครินทร์”
“เปล่าอาบอกแค่ว่าอาเป็นคุณครูที่โรงเรียน”
“อาคิดว่าแม่จะเชื่อไหม”
“แล้วถ้าเป็นหนู หนูจะเชื่อหรือเปล่าล่ะ”
“ท่าทางอารามดูภูมิฐานและน่าเชื่อถือ หนูคิดว่าแม่น่าจะเชื่อค่ะ แต่หนูไม่อยากโกหกเลยนะคะ”
“แต่ถ้าทำแล้วแม่หนูสบายใจอาว่าไม่เป็นไรหรอกนะ”
“ค่ะอาราม”
“ให้แม่ของหนูให้คิดว่าอาเป็นครูไปก่อน พอคุณใหญ่มาเยี่ยมแม่ของหนูแล้วเราค่อยบอกความจริงแล้วอาจะขอโทษท่านเอง”
“อาคิดว่าอาการของแม่จะอยู่รอคุณนครินทร์ได้ไหมคะ”
“อาตอบไม่ได้เลยเพราะอาไม่ใช่หมอและไม่ใช่ตัวคนไข้ ตอนนี้สิ่งที่เราทำได้ก็คือให้กำลังใจแม่ของหนูทำให้แม่ของหนูมีความสุขอาคุยกับพยาบาลแล้วเขาบอกว่าตอนนี้แม่ของหนูเหนื่อยมากๆ แต่ท่านก็มีกำลังใจที่ดีจากหนูนะ ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมหนูคงมาอยู่กับแม่ทุกวันใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ หนูจะมาอยู่กับแม่ทุกวันแต่ตอนนี้อาการแม่เริ่มแย่ลงแม่ทานข้าวให้ได้น้อยลงจนต้องให้อาหารเหลวทางสายยาง หนูกลัวว่าแม่จะทรุดหนักไปมากกว่านี้”
“พยาบาลบอกว่าถ้าได้รับสารอาหารที่เพียงพอได้รับกำลังใจดีๆ ร่างกายของคนไข้ก็จะฟื้นตัวและแข็งแรงขึ้นอาว่าหนูน่าจะทำหน้าที่นั้นได้ดีนะ”
“หนูก็อยากให้แม่แข็งแรงขึ้น”
“เอาละวันนี้อาคงต้องไปก่อนนะพรุ่งนี้จะมาเยี่ยมใหม่”
“อารามมาที่นี่เพราะตั้งใจมาเยี่ยมแม่อย่างเดียวหรือมาทำธุระด้วยคะ”
“ตั้งใจจะมาเยี่ยมแม่ของหนูนั่นแหละ แต่ไหนๆ ก็มาถึงที่นี่แล้วก็อยากจะใช้เวลาช่วงนี้พักก่อนนะ”
“อาจะกลับเมื่อไหร่คะ”
“พรุ่งนี้ตอนเที่ยงๆ หนูมีอะไรจะฝากถึงเขาไหม”
“ไม่มีค่ะ”
“อยากคุยกับเขาไหมอาจะต่อสายให้ จะได้เคลียร์ปัญหาเคลียร์ใจกัน”
“หนูคิดว่าไม่ดีกว่าหนูไม่รู้จะคุยอะไรกับเขา” ริณเรณูหยุดคิดเรื่องของบิดาแล้วเพราะยิ่งคิดก็นิ่งน้อยใจและโกรธกับคำพูดของเขา
“วันนี้หนูอาจยังไม่พร้อมที่จะคุยกับเขา แต่ถ้าวันไหนหนูพร้อมหนูบอกอานะ อาจะเป็นคนติดต่อให้เองเพราะการที่หนูจะติดต่อคุณนครินทร์ไปมันค่อนข้างเสี่ยงเนื่องจากภรรยาเขาอยู่ด้วยเกือบจะตลอดเวลาอีกทั้งเลขาหน้าห้องก็เป็นคนของภรรยาถ้าคุณศิตารู้ว่าหนูเป็นลูกของคุณใหญ่ หนูคงอยู่แบบไม่มีความสุขแน่”
“หนูคิดว่าคงไม่มีเรื่องอะไรจะติดต่อกับเขาแล้วค่ะ”
“อย่าเพิ่งพูดแบบนี้สิ รอให้หนูใจเย็นกว่านี้ก่อนนะอาว่าบางทีการได้คุยกับคนในครอบครัวมันอาจจะทำให้ตัวเองมีกำลังใจมากขึ้นนะหนู”
“ไม่เคยคิดว่าเขาเป็นคนในครอบครัวหรอกค่ะ ครอบครัวของหนูมีแค่หนูกับแม่ก็พอ”
คำพูดที่ออกมาจากปากของเด็กสาวทำให้รามัญรู้สึกสงสารและเห็นใจมากๆที่ผ่านมา ริณเรณูอยู่กับมารดามาตลอดแล้วถ้าวันหนึ่งมารดาไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เด็กสาวจะอยู่ยังไง เขาเคยเป็นเด็กกำพร้ามาก่อนก็เลยเข้าใจความรู้สึกนี้ดี ความรู้สึกที่ไม่มีใคร ความรู้สึกที่ไม่มีครอบครัวมันโหดร้ายมาก
กว่าเขาจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้เขาเองก็แทบแย่ ส่วนเธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้สภาพภายในจิตใจของเด็กสาวเป็นยังไงและเขาก็ไม่ใช่คนครอบครัวจึงทำได้เพียงให้กำลังเธอเท่านั้น
“อาไปก่อนนะ”
“ขอบคุณค่ะอารามที่มาเยี่ยม”
“ไม่เป็นไรพรุ่งนี้อาจะมาเยี่ยมช่วงสายๆ นะ”
“ค่ะ”
เด็กสาวเดินมาส่งเขาที่หน้าตึกจากนั้นก็เดินกลับไปหามารดา
ระยะเวลาที่คบกันนานถึงสามปีทำให้ริณเรณูและรามัญเรียนรู้กันมากขึ้นครอบครัวของหญิงสาวยอมรับชายหนุ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครัวด้วยความเต็มใจแล้ววันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงงานแต่งงานของทั้งสองถูกจัดขึ้นที่บ้านของคุณย่านารีโดยช่วงเช้าเป็นพิธีตักบาตรและพิธีหมั้นส่วนตอนเย็นก็มีการฉลองมงคลสมรสที่โรงแรมหรูเมื่อพิธีการและงานเลี้ยงจบลงตอนนี้คู่บ่าวก็อยู่กันตามลำพังในห้องของโรงแรม“วันนี้หนูริณของอาสวยที่สุดเลยนะครับ” รามัญมองเจ้าสาวที่สวมชุดแต่งงานสีขาวด้วยความภูมิใจ“แล้ววันอื่นหนูไม่สวยเหรอคะอาราม” หญิงสาวพูดแล้วคล้องแขนไปบนลำคอของเขาแล้วส่งสายตาอ้อนเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ“หนูริณของอาสวยทุกวันนั่นแหละแต่ที่อาบอกว่าวันนี้สวยที่สุดก็คงจะเป็นชุดเจ้าสาวที่หนูใส่อยู่”“อารามของหนูก็หล่อที่สุดเหมือนกันค่ะ ยิ่งใส่ชุดเจ้าบ่าวแบบนี้ก็หล่อมาก เพื่อนของหนูชมกันใหญ่เลยว่าอารามหล่อ”“แล้วพวกเขาว่าอะไรไหมที่หนูริณแต่งงานกับคนอายุมากกว่าแบบอา”“ไม่เลยพวกเขาดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าอารามอายุเท่าไหร่อารามของหนูดูเป็นวัยรุ่นอยู่เลยค่ะ”“หนูริณช่างพูดแบบนี้มันทำให้หัวใจคนแก่อย่างอาเต้นแรงทุกครั้งเวลาอยู่ใกล้หนูเล่นเลยนะ
“เจ็บแผลมากไหมคะคุณย่า” ริณเรณูถามคุณย่านารีหลังจากที่ทุกคนออกไปจากห้องพักผู้ป่วยแล้ว“ตอนนี้ไม่เจ็บเท่าไหร่จ้ะ น่าจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาชา”“ถ้าคุณย่าเจ็บแผลหรือปวดแผลต้องรีบบอกหนูนะคะหนูจะได้กดออดเรียกพยาบาลให้เข้ามาดู”“จ้ะลูก หนูริณเพิ่งกลับจากคอนโดยังไม่ได้เอาของเก็บก็ต้องมานอนเฝ้าย่าที่โรงพยาบาลแล้ว เหนื่อยไหมลูก”“ไม่เหนื่อยเลยค่ะ หนูเต็มใจจะอยู่เฝ้าคุณย่า คุณย่าคะเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้มันเป็นความจริงใช่ไหม”“ใช่จ้ะมันเป็นความจริงทั้งหมดที่ย่าก็เพิ่งรู้มาได้ไม่นาน หนูโกรธไหมที่คุณศิตาเขาทำแบบนั้นจนทำให้หนูกลายเป็นเด็กกำพร้าพ่อ”“หนูยอมรับนะคะว่าโกรธมากเลยค่ะแต่หนูก็คิดว่ามันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วล่ะค่ะคุณย่า ถึงแต่ก่อนหนูกับแม่จะถูกทอดทิ้งเพราะความเข้าใจผิดแต่ตอนนี้แต่ตอนที่หนูไม่เหลือใครคุณพ่อกับคุณย่าก็รับหนูมาอยู่ด้วยมันทำให้ หนูรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากอย่างน้อยก็ยังมีครอบครัวหนู”“เป็นคนจิตใจดีมากเลยนะลูกย่าก็นึกเสียดายถ้าหากแม่ของหนูได้มาเป็นสะใภ้คงย่ามันคงดีมากๆ”“หนูคิดว่าตอนนี้แม่กำลังมองดูอยู่ข้างบนและคงมีความสุขมากที่รู้ว่าเรื่องทุกอย่างในอดีตมันเกิดจากความการเข้าใจผิด
คุณย่านารีนั่งพิงหัวเตียงอยู่ในห้องพักวีไอพีของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งบนศีรษะมีผ้าพันแผลสีขาวขนาดเกือบสามนิ้วติดอยู่ขณะที่รอบเตียงรายล้อมไปด้วยลูกหลานครบทุกคนสีหน้าของผู้สูงไว้ดูเครียดถึงแม้คุณหมอจะแจ้งว่าศีรษะมีเพียงแค่บาดแผลและไม่ได้มีอาการอะไรอื่นแต่ความเครียดของเธอก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลยเพราะตอนนี้เธอกำลังเป็นกังวลและเป็นห่วงหลานสาวที่เพิ่งรับมาอยู่ด้วยเพียงหนึ่งปีอย่างริณเรณูเป็นอย่างมาก“คุณย่าคะริต้าขอโทษนะคะ ริต้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายคุณย่าเลยแต่คุณย่ามาพูดแบบนั้นกับริต้าเองริต้าก็เลยโมโหและดึงแขนคุณย่าแรงไปหน่อยค่ะ” รวิตายกมือไว้คุณย่านารีแต่ท่าทางของเธอก็เหมือนไม่สำนึกผิดอะไรเลย“ริต้าพ่อว่าหนูไม่ต้องพูดอะไรแล้วนะ ยิ่งพูดมันก็จะยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง” คุณนครินทร์ดุลูกสาวหญิงสาวหันมามองผู้เป็นบิดาด้วยสีหน้าไม่พอใจเพราะน้อยครั้งมากที่เธอจะถูกบิดาดุและครั้งนี้ก็ไม่ใช่เป็นการดุตามลำพังแต่เธอถูกดุต่อหน้าทุกคนในครอบครัว“ก็มันจริงนี่คะคุณพ่อ จู่ๆ คุณย่าก็มาพูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ริต้าจะไม่ใช่ลูกของคุณพ่อจะไม่ใช่หลานของคุณย่าได้ยังไง คุณย่าคงจะหลงยัยริณมากเกินไปจนมองไม่เห็นหัวริต้าแล้วล่
“นั่นสิคะคุณแม่ให้ริต้าเขาไปอยู่ใกล้ๆ มหาวิทยาลัยไหมจะได้ไม่เหนื่อยกับการเดินทางมาก” ศิตาพูดเสริมให้กับลูกสาว“แต่คอนโดแถวนั้นราคาสูงมากเลยนะ ย่าว่ามันจะสิ้นเปลืองไปเปล่าๆ อีกอย่างมหาวิทยาลัยของหนูกับที่บ้านก็ไม่ได้ไกลกันมากขนาดนั้น ถ้าเหนื่อยกับการขับรถจริงๆ ให้ลุงสนั่นคอยขับรับส่งไหม”“ไม่ค่ะคุณย่าริต้าอยากได้คอนโดริต้าไปดูมาแล้วราคาแค่เก้าล้านเองนะคะ”“ตั้งเก้าล้านย่าว่ามันแพงไปและมันไม่จำเป็นเลยนะริต้า หนูขับรถจากบ้านไปถึงมหาวิทยาลัยไม่ถึงยี่สิบนาทีเองนะ”“ไม่แพงหรอกค่ะคุณย่าซื้อให้หนูนะคะ หนูสัญญาเลยว่าจะตั้งใจเรียน” รวิตาอยากออกไปอยู่คอนโดเพราะอยากใช้ชีวิตอย่างอิสระและไม่ต้องรีบกลับบ้านเหมือนกันที่ผ่านมา“คุณย่าครับผมว่าต่อให้คุณย่าซื้อคอนโดราคายี่สิบล้านให้พี่ริต้า พี่เขาก็คงเรียนดีไม่ได้ครึ่งของพี่ริณหรอกครับ” มาวินพูดแทงใจดำของพี่สาวยังจังเขารู้ว่าที่ริต้าอยากย้ายไปอยู่คอนโดเพราะเธออยากจะออกไปเที่ยวกับเพื่อนมากกว่า“นี่นายมาวินนายได้ไปเรียนต่างประเทศใช้เงินตั้งมากและได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระพี่ขอแค่คอนโดแค่นี้นายจะมาขัดทำไม” รวิตามองน้องชายด้วยสายตาขุ่นเคือง“ก็ผมสงสารคุณย่านี่คร
ความรู้สึกที่ตื่นมาในตอนเช้าแล้วมีคนนอนอยู่ข้างๆ มันเป็นความรู้สึกที่ริณเรณูโหยหามาตลอดหลายปี แต่ก่อนเธอกับมารดาก็นอนด้วยกันแบบนี้ จนกระทั่งมารดาป่วยและเข้าไปนอนในพยาบาล จากนั้นหญิงสาวก็นอนคนเดียวมาตลอดและพอวันนี้ได้ตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของรามัญก็ทำให้เธอรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ริณเรณูอยากให้มันเป็นแบบนี้ทุกวันหญิงสาวพกอดเขาแน่นขึ้นแล้วซุกใบหน้ากับแผงอกของชายหนุ่มเหมือนกับลูกแมวน้อยทำให้คนที่ตื่นมานานแล้วยิ้มกับท่าทางของเธอ“ตื่นแล้วเหรอ”“ยังคะ”“คนหลับที่ไหนจะตอบได้” รามัญพูดพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเขาไม่เคยนอนกับใครจนถึงเช้าแบบนี้เลยสักครั้ง“ก็หนูยังไม่อยากตื่น เมื่อคืนหนูไม่ได้ฝันไปใช่ไหมคะ”“ให้อาทบทวนให้ไหมว่าใช่ฝันหรือเปล่า”“ไม่ดีกว่าคะ แค่นี้หนูก็ไม่มีแรงลุกไปไหนแล้ว อารามคะอาเสียใจไหมกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน” หญิงสาวถามโดยว่าลืมคิดไปว่าคนที่น่าจะถามคำถามนี้น่าจะเป็นฝ่ายชายมากกว่า“หนูริณลืมอะไรไปหรือเปล่า อาต่างหากที่จะต้องถามเรื่องนี้กับหนู หนูเสียใจหรือเปล่า”“หนูก็บอกอาแล้วนะคะว่าหนูไม่เสียใจเลยค่ะก็หนูรักอา”“อาก็รักหนูนะ แต่เราจะทำเรื่องแบบนี้กันอีกไม่ได้”“ทำไมเหรอค
“หนูริณของอาหัวไวมากจูบเป็นแล้ว”“ดีมั้ยคะอาราม”“ดีที่สุดเลย”“ถ้าอารามอยากให้หนูจูบเก่งอารามต้องสอนหนูนะคะ”หญิงสาวพูดออกไปตามอารมณ์และความรู้สึกเพราะเธออยากให้เขามีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น“แน่ใจนะหนูริณว่าจะยอมเป็นของอาจริงๆ”รามัญถามหญิงสาวอีกครั้ง แม้รู้ว่าถ้าหากริณเรณูเปลี่ยนใจตนเองจะต้องจะทรมานมากแน่ไหน แต่ก็ไม่อยากจะหักหาญน้ำใจของคนที่ตัวเองรักเหมือนกัน แม้เขาจะไม่เคยบอกเธอว่าเขาเองก็รักเธอแต่คิดว่าหญิงสาวก็น่าจะเข้าใจดีเพราะถ้าหากเขาไม่รักไม่ได้รู้สึกอะไรก็คงไม่ตามดูแลเธอมาตลอดหลายปีแบบนี้“หนูไม่เสียใจค่ะอาราม” หญิงสาวยืนยันอย่างหนักแน่น“อาจะทำให้ครั้งแรกของเรามีแต่ความสุข”เขากระซิบข้างหูก่อนที่ปลายลิ้นร้อนจะลากไล้ไปตามหน้าอกอิ่มดูดดุนยอดถันกระตุ้นอารมณ์ของหญิงสาว รามัญตวัดปลายลิ้นรัวลงบนยอดถันสลับกับดูดเข้าปากจนแก้มตอบ เมื่อเห็นหญิงสาวแอ่นโค้งหน้าอกอิ่มเข้าหาเขาก็เข้าใจว่าเธอต้องการให้ตนเองทำแบบไหนฝ่ามือร้อนบีบขย้ำอย่างหนักหน่วง ปากร้อนก็ลากไล้สลับไปมาทั้งสองข้างจนเปียกชุ่ม มืออีกข้างลากต่ำลงมายังเอวนวดเฟ้นสะโพกกลมกลึง ปลายนิ้วจะไล้เข้าหาเนินเนื้อเบื่องล่างอีกครั้ง“อ๊ะ