เข้าสู่ระบบบทที่ 6
ครั้นเมื่อยิ่งซุกไซร้ ความต้องการส่วนลึกก็เหมือนจะยิ่งลุกฮือ มือที่ลูบไล้สัมผัสแค่ภายนอก ก็ค่อยๆ สอดเข้าไปสัมผัสภายใต้เสื้อแนบเนื้อตัวเล็ก ผิวเนียนนุ่มของแผ่นหลังที่สัมผัสได้ทำให้นึกอยากรู้ว่าด้านหน้าจะเนียนนุ่มกว่ากันสักแค่ไหน ไม่รอช้ามือที่กำลังลูบไล้อยู่ด้านหลังก็ค่อยๆ เลื่อนมาสัมผัสความเนียนนุ่มที่ด้านหน้า อา…! ไม่ใช่แค่เนียนนุ่ม แต่ยังอวบอัดครัดเคร่งและดึงดูดให้เขาลองบีบขยำดู ให้ตายสิ! ความนุ่มหยุ่นของก้อนเนื้อกลมกลึงทำให้เขานึกอยากเปลี่ยนธารน้ำตกแห่งนี้ให้เป็นเตียงนุ่มๆ ซะเหลือเกิน แต่เหมือนความปรารถนาของเขาจะไม่เป็นผล เพราะทันทีที่ทรวงสล้างถูกสัมผัส สติสัมปชัญญะที่เคยหลุดลอยก็คืนกลับมา
“อื้อ…!” เธอผลักอกเขาออกแรงๆ ด้วยความตกใจ ทำคนที่เผลอไผลไปกับความมัวเมาในกลิ่นกายสาวถึงกับหงายหลังล้มตึงโดยไม่ทันตั้งตัว เธอจึงฉวยโอกาสนี้รีบวิ่งหนีไป ในขณะที่เขายังนั่งแหมะแช่น้ำด้วยความสับสนกับความรู้สึกเบื้องลึกที่มันจู่โจมเข้ามา กลิ่นหอมจางๆ ที่ยังตราตรึงอยู่ในความรู้สึก กลิ่นนั้นมันคืออะไร ทำไมเขาถึงได้รู้สึกโหยหามันมากขนาดนี้ แล้วเขาต้องทำยังไงถึงจะได้สัมผัสมันอีกครั้ง กระทั่งหันไปเห็นบางอย่าง แน่นอนว่ามันทำให้รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ถูกจุดขึ้นที่มุมปากอย่างช่วยไม่ได้
“หึๆ” เขาหยักยิ้มพลางเดินมายังเสื้อที่เธอแขวนลืมเอาไว้
“คุณหนีผมไม่พ้นหรอกพริมรตา” เขาหยิบเสื้อนั่นขึ้นมา พลางจับจ้องไปที่เสื้อราวกับจะมองให้ลึกถึงเจ้าของเสื้อ พลันสายตาคมกริบก็เหลือบไปเห็นบางอย่างที่ถูกติดเอาไว้ แค่แวบเดียวเขาก็รู้ทันทีว่ามันคืออะไร แต่ที่ไม่รู้เห็นจะเป็นเหตุผลของเธอ
“คิดจะทำอะไรกันแน่พริมรตา” เขาพึมพำด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ขณะดึงกล้องที่เธอแอบติดไว้ขึ้นมาดู ก่อนจะรีบเก็บข้าวของของเธอลงกระเป๋าที่วางอยู่ข้างๆ และไม่ลืมที่จะหย่อนกล้องตัวจิ๋วลงในกระเป๋ากางเกงตัวเอง หวังจะใช้มันเพื่อเค้นเอาความจริงจากเธอ
“ไหนว่าเป็นเกย์ แล้วมันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง เราโดนเกย์จูบ? เฮ้ย! แต่จูบเมื่อกี้มัน…ฮือ…! ทำไมฉันถึงหยุดคิดเรื่องนี้ไม่ได้” เธอยืนพึมพำอยู่ข้างรถ พลางยกมือปิดหน้าด้วยความทดท้อ เมื่อในหัวเธอดันมีแต่ภาพที่ตัวเองจูบกับเขา ใช่! เธอ…จูบ…กับ…เขา
“เกิดอะไรขึ้นกับฉันเนี่ย เผลอเหรอ เออ! เผลอแหละ แล้วก็น่าจะเคลิ้มด้วย เฮ้ย! คิดอะไรอยู่วะเนี่ย นั่นมันจูบแรกนะ ฮึ่ย! น่าโมโหชะมัด ทำไมต้องเป็นผู้ชายคนนั้นด้วย” เธอยังยืนถกเถียงกับตัวเองอยู่ข้างรถ ด้วยไม่สามารถไปไหนได้ ก็อยู่ในชุดวาบหวิวมิหนำซ้ำยังเปียกมะลอกมะแลกซะขนาดนี้จะให้ไปไหนได้ เฮ้อ! อุตส่าห์วิ่งหนีมา สุดท้ายก็ต้องมารอเขาอยู่ดี มีใครน่าอดสูกว่านี้อีกไหม
“ทำไมตอนวิ่งออกมาไม่หยิบเสื้อผ้ามาด้วยเนี่ย ฮือ! หนาวก็หนาว ยังต้องแบกหน้ามารออีตานั่นอีก สรุปแล้วยังไงๆ ก็ต้องพึ่งอีตานั่นใช่ไหมเนี่ย เฮ้ย! แล้วฉันต้องทำหน้ายังไง” เธอกอดอกห่อไหล่ด้วยความหนาว เมื่ออากาศเริ่มหนาวขึ้นทุกที ก่อนจะทำหน้าเหลอหลา หลังนึกขึ้นได้ว่าการเจอเขาตอนนี้ อาจทำให้เธอวางหน้าไม่ถูก แล้วเธอก็วางหน้าไม่ถูกจริงๆ
“ไม่ต้องทำอะไร แค่บอกมาว่าคิดจะทำอะไรกันแน่” ชายหนุ่มบอกเสียงเข้มขณะใช้เสื้อแจ็กเก็ตตัวเองคลุมไหล่ให้
“คุณ!” เธอผงะถอยด้วยความตกใจ พลางหันขวับมาจ้องหน้าอีกฝ่ายตาขวาง
“ไหนบอกทำหน้าไม่ถูก แต่ไอ้ที่กำลังทำอยู่ คุณกำลังทำหมือนอยากจะฆ่าผมนะ” เขายักไหล่อย่างยียวน ต่างกับสีหน้าขึงขังที่กำลังจับจ้องมาที่เธออย่างหมายมาด
“ฉันฆ่าคุณแน่ ถ้าคุณกล้าทำแบบนั้นกับฉันอีก” เธอขู่ฟ่อประหนึ่งแม่เสือ แต่เขากลับไม่มีทีท่าว่าจะกลัวสักนิด มิหนำซ้ำยังสาวเท้าเข้าไปใกล้ด้วยท่าทีคุกคามอีก
“จะๆ จะทำอะไร” เธอผงะถอยหน้าตาตื่น
“บอกมาว่าคิดจะทำอะไร” เขาไม่ตอบมิหนำซ้ำยังถามกลับ
“ทะๆ ทำอะไรเล่า ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร แล้วฉันก็…อุ๊ย!” เสียงหวานตะกุกตะกักก่อนจะกลายเป็นเสียงอุทาน ทันทีที่แผ่นหลังชนเข้ากับรถที่จอดอยู่ พริมรตาหันรีหันขวางอย่างพยายามหาทางหนีทีไล่ แต่ดูเหมือนจะช้าไป เมื่ออีกฝ่ายท้าวแขนทั้งสองข้างลงมากักตัวเธอเอาไว้จนหนีไปไหนไม่ได้
“แล้วไอ้นี่พอจะทำให้คุณรู้รึยังว่าเรื่องอะไร” เขาละแขนข้างหนึ่งมาหยิบกล้องตัวเล็กจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาให้ดู ทำเธอผงะตาโตด้วยความตกใจอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้
“คือฉัน…” เธออึกอัก ครั้นเมื่อหาเหตุผลดีๆ มาอธิบายไม่ได้ เธอจึงคิดจะหนีอีก แต่ก็ใช่ว่าจะง่ายอย่างที่คิด เมื่ออีกฝ่ายท้าวแขนลงมากักตัวเธออีกครั้ง มิหนำซ้ำยังโน้มใบหน้าลงใกล้ ทำคนถูกคุกคามขยับถอยเบียดชิดรถจนแทบจนแทบจะจมหายเข้าไปด้านใน
“หรือคุณคิดจะ…จับผม” คนถูกกล่าวหาตาโต ก่อนจะโพล่งออกมาเสียงดัง
“ฉันเนี่ยนะจับคุณ?”
“หรือว่าไม่ใช่ล่ะ”
“ก็ไม่ใช่น่ะสิ นี่จะบอกให้นะ ต่อให้ทั้งโลกเหลือคุณแค่คนเดียว ฉันก็ไม่เอาผู้ชายหลงตัวเองอย่างคุณหรอก” เธอแทบตะโกนใส่หน้าด้วยความโกรธกรุ่น
“แต่จากเหตุการณ์ที่น้ำตกบอกว่าคุณไม่ได้คิดแบบนั้น คุณจงใจยั่วผม แล้วก็ถ่ายคลิปไว้แบล็กเมล์ผม เพราะคุณคิดจะใช้มันเพื่อบีบผม แต่เสียใจเพราะผมไม่ใช่หมูในอวยที่จะยอมให้คุณจับง่ายๆ” เขาหยักยิ้มมุมปากประหนึ่งว่ารู้ทันความคิดเธอ
“ฉันก็แค่…เออ! จับก็จับ พอใจรึยัง” ในเมื่อพูดความจริงก็ไม่ได้ ปฏิเสธก็ไม่เชื่อ เธอก็เลยประชดด้วยการยอมรับมันซะเลย แล้วเขาก็ดันบ้าจี้เชื่อซะด้วย
“ในที่สุดก็ยอมรับ คุณมันก็ร้ายกาจไม่ต่างจากผู้หญิงคนอื่นหรอกพริมรตา” เขาชี้หน้าต่อว่าเธอด้วยใบหน้าถมึงทึงพลางขยับถอยห่างราวกับว่าเธอคือตัวอันตราย ใช่! เขากำลังโกรธ ผิดหวัง แล้วก็หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่คิดเอาไว้แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ แต่พอได้ยินจากปากเธอ เขากลับรู้สึกโมโหยิ่งกว่าเดิม
“ใช่! ฉันร้ายกาจ เพราะฉะนั้นอยู่ให้ห่างจากฉันเป็นดีที่สุด ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน” เธอขู่ฟ่ออย่างเหลืออด
“เตือนตัวเองเถอะ ถ้าไม่จำเป็น อย่าเข้ามาใกล้ผม เอานี่ของคุณไป” เห็นสายตาที่เขามองมาประหนึ่งว่ารังเกียจกันนักหนา เธอถึงกับกัดฟันกรอด ก่อนเบ้หน้าเมื่อต้องรับสัมภาระที่จู่ๆ พ่อคุณก็โยนมาให้อย่างไม่ใยดี
“เอาของคุณคืนไป” เธอโยนเสื้อแจ็กเก็ตกลับไปบ้าง ไม่สิ! นี่ไม่เรียกว่าโยน น่าจะเรียกว่าเขวี้ยงใส่มากกว่า ทำเอาเจ้าของเสื้อถึงกับกัดฟันกรอดด้วยความโมโหไม่ต่างกัน แล้วก็ยิ่งหงุดหงิดขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อเห็นแม่คุณเดินดุ่มๆ ไปอีกทาง หลังจากที่สวมเสื้อผ้าทับชุดวาบหวิวเสร็จแล้ว
“จะไปไหน” เขาตะโกนถามเสียงห้วน ในขณะที่เธอก็หันมาตอบด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกัน
“แต่น่ากลัวกว่าที่คิดเยอะ เพราะงั้นถ้าไม่อยากถูกฆ่าปาดคอ อย่าคิดที่จะทิ้งผมเชียว”“ไม่ต้องห่วง ถ้าเธอยอมทิ้งหมอนี่ ฉันจะแถมเงินให้อีกก้อนหนึ่งเลย” เพลิงเสริมขึ้นบ้าง ทำเอาหลานชายถึงกับโวยลั่น“สมัยนี้มีใครเขากีดกันความรักของลูกหลานกันอีก น้านี่เชยชะมัด”“ฉันไม่ได้กีดกัน ฉันแค่หวังดี อยากให้ผู้หญิงเขาไปมีอนาคตที่ดีต่างหาก” เพลิงอดเหน็บให้อีกไม่ได้“เฮ้! นี่น้าเป็นน้าแท้ๆ ของผมรึเปล่า หรือผมเก็บน้ามาเลี้ยงกันแน่เนี่ย”“เพราะปากแบบนี้ไง ฉันถึงอยากให้เขาทิ้งแก เจติยา...ในฐานะที่เธอเป็นเพื่อนกับเมียฉัน ฉันขอเตือนด้วยความหวังดี ถ้าไม่อยากปวดหัว ก็เลิกกับหมอนี่ไปเถอะ” เพลิงหันมายุยงกับเจติยาอย่างนึกสนุก“เฮ้ย! อะไรของน้าเนี่ย ถ้าเขาเกิดทิ้งผมขึ้นมาจริงจะว่าไงเนี่ย” ในขณะที่หลานชายโวยลั่นราวกับเด็กน้อยถูกแย่งของเล่น แต่น้าชายกลับยักไหล่อย่างไม่แยแส พ่อหลานชายตัวดีจึงหันไปหาที่พึ่งอื่น“พ่อครับ งั้นพ่อต้องช่วยผมนะครับ ช่วยพูดกับผู้หญิงคนนั้นทีว่าอย่าทิ้งผม” คนถูกเรียกว่าพ่อครั้งแรกถึงกับนิ่งอึ้ง ทั้งดีใจทั้งตื้นตันจนบอกไม่ถูก กระทั่ง...เพียะ!“เลิกเล่นได้แล้ว ไม่งั้นฉันได้ทิ้งนายจริงๆ แน่” เจ
“ถ้าพวกแกทำอะไรฉัน คิดเหรอว่าจะได้อยู่อย่างสงบ โดยเฉพาะคุณ...อาราชิ”“กะอีแค่กำจัดคนเลวๆ ให้พ้นไปจากแผ่นดิน มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนี่ อีกอย่างไม่มีคุณสักคน อะไรๆ ก็คงดีขึ้น” พายุเอาคำพูดอีกฝ่ายมายอกย้อน ทำคนถูกย้อนถลึงตาด้วยความเกรี้ยวกราด“เรื่องนี้ยูมิไม่เกี่ยวนะคะคุณลุง ก็อย่างที่คุณลุงว่า หนูเป็นเครื่องมือของผู้หญิงคนนี้ หนูเป็นเหยื่อนะคะคุณลุง” อายูมิโอดครวญเอาตัวรอดด้วยความรักตัวกลัวตาย“ไม่ยักรู้ว่าเหยื่อจะปากเก่งได้ขนาดนี้ แต่เอาเถอะ ไว้ฉันจะหาวิธีจัดการกับเธอทีหลัง ส่วนคุณ...เราคงต้องจบความแค้นทั้งหมดไว้แต่เพียงเท่านี้” สิ้นเสียงหัวหน้าแก๊งคาอิดะยกปืนขึ้นมาจ่อ แต่ก่อนจะทันได้ลั่นไก เสียงหลานชายก็ดังขึ้น“เดี๋ยวครับ เลือดต้องล้างด้วยเลือด ในเมื่อผู้หญิงคนนี้เป็นคนฆ่าแม่ผม ก็ควรให้ผมเป็นคนจัดการถึงจะถูก” นทีว่าพลางยกปืนขึ้นมาอีกคน แต่ก็มีอันต้องหยุดชะงักอีก“ฉันเองก็แค้นมันไม่น้อยไปกว่าใคร อย่าลืมสิว่ามันก็ฆ่าแม่ฉัน แล้วก็เกือบจะฆ่าฉันด้วย” เพลิงแค้นจนแทบอยากจะฉีกเนื้อผู้หญิงคนนี้ออกมาเป็นชิ้นๆ จึงยกปืนขึ้นมาเล็งด้วยอีกคน“ซับซ้อนไปอีก ถึงกับเลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว ต้องเลวเบอร
“หมายความว่าไง” คำพูดที่ทำให้ฉุกคิดทำให้เขาโพล่งถามเสียงเข้ม“เธอไม่จำเป็นต้องรู้หรอก รู้แค่ว่าฉันทำอะไรได้มากกว่าที่เธอคิด โดยไม่จำเป็นต้องสนใจคนที่เป็นได้แค่หุ่นเชิดอย่างตาของเธอ” ไอโกะเหยียดริมฝีปากยิ้มเยาะ แต่รอยยิ้มนั้นต้องจางหายไป เมื่อเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น“นั่นสินะ ผมก็เป็นได้แค่หุ่นเชิดในสายตาของคุณ” พายุ หรือที่รู้จักกันในนามอาราชิหัวหน้าแก๊งคาอิดะเดินออกมาจากกลุ่มของชายชุดดำ การปรากฏตัวของเขาทำให้ไอโกะหน้าเสีย แต่เพียงครู่เดียวก็กลายเป็นเชิดหน้าหยิ่งผยองดังเดิม“เหตุผลที่ทำให้คุณอุตส่าห์ถ่อมาไกลถึงนี่ เพราะอยากได้หุ่นเชิดตัวใหม่สินะ หึ! แก่แล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยวาง คงกลัวว่าถ้าหลานผมเข้ามารับตำแหน่ง คุณจะกลายเป็นสุนัขแก่ๆ ตัวหนึ่งที่ไม่มีอำนาจ เลยหวังจะใช้หลานสาวมาเป็นเครื่องมือเพื่อควบคุมหลานผมให้อยู่ในโอวาท แต่เชื่อเถอะว่าครั้งนี้จะไม่ง่ายเหมือนครั้งที่ผ่านมา เพราะผมนี่แหละจะขัดขวางคุณทุกวิถีทาง” พายุจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็งอย่างไม่มีใครยอมใคร“ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดู ถึงขนาดลงทุนแฝงตัวเข้ามา คงคิดว่าจะทำอะไรฉันได้ คนอย่างฉันถ้าไม่มีเขี้ยวเล็บ คงไม่อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ อย่าว่
“อย่าดื้อสิ นี่ไม่ใช่เวลาที่คุณจะมาต่อต้านผมนะ” เขาขอร้อง พลางมองออกไปนอกนอกหน้าต่างด้วยความร้อนใจ“ฉันไม่ได้ต่อต้าน แต่ในเมื่อนายบอกว่ารักฉัน ฉันเองก็รักนาย แล้วจู่ๆ มาบอกให้ฉันทิ้งนายทั้งที่นายตกอยู่ในอันตรายเนี่ยนะ ไม่มีคนรักที่ไหนเขาทำกันหรอก ฉันรู้ว่านายเป็นห่วง ไม่อยากให้ฉันเป็นอันตราย แต่รู้ไหมว่าฉันเองก็ไม่อยากเห็นนายเป็นอะไรไปเหมือนกัน ถ้าวันนี้ฉันเป็นคนที่รอด เคยคิดบ้างไหมว่าฉันจะใช้ชีวิตที่เหลือด้วยความทรมานแค่ไหน ฉันอยู่ไม่ได้หรอกนะถ้าไม่มีนาย”“โอเค ไม่ทิ้งก็ไม่ทิ้ง ถ้าจะอยู่ก็อยู่ด้วยกัน ถ้าจะตายก็ตายมันด้วยกันนี่แหละ” เขาตอบรับด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ สร้างความพอใจให้คนดื้อรั้นจนต้องยิ้มออกมา ก่อนจะสะดุ้งเพราะเสียงเคาะกระจกด้านข้างก๊อก ก๊อก ก๊อกสองคนหันมองหน้ากัน ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูแล้วก้าวออกไปพร้อมกันอย่างสง่าผ่าเผย โดยมีพลขับด้านหน้าก้าวตามลงมาติดๆ“พวกแกเป็นใคร” คนถูกล้อมเอาไว้สอดส่ายสายตามองคนต่างชาติที่อยู่ในชุดดำแล้วโพล่งถามออกมาด้วยน้ำเสียงดุดัน แต่กลับไร้ซึ่งคำตอบ กระทั่งผู้หญิงคนหนึ่งเดินลงมาจากรถ“ดูดีกว่าที่คิดนี่” หญิงสาวหน้าตาดีมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วใช้ภาษ
“คนชั่วๆ แบบนี้เก็บเอาไว้ก็เป็นภัยต่อสังคม ควรส่งไปลงนรกให้หมดทั้งคนสั่งและคนถูกสั่ง” นทีว่าพลางหันปลายกระบอกปืนไปที่คนพวกนั้นอย่างหมายมาด ทำเอาพวกมันถึงกับต้องร้องขอชีวิตกันลนลาน“อย่าเลย ฉันไม่อยากให้มือนายต้องเปื้อนเลือดชั่วๆ ให้มีมลทิน สู้ปล่อยให้พวกมันไปชดใช้กรรมในคุก แล้วค่อยฝากให้คนข้างในช่วยจัดการยังจะสาสมกว่า” ความคิดที่แยบยลนี้ทำเอาทุกคนผงะนัยน์ตาเบิกกว้าง โดยเฉพาะคนที่ต้องเข้าไปชดใช้กรรมในคุก คงมีก็แต่อีกคนที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่เหลือเค้าความถมึงทึงก่อนหน้า ราวกับว่าภูมิใจในความคิดนี้ของเธอ และเหนือสิ่งอื่นใด...เขากำลังมีความสุข“ห่วงผมเหรอ” คนถามถามแล้วก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม ในขณะที่คนถูกถามกลับทำหน้างง ไม่เข้าใจท่าทีที่เปลี่ยนปุบปับของเขา“หา?”“ก็ที่บอกว่าไม่อยากให้มือผมเปื้อนเลือดไง” เธอเลิกคิ้ว ครั้นพอเข้าใจก็กลายเป็นยิ้มขำพลางส่ายหน้าน้อยๆ เมื่อได้รู้ถึงสาเหตุของท่าทีที่เปลี่ยนไปของพ่อคุณ จึงรีบพยักหน้าแทนคำตอบ“เห็นแก่ที่เมียฉันเป็นห่วง ไม่อยากให้มือฉันเปื้อนเลือดชั่วๆ ฉันจะยอมไว้ชีวิตพวกแกสักครั้ง เอาตัวพวกมันไปส่งตำรวจ” สิ้นเสียงคนของเขาก็ลากทั้งสามคนออกไปท่ามกลางเสียง
“นี่สินะธาตุแท้ของคุณ ก่อนหน้านี้ผมคงโง่เองที่มองไม่เห็น ก็ดี มีอะไรก็เผยออกมาให้หมด ผมจะได้ไม่ใจอ่อนเวลาที่เห็นตำรวจใส่กุญแจมือคุณ”“เลอะเทอะ ประสาทกลับรึไง ตำรวจจะมาจับฉันข้อหาอะไรไม่ทราบ ประสาทกลับ” ดวงเดือนว่าพลางเบะปากยิ้มเยาะ“ก็ข้อหาที่คุณจ้างคนมาทำร้ายลูกผมไง” ข้อหานี้ทำเอาคนที่เคยมั่นใจก่อนหน้าเสียอาการทันที แต่ก็ยังไม่วายปฏิเสธเสียงสูง“จ้างอะไร ทำร้ายอะไร อย่ามาพูดพล่อยๆ นะ ไม่งั้นคุณนั่นแหละจะโดนฉันฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท” ดวงเดือนเลิ่กลั่กหน้าเปลี่ยนสี“คิดอยู่แล้วว่าคนดื้อด้านอย่างคุณต้องไม่ยอมรับ ผมเองก็เบื่อจะเล่นเกมกวนประสาทกับคุณแล้วเหมือนกัน เอาตัวเข้ามา” นทีบอกด้วยสีหน้าเอือมระอา ก่อนตะโกนสั่งคนของตัวเองที่รออยู่ด้านนอกทันทีที่คนของเขาพาตัวชายฉกรรจ์สามคนเดินเข้ามา ดวงเดือนถึงกับชะงักหน้าเสีย ประจวบเหมาะกับที่หนึ่งในสามคนนั้นหันมาเผชิญหน้าพอดี“อีนังคุณนาย อีฉิบหาย เพราะมึงคนเดียวพวกกูเลยซวยกันหมด ถ้ามึงบอกตั้งแต่แรกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นเมียมาเฟีย กูก็คงไม่ยุ่งด้วย” สภาพคนพูดที่ดูสะบักสะบอม ใบหน้าปูดโปน ทำเอาดวงเดือนใบหน้าซีดเผือด กอปรกับที่สามคนนั้นล้วนถูกปืนจ่อ ก็ยิ่







