เข้าสู่ระบบบทที่ 8
“อื้อ…!” เธอครางประท้วงพร้อมกับรัวกำปั้นทุบหลังเขา แต่ดูเหมือนแรงอันน้อยนิดของเธอก็ไม่ได้ทำให้เขาสะทกสะท้านแต่อย่างใด ตรงข้ามกลับทำให้เขาจู่โจมเธอหนักหน่วงมากขึ้น และก่อนที่เธอจะพ่ายแพ้ให้กับสัมผัสเย้ายวนที่เขาจงใจหลอกล่อให้เธอหลงเพริดอีกครั้ง สติที่เหลืออยู่น้อยนิดก็สั่งให้ขาข้างหนึ่งของเธอยกขึ้น แน่นอนว่าเป้าหมายก็คือจุดยุทธศาสตร์ที่เขาหวงแหนนั่นเอง
“อื้อ…!” เธอฮึดฮัดขัดใจด้วยความหงุดหงิด เมื่ออีกฝ่ายดูจะรู้ทัน ดันขาทั้งสองข้างของเธอให้แยกออกจากกันแล้วแทรกตัวเข้ามาอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างนั้นแทน เธอพยายามจะขยับหนี แต่เขากลับยิ่งทิ้งน้ำหนักลงมากดทับไว้ กระทั่งเนื้อตัวของพวกเขาแนบชิดจนแทบไร้ช่องว่าง
ตอนนี้มีเพียงสองมือเท่านั้นที่ยังคงขยับประทุษร้ายร่างกายเขาได้ ซึ่งดูเหมือนจะอ่อนเปลี้ยลงไปทุกที กระทั่งมันสิ้นฤทธิ์ลงไปในที่สุด เมื่อถูกคนตัวโตกว่าจับสองมือตรึงไว้กับข้างฝา ก่อนจะยอมผละจากริมฝีปากอวบอิ่ม เพื่อเลื่อนลงมาซุกไซร้ซอกคอหอมกรุ่นอย่างย่ามใจ อา…! กลิ่นนี้อีกแล้ว กลิ่นหอมๆ จากตัวเธอกำลังปลุกความกำหนัดในตัวเขาให้พลุ่งพล่าน และก่อนที่มันจะปะทุจนไม่สามารถควบคุมได้ เขาจึงจำเป็นต้องหยุดทุกอย่างเอาไว้แค่นี้
“…” เขาผละออกมาจากความหอมกรุ่นตรงหน้าอย่างแสนเสียดาย ในขณะที่สาวเจ้ายังคงยืนนิ่งด้วยความงงงวย ครั้นพอเลื่อนสายตามาสบกับดวงตาคู่คมที่กำลังมองมาอยู่ก่อนแล้ว สติสัมปชัญญะที่เคยหลุดลอยก็กลับคืนมา
“คุณ! ไอ้คนเลว” เธอเงื้อมือหมายจะตบหน้าอีกฝ่าย โทษฐานที่บังอาจจูบเธอครั้งแล้วครั้งเล่า
“ถ้าคุณตบ ผมจะไม่จบแค่จูบ เพราะหน้าผมมีราคามากกว่านั้น ไม่ต้องให้บอกนะว่าคุณต้องจ่ายด้วยอะไร” เขาพูดพลางชำเลืองมองไปที่เตียง ทำเอามือที่เงื้อกลางอากาศถึงกับชะงักค้างอยู่อย่างนั้น ก่อนจะค่อยๆ ลดลงมาในที่สุด แต่ทันทีที่มือข้างนั้นทิ้งลงข้างลำตัว โดยไม่ทันตั้งตัว เขาก็จู่โจมเข้ามาอีก
“อื้อ…!” เป็นอีกครั้งที่เธอร้องเสียงอู้อี้จากการถูกจู่โจมตะโบมจูบ พร้อมกันนั้นก็พยายามดิ้นขลุกขลักหวังให้ตัวเองหลุดพ้นจากการรุกรานแสนวาบหวิวนี้
“คนเลว! ไหนคุณบอกว่าไม่ตบก็ไม่จูบไง แล้วคุณมาจูบฉันทำไม” ทันทีที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เธอก็โพล่งออกมาด้วยความเดือดดาล แต่สองตาเขียวปั๊ดที่จ้องเขม็งมาอย่างเอาเรื่องกลับไม่ได้ทำให้เขากริ่งเกรงแต่อย่างใด
“สงสัยคุณจะไม่แตกฉานเรื่องภาษาไทยสินะ ผมบอกว่าถ้าคุณตบ ผมจะไม่จบแค่จูบ แต่ในเมื่อคุณไม่ตบ ผมก็เลยต้องจบที่จูบ” ให้ตายสิ! นี่เธอต้องรู้สึกยังไงกับคำพูดกวนประสาทแต่หน้ากลับยังนิ่งเฉยของเขาเนี่ย ครั้นเมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ จึงได้แต่ยืนกำหมัดแน่นอยู่อย่างนั้น กระทั่งใจเย็นลง เธอจึงพยายามจะคุยด้วย
“แล้วคุณมา…เอ่อ…มาจูบฉันทำไม หรือว่าเกิดติดกับแผนยั่วของฉันขึ้นมา ระวังเถอะ ถ้าขืนคุณยังตอแยฉันไม่เลิก ฉันจะยั่วให้คุณหัวปั่นเลยคอยดู”
“แล้วถ้าผมบอกว่าใช่ล่ะ ผมติดกับแผนยั่วระดับเด็กอนุบาลของคุณแล้ว แบบนี้คุณยังอยากจะจับผมอยู่รึเปล่า”เขาสาวเท้าเข้าหาด้วยท่าทีคุกคาม ทำให้เธอต้องขยับถอยด้วยความหวาดระแวงราวกับกลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย โดนเขาจูบอีก แต่ด้วยความลนลานไม่ทันระวัง ส้นเท้าที่ชนกับขอบเตียง ทำให้เธอเสียหลักจนล้มหงายลงไปบนที่นอน
“ว้าย!” ให้ตายสิ! อย่างกับฉากพระนางในละคร ติดก็ตรงที่เธอดันเหมือนนางร้ายมากกว่านางเอก ตรงที่ตอนล้มมือดันฉวยคอเสื้อเขาติดมือมาด้วย ภาพที่เห็นตอนนี้เลยกลายเป็นว่าเธอเป็นฝ่ายดึงเขาลงมา ประหนึ่งให้ท่าเชื้อเชิญอย่างที่เขาเคยกล่าวหา
“หึๆ คุณร้ายกว่าที่ผมคิดนะพริมรตา” เสียงของเขาเรียกสติเธอ ครั้นพอเห็นว่ามือตัวเองอยู่ตรงไหน เธอก็ร้องเสียงหลงทันที
“เฮ้ย!” เธอรีบสลัดมือออกจากคอเสื้อเขาเร็วๆ
“เอาล่ะ! ผมจะไม่อ้อมค้อมอีก บอกมาว่าแอบถ่ายคลิปผมไปทำไม” เธอผงะตาโตกับคำถามนี้ที่วกกลับมาอีกครั้ง ครั้นพอจะขยับหนีก็ถูกเขาคร่อมเอาไว้ทั้งตัวจนไม่สามารถขยับไปไหนได้
“กะๆ ก็บอกไปแล้วไงว่าฉันจะจับคุณ” เธอปดคำโตเสียงสั่นเครืออีกครั้ง
“ถ้าเชื่อคุณอีก ผมก็โง่เต็มที” ตลอดทางที่นั่งรถมาด้วยกัน เขาพยายามสังเกตท่าทีของเธอ แน่นอนว่าท่าทีของเธอไม่ใช่อาการของคนที่ชื่นชอบจนอยากจะจับเขาทำสามีอย่างที่พูดเลยสักนิด ไม่ใช่แค่ไม่ชอบ แต่คุณเธอยังทำท่าทีประหนึ่งว่ารังเกียจกันนักหนา และมันก็ทำให้เขาอดรนทนไม่ได้จนต้องหาคำตอบ
“ตอบมาว่าถ่ายทำไม ไม่งั้นผมไม่จบแค่จูบแน่” เขาข่มขู่ด้วยการโน้มใบหน้าลงมาใกล้ ในขณะที่เธอก็รีบยกสองมือขึ้นมาปิดปากราวกับกลัวว่าจะถูกจูบอีก แต่มือนั้นก็ถูกจับตรึงไว้กับที่นอนจนขยับเขยื้อนไม่ได้
“ตอบมาพริมรตา ไม่งั้นผมจะ…” เขาขู่ด้วยการก้มหน้าลงมาจนปลายจมูกสัมผัสกับแก้มเธอเบาๆ ทำคนถูกหอมแก้มกลายๆ หลับตาปี๋ด้วยความตกใจ หลังจมูกโด่งๆ ของเขากดลงมาหนักๆ และก่อนที่มันจะเลื่อนไปตรงส่วนอื่น เธอก็รีบโพล่งออกมา
“ถ่ายเอาไว้กระชากหน้ากากคุณ” ถึงแม้ว่าเขาจะยอมผละออกมาจากแก้มนุ่มๆ แต่ก็ใชว่าเธอจะปลอดภัย เมื่อเขายังคงคร่อมเธออยู่อย่างนั้น
“เพื่อ?” เขาถามพลางไล้ปลายนิ้วไปบนแก้มนุ่มๆ ของเธออย่างคุกคาม ราวกับจะข่มขู่กลายๆ ว่าเธอไม่ควรเล่นลิ้นหรือมีลูกเล่นใดๆ
“เพื่อไม่ต้องแต่งงานกับคุณไง เพื่อนฉันเขาไม่อยากแต่งงานกับคุณ เขาก็เลยวางแผนส่งฉันมาเพื่อจัดฉากกระชากหน้ากากคุณ”
“ด้วยการส่งคุณมาอยู่กับผู้ชายสองต่อสองโดยไม่ห่วงความปลอดภัยของคุณเลยเนี่ยนะ เป็นเพื่อนกันประสาอะไรถึงได้…”
“หยุดนะ อย่ามาว่าเพื่อนฉัน คุณไม่ได้รู้จักเรา คุณไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์ความเป็นเพื่อนของเรา” เธอขึ้นเสียงใส่ด้วยความโกรธกรุ่น แน่นอนว่าในชีวิตเธอมีคนที่รักอยู่แค่ไม่กี่คน และคนที่เธอรักมากก็คือเพื่อนรักทั้งสองคนนั่นเอง
“แล้วเพื่อนแบบไหนเขาส่งเพื่อนมาเสี่ยงอันตรายแบบนี้บ้าง นอกซะจากว่าเพื่อนคนนั้นจะไม่หวังดีแล้วก็ยัง…”
“ก็เพราะเขาคิดว่าคุณเป็นเกย์ไง เขาถึงได้กล้าส่งฉันมา” เธอตะโกนใส่หน้าด้วยความเดือดดาล ซึ่งดูเหมือนมันจะได้ผลเมื่อเขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ หันมาจ้องเขม็งที่หน้าเธอ
“คุณจะบอกว่าเพื่อนคุณคิดว่าผมเป็นเกย์ที่คิดจะมาหลอกแต่งงานบังหน้า ก็เลยคิดจะตลบหลังด้วยการอัดคลิปผมมาประจานว่างั้น” เขาที่จับประเด็นได้ จึงพอจะเดาเรื่องราวได้คร่าวๆ
“ก็ไม่ได้ประจาน แค่จะทำให้แม่กับยายรู้ความจริง พวกท่านจะได้เลิกบังคับให้เพื่อนฉันแต่งงานกับคุณก็เท่านั้นเอง” เธอบอกเสียงอ่อย
“แล้วคุณล่ะ…รู้ความจริงรึยัง” จู่ๆ เขาก็โน้มใบหน้าลงมาหาอีก และไอ้สายตาวิบวับเป็นประกายมันก็กำลังทำให้ใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ
“คะความจริงอะไร” เสียงเธอเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน
“แต่น่ากลัวกว่าที่คิดเยอะ เพราะงั้นถ้าไม่อยากถูกฆ่าปาดคอ อย่าคิดที่จะทิ้งผมเชียว”“ไม่ต้องห่วง ถ้าเธอยอมทิ้งหมอนี่ ฉันจะแถมเงินให้อีกก้อนหนึ่งเลย” เพลิงเสริมขึ้นบ้าง ทำเอาหลานชายถึงกับโวยลั่น“สมัยนี้มีใครเขากีดกันความรักของลูกหลานกันอีก น้านี่เชยชะมัด”“ฉันไม่ได้กีดกัน ฉันแค่หวังดี อยากให้ผู้หญิงเขาไปมีอนาคตที่ดีต่างหาก” เพลิงอดเหน็บให้อีกไม่ได้“เฮ้! นี่น้าเป็นน้าแท้ๆ ของผมรึเปล่า หรือผมเก็บน้ามาเลี้ยงกันแน่เนี่ย”“เพราะปากแบบนี้ไง ฉันถึงอยากให้เขาทิ้งแก เจติยา...ในฐานะที่เธอเป็นเพื่อนกับเมียฉัน ฉันขอเตือนด้วยความหวังดี ถ้าไม่อยากปวดหัว ก็เลิกกับหมอนี่ไปเถอะ” เพลิงหันมายุยงกับเจติยาอย่างนึกสนุก“เฮ้ย! อะไรของน้าเนี่ย ถ้าเขาเกิดทิ้งผมขึ้นมาจริงจะว่าไงเนี่ย” ในขณะที่หลานชายโวยลั่นราวกับเด็กน้อยถูกแย่งของเล่น แต่น้าชายกลับยักไหล่อย่างไม่แยแส พ่อหลานชายตัวดีจึงหันไปหาที่พึ่งอื่น“พ่อครับ งั้นพ่อต้องช่วยผมนะครับ ช่วยพูดกับผู้หญิงคนนั้นทีว่าอย่าทิ้งผม” คนถูกเรียกว่าพ่อครั้งแรกถึงกับนิ่งอึ้ง ทั้งดีใจทั้งตื้นตันจนบอกไม่ถูก กระทั่ง...เพียะ!“เลิกเล่นได้แล้ว ไม่งั้นฉันได้ทิ้งนายจริงๆ แน่” เจ
“ถ้าพวกแกทำอะไรฉัน คิดเหรอว่าจะได้อยู่อย่างสงบ โดยเฉพาะคุณ...อาราชิ”“กะอีแค่กำจัดคนเลวๆ ให้พ้นไปจากแผ่นดิน มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนี่ อีกอย่างไม่มีคุณสักคน อะไรๆ ก็คงดีขึ้น” พายุเอาคำพูดอีกฝ่ายมายอกย้อน ทำคนถูกย้อนถลึงตาด้วยความเกรี้ยวกราด“เรื่องนี้ยูมิไม่เกี่ยวนะคะคุณลุง ก็อย่างที่คุณลุงว่า หนูเป็นเครื่องมือของผู้หญิงคนนี้ หนูเป็นเหยื่อนะคะคุณลุง” อายูมิโอดครวญเอาตัวรอดด้วยความรักตัวกลัวตาย“ไม่ยักรู้ว่าเหยื่อจะปากเก่งได้ขนาดนี้ แต่เอาเถอะ ไว้ฉันจะหาวิธีจัดการกับเธอทีหลัง ส่วนคุณ...เราคงต้องจบความแค้นทั้งหมดไว้แต่เพียงเท่านี้” สิ้นเสียงหัวหน้าแก๊งคาอิดะยกปืนขึ้นมาจ่อ แต่ก่อนจะทันได้ลั่นไก เสียงหลานชายก็ดังขึ้น“เดี๋ยวครับ เลือดต้องล้างด้วยเลือด ในเมื่อผู้หญิงคนนี้เป็นคนฆ่าแม่ผม ก็ควรให้ผมเป็นคนจัดการถึงจะถูก” นทีว่าพลางยกปืนขึ้นมาอีกคน แต่ก็มีอันต้องหยุดชะงักอีก“ฉันเองก็แค้นมันไม่น้อยไปกว่าใคร อย่าลืมสิว่ามันก็ฆ่าแม่ฉัน แล้วก็เกือบจะฆ่าฉันด้วย” เพลิงแค้นจนแทบอยากจะฉีกเนื้อผู้หญิงคนนี้ออกมาเป็นชิ้นๆ จึงยกปืนขึ้นมาเล็งด้วยอีกคน“ซับซ้อนไปอีก ถึงกับเลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว ต้องเลวเบอร
“หมายความว่าไง” คำพูดที่ทำให้ฉุกคิดทำให้เขาโพล่งถามเสียงเข้ม“เธอไม่จำเป็นต้องรู้หรอก รู้แค่ว่าฉันทำอะไรได้มากกว่าที่เธอคิด โดยไม่จำเป็นต้องสนใจคนที่เป็นได้แค่หุ่นเชิดอย่างตาของเธอ” ไอโกะเหยียดริมฝีปากยิ้มเยาะ แต่รอยยิ้มนั้นต้องจางหายไป เมื่อเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น“นั่นสินะ ผมก็เป็นได้แค่หุ่นเชิดในสายตาของคุณ” พายุ หรือที่รู้จักกันในนามอาราชิหัวหน้าแก๊งคาอิดะเดินออกมาจากกลุ่มของชายชุดดำ การปรากฏตัวของเขาทำให้ไอโกะหน้าเสีย แต่เพียงครู่เดียวก็กลายเป็นเชิดหน้าหยิ่งผยองดังเดิม“เหตุผลที่ทำให้คุณอุตส่าห์ถ่อมาไกลถึงนี่ เพราะอยากได้หุ่นเชิดตัวใหม่สินะ หึ! แก่แล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยวาง คงกลัวว่าถ้าหลานผมเข้ามารับตำแหน่ง คุณจะกลายเป็นสุนัขแก่ๆ ตัวหนึ่งที่ไม่มีอำนาจ เลยหวังจะใช้หลานสาวมาเป็นเครื่องมือเพื่อควบคุมหลานผมให้อยู่ในโอวาท แต่เชื่อเถอะว่าครั้งนี้จะไม่ง่ายเหมือนครั้งที่ผ่านมา เพราะผมนี่แหละจะขัดขวางคุณทุกวิถีทาง” พายุจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็งอย่างไม่มีใครยอมใคร“ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดู ถึงขนาดลงทุนแฝงตัวเข้ามา คงคิดว่าจะทำอะไรฉันได้ คนอย่างฉันถ้าไม่มีเขี้ยวเล็บ คงไม่อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ อย่าว่
“อย่าดื้อสิ นี่ไม่ใช่เวลาที่คุณจะมาต่อต้านผมนะ” เขาขอร้อง พลางมองออกไปนอกนอกหน้าต่างด้วยความร้อนใจ“ฉันไม่ได้ต่อต้าน แต่ในเมื่อนายบอกว่ารักฉัน ฉันเองก็รักนาย แล้วจู่ๆ มาบอกให้ฉันทิ้งนายทั้งที่นายตกอยู่ในอันตรายเนี่ยนะ ไม่มีคนรักที่ไหนเขาทำกันหรอก ฉันรู้ว่านายเป็นห่วง ไม่อยากให้ฉันเป็นอันตราย แต่รู้ไหมว่าฉันเองก็ไม่อยากเห็นนายเป็นอะไรไปเหมือนกัน ถ้าวันนี้ฉันเป็นคนที่รอด เคยคิดบ้างไหมว่าฉันจะใช้ชีวิตที่เหลือด้วยความทรมานแค่ไหน ฉันอยู่ไม่ได้หรอกนะถ้าไม่มีนาย”“โอเค ไม่ทิ้งก็ไม่ทิ้ง ถ้าจะอยู่ก็อยู่ด้วยกัน ถ้าจะตายก็ตายมันด้วยกันนี่แหละ” เขาตอบรับด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ สร้างความพอใจให้คนดื้อรั้นจนต้องยิ้มออกมา ก่อนจะสะดุ้งเพราะเสียงเคาะกระจกด้านข้างก๊อก ก๊อก ก๊อกสองคนหันมองหน้ากัน ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูแล้วก้าวออกไปพร้อมกันอย่างสง่าผ่าเผย โดยมีพลขับด้านหน้าก้าวตามลงมาติดๆ“พวกแกเป็นใคร” คนถูกล้อมเอาไว้สอดส่ายสายตามองคนต่างชาติที่อยู่ในชุดดำแล้วโพล่งถามออกมาด้วยน้ำเสียงดุดัน แต่กลับไร้ซึ่งคำตอบ กระทั่งผู้หญิงคนหนึ่งเดินลงมาจากรถ“ดูดีกว่าที่คิดนี่” หญิงสาวหน้าตาดีมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วใช้ภาษ
“คนชั่วๆ แบบนี้เก็บเอาไว้ก็เป็นภัยต่อสังคม ควรส่งไปลงนรกให้หมดทั้งคนสั่งและคนถูกสั่ง” นทีว่าพลางหันปลายกระบอกปืนไปที่คนพวกนั้นอย่างหมายมาด ทำเอาพวกมันถึงกับต้องร้องขอชีวิตกันลนลาน“อย่าเลย ฉันไม่อยากให้มือนายต้องเปื้อนเลือดชั่วๆ ให้มีมลทิน สู้ปล่อยให้พวกมันไปชดใช้กรรมในคุก แล้วค่อยฝากให้คนข้างในช่วยจัดการยังจะสาสมกว่า” ความคิดที่แยบยลนี้ทำเอาทุกคนผงะนัยน์ตาเบิกกว้าง โดยเฉพาะคนที่ต้องเข้าไปชดใช้กรรมในคุก คงมีก็แต่อีกคนที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่เหลือเค้าความถมึงทึงก่อนหน้า ราวกับว่าภูมิใจในความคิดนี้ของเธอ และเหนือสิ่งอื่นใด...เขากำลังมีความสุข“ห่วงผมเหรอ” คนถามถามแล้วก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม ในขณะที่คนถูกถามกลับทำหน้างง ไม่เข้าใจท่าทีที่เปลี่ยนปุบปับของเขา“หา?”“ก็ที่บอกว่าไม่อยากให้มือผมเปื้อนเลือดไง” เธอเลิกคิ้ว ครั้นพอเข้าใจก็กลายเป็นยิ้มขำพลางส่ายหน้าน้อยๆ เมื่อได้รู้ถึงสาเหตุของท่าทีที่เปลี่ยนไปของพ่อคุณ จึงรีบพยักหน้าแทนคำตอบ“เห็นแก่ที่เมียฉันเป็นห่วง ไม่อยากให้มือฉันเปื้อนเลือดชั่วๆ ฉันจะยอมไว้ชีวิตพวกแกสักครั้ง เอาตัวพวกมันไปส่งตำรวจ” สิ้นเสียงคนของเขาก็ลากทั้งสามคนออกไปท่ามกลางเสียง
“นี่สินะธาตุแท้ของคุณ ก่อนหน้านี้ผมคงโง่เองที่มองไม่เห็น ก็ดี มีอะไรก็เผยออกมาให้หมด ผมจะได้ไม่ใจอ่อนเวลาที่เห็นตำรวจใส่กุญแจมือคุณ”“เลอะเทอะ ประสาทกลับรึไง ตำรวจจะมาจับฉันข้อหาอะไรไม่ทราบ ประสาทกลับ” ดวงเดือนว่าพลางเบะปากยิ้มเยาะ“ก็ข้อหาที่คุณจ้างคนมาทำร้ายลูกผมไง” ข้อหานี้ทำเอาคนที่เคยมั่นใจก่อนหน้าเสียอาการทันที แต่ก็ยังไม่วายปฏิเสธเสียงสูง“จ้างอะไร ทำร้ายอะไร อย่ามาพูดพล่อยๆ นะ ไม่งั้นคุณนั่นแหละจะโดนฉันฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท” ดวงเดือนเลิ่กลั่กหน้าเปลี่ยนสี“คิดอยู่แล้วว่าคนดื้อด้านอย่างคุณต้องไม่ยอมรับ ผมเองก็เบื่อจะเล่นเกมกวนประสาทกับคุณแล้วเหมือนกัน เอาตัวเข้ามา” นทีบอกด้วยสีหน้าเอือมระอา ก่อนตะโกนสั่งคนของตัวเองที่รออยู่ด้านนอกทันทีที่คนของเขาพาตัวชายฉกรรจ์สามคนเดินเข้ามา ดวงเดือนถึงกับชะงักหน้าเสีย ประจวบเหมาะกับที่หนึ่งในสามคนนั้นหันมาเผชิญหน้าพอดี“อีนังคุณนาย อีฉิบหาย เพราะมึงคนเดียวพวกกูเลยซวยกันหมด ถ้ามึงบอกตั้งแต่แรกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นเมียมาเฟีย กูก็คงไม่ยุ่งด้วย” สภาพคนพูดที่ดูสะบักสะบอม ใบหน้าปูดโปน ทำเอาดวงเดือนใบหน้าซีดเผือด กอปรกับที่สามคนนั้นล้วนถูกปืนจ่อ ก็ยิ่







