เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยบีบคั้นหัวใจของผู้ได้ยิน ซ่งเจียวเจียวกำมือแน่นภาพความทรงจำย้อนกลับมา… ไม่ว่านางจะพยายามร่ำเรียนหนังสือหรือเรียนศาสตร์ทั้งสี่ได้ดีแค่ไหนบิดาก็ไม่เคยคิดจะเอ่ยชม แต่หากทำสิ่งผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว เขากลับต่อว่านางกับมารดาด้วยประโยคเสียดแทงจิตใจ… “ไร้ประโยชน์ทั้งแม่ทั้งลูก!” ส่วนซ่งเจิ้งเฉียวไม่ว่าทำใดสิ่งผิดก็ไม่เคยถูกลงโทษ กระทั่งทำแจกันล้ำค่าในโถงรับรองแตกบิดาก็เพียงแค่ว่ากล่าวตักเตือนเพียงไม่กี่คำ หากนางเป็นคนทำแตกคงถูกเฆี่ยนหลังขาดไปแล้ว “บิดาสารเลวเช่นนี้อย่านับถือจะดีกว่า“ ซ่งเจียวเจียวเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันบริภาษบิดาของตนและของเด็กหญิง จากนั้นจึงเดินไปหาเจ้าตัวน้อย “ข้าขอเหมาขนมทั้งหมดของเจ้าเองแม่หนูน้อย” ใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยความหม่นหมองก่อนหน้านี้พลันสดใสมีความหวังขึ้นมาทันที “จริงหรือเจ้าคะพี่สาวจะซื้อขนมของข้าทั้งหมดจริงๆหรือ” “จริงสิหนูน้อย” ซ่งเจียวเจียวยกมือลูบหัวเด็กหญิงอย่างเอ็นดู เด็กหญิงดีใจอย่างยิ่งในที่สุดนางก็ขายขนมหมดไม่ต้องถูกบิดาลงโทษเหมือนที่ผ่านมา ดวงตากลมโตไร้เดียงสา จ้องมองหญิงสาวหน้าตางดงามตรงหน้าประหนึ่งมองเห็นเทพธิดาอย่างไรอย่างน
บทที่ 41 นี่คือราคาที่เจ้าต้องจ่าย รอยยิ้มเย็นเยียบมาพร้อมไอสังหารน่าพรั่นพรึง ขณะยอมรับว่าตัวนางเป็นใครในอดีต ทำท่านแม่ทัพใหญ่แห่งต้าเว่ยถึงกับขนต้นคอลุกเกรียว “มือสังหารระดับ มะ…มงกุฎดำของตำหนักจันทราเลยหรือขอรับท่านแม่ยาย” “เพคะ แต่นั่นมันก็เป็นอดีตไปแล้วอย่าพูดถึงอีกเลย หม่อมฉันล้างมือในอ่างทองคำเรียบร้อย หันมาใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาสามัญขอท่านอ๋องอย่าได้กังวลไป แม่ยายคนนี้รอเลี้ยงหลานๆจากท่านอ๋องและหนิงเอ๋อร์อยู่นะเพคะ และขอรบกวนท่านอ๋องทรงช่วยปิดเรื่องในอดีตของหม่อมฉันเป็นความลับด้วยนะเพคะ” เมื่อกล่าวจบ แม่ยายจวิ้นอ๋องหมุนตัวเดินออกไปจากห้องทรงอักษร ปล่อยให้ลูกเขยตัวโตยืนสติกระเจิดกระเจิงอยู่ตรงนั้น หลังทราบความจริงถึงเบื้องหลังการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของเชียนเพ่ย เย่หลินจำต้องข่มกลั้นโทสะอยู่ทุกวี่วัน ยอมหักห้ามใจไม่ให้แล่นไปสังหารกงจ้านด้วยมือตนเอง เพราะเกรงลูกเขยจะเสียแผนเรื่องที่ต้องการกำจัดหอกข้างแคร่อย่างสกุลกงให้ฮ่องเต้ ตามข้อมูลที่เว่ยลี่หยางได้มา มือสังหารระดับสูงสุดของตำหนักจันทราคือระดับมงกุฎทอง มีเพียงสามคน นั่นคือเจ้าตำหนักและรองเจ้าตำหนักทั้งสอง ต่อมาคือระดับม
ในน้ำชาที่กงจ้านดื่มมีส่วนผสมของสมุนไพรซึ่งมีฤทธิ์กล่อมประสาท ชาชนิดนี้เสวี่ยหนิงปรุงขึ้นมาเพื่อเขาเป็นพิเศษ ยามที่ถูกสะกดจิตล้วงข้อมูลกงจ้านจะได้คายความลับแบบไม่ขัดขืน แถมเพลิดเพลินอีกต่างหาก! เสวี่ยหนิงหยิบนาฬิกาพก ซึ่งได้รับมาจากพ่อค้าชาวโพ้นทะเลนาม มิเชล ผู้ที่มอบเมล็ดลาเวนเดอร์ให้นาง เขาได้กลายมาเป็นลูกค้าเจ้าประจำของเรือนอรุณเคียงใจ ทั้งกล่าวว่ามาพักที่นี่เหมือนได้พักอยู่บ้านในประเทศบ้านเกิด ก่อนเริ่มสะกดจิตตามวิธีที่ได้ฝึกมา อดีตแพทย์หญิงเสวี่ยหนิงตั้งสมาธิมั่นสูดหายใจเข้าออกยาวสองสามครั้ง สีหน้าแววตาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมราวกับคนละคน “หม่อมฉันจะเริ่มแล้วนะเพคะ ขอฝ่าบาท ท่านอ๋องและท่านกงกงช่วยเงียบเสียงลงสักครู่ ยิ่งเงียบเท่าใดยิ่งดี” จากนั้นจึงก้าวมายืนอยู่หน้ากงจ้าน ที่ยังคงยิ้มกริ่มตาลอย “ใต้เท้ากง ท่านมองมายังนาฬิกาพกที่ข้ากำลังจะเริ่มแกว่งนี้ด้วย” สายสร้อยห้อยนาฬิกาเริ่มแกว่งไปมา นัยน์ตาทั้งสองของกงจ้านกลอกมองซ้ายขวาตามจังหวะการเคลื่อนไหวของนาฬิกา ครู่ต่อมากงจ้านก็ตกอยู่ในภวังค์ เมื่อเห็นแววตาและรูม่านตาของเขาขยายเสวี่ยหนิงจึงลองถามคำถามง่ายๆเพื่อทดสอบ “ใต้เท้ามีนามว
บทที่ 40 วันนี้ท่านใส่กางเกงในสีอะไรมา? หลังจากรับฟังรายละเอียดของแผนการกันเป็นดิบดี ทุกคนจึงแยกย้าย เหลือเพียงเว่ยลี่หยางและเสวี่ยหนิงที่ยังอยู่ต่อในห้องทรงอักษร “ข้าเพิ่งรู้ว่าชายารักก็เจ้าแผนการไม่น้อย อุตส่าห์ช่วยสวามีคิดแผนแบบนี้ต้องตกรางวัลอย่างงาม” กล่าวจบก็ช้อนร่างบางของเสวี่ยหนิงลอยหวือขึ้นจากพื้น ก้าวตรงไปยังตั่งเตียงที่ตนใช้นอนหากต้องทำงานจนดึกดื่น “ว้าย ท่านอ๋องจะทำอะไรเพคะ” เสวี่ยหนิงหวีดร้อง คาดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆจะถูกอุ้มขึ้นเตียงเสียอย่างนั้น “สวามีกำลังจะให้รางวัลชายารักด้วยการปรนนิบัติเจ้าอย่างไรล่ะ“ เว่ยลี่หยางวางร่างบางบนลงตั่ง ประกบริมฝีปากลงบนกลีบปากอิ่มน้ำบดจูบอย่างเอาแต่ใจ มือใหญ่ปลดเปลื้องอาภรณ์ของคนใต้ร่างออกจนหมด ดวงเนตรคู่คมเพ่งพิศเรือนร่างอรชรอย่างหลงใหลพลางขยับมือปลดอาภรณ์ของตนบ้าง สายตาร้อนแรงของเขาทำคนถูกมองหน้าร้อนวาบคาดไม่ถึงว่าพ่อหมีของนางจะหน้ามึนขนาดนี้ มีอย่างที่ไหนให้รางวัลนางด้วยการจับนางกินในห้องทรงอักษร อยากเปลี่ยนสถานที่ก็บอกมาเถอะพี่สาวรู้ทันหรอกน่า! “พ่อหมีหยางหยาง รางวัลที่ว่าคือการประเคนตัวท่านเข้าปากข้าหรือเจ้าคะ” สายตาของเสวี่ยหนิงดู
อากัปกิริยาของเย่หลินสร้างความตื่นตกใจให้เสวี่ยหนิง นางรีบเข้ามากอดมารดา ซูลี่ช่วยหยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาจากพื้น “ท่านแม่! เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะใครทำอะไรท่านบอกลูกมาเจ้าค่ะ ลูกจะไปจัดการให้!“ “หนิงเอ๋อร์ ฮึก ท่านพ่อของเจ้า ฮึก ท่านพ่อของเจ้าถูกคนสังหาร เขาไม่ได้ตายเพราะโรคหัวใจ ฮือ…” เย่หลินปล่อยโฮเสียงดังอย่างไม่อาย นางทรุดลงไปนั่งอยู่กับพื้นแบมือสั่นเทาขอจดหมายจากซูลี่และยื่นให้เสวี่ยหนิง “ท่านหัวหน้าราชบัณฑิตเชียนเพ่ย นี่เป็นอีกครั้งที่ข้าขอให้ท่านพิจารณาข้อเสนอ เพียงแค่ช่วยแนะนำกำยานและชาอำพันสวรรค์ของข้าให้กับเหล่าบัณฑิตขุนนางและคหบดีทั้งหลาย ตัวท่านเองจะได้รับส่วนแบ่งจำนวนมากเป็นค่าตอบแทน ส่วนการดื้อรั้นไม่ยอมให้ความร่วมมือตัวท่านน่าจะทราบถึงผลที่ตามมา และนี่คือโอกาสสุดท้ายที่ข้ามอบให้ท่าน!” หัวคิ้วสวยของเสวี่ยหนิงขมวดเป็นปมแน่น ความคิดเรื่องที่เชียนเพ่ยถูกฆาตรกรรมปรากฏขึ้นในหัว ‘นี่มันจดหมายข่มขู่ชัดๆ หรือว่านี่คือสาเหตุการจากไปของเชียนเพ่ยที่แท้จริง บิดาของเชียนเสวี่ยหนิงถูกคนสังหาร! ว่าแต่อำพันสวรรค์มันคือสิ่งใดกัน’ เมื่อไม่รู้ย่อมต้องถาม…เสวี่ยหนิงประคองมารดาไปนั่งที่ตั
บทที่ 39 นี่มันจดหมายข่มขู่ชัดๆ ก่อนถึงยามโหย่ว(17:00-18:59)ตวนอ๋องได้พาซ่งเจียวเจียวที่เดินแทบไม่ไหวมาส่งถึงจวนสกุลซ่งโดยไม่ลืมย้ำกับนางให้ปิดเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความลับ เพราะหากกล้าแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปผู้ที่เสื่อมเสียชื่อเสียงก็ตัวของนางเอง เขาเป็นบุรุษย่อมไม่มีสิ่งใดเสียหายนั่นยังไม่รวมเรื่องที่เขาเป็นทูตจากแคว้นโจว สภาพร่างกายของซ่งเจียวเจียวภายนอกยังดูเหมือนปกติเพราะรอยช้ำทั้งหมดถูกซ่อนไว้ใต้ร่มผ้า และเมื่อกลับถึงเรือนตนซ่งเจียวเจียวจึงทราบว่า เสี่ยวเจินได้ขอลาออกเพื่อไปดูแลมารดาที่ป่วยหนักกะทันหัน สาวใช้มาแจ้งพ่อบ้านหลังจากตวนอ๋องมารับซ่งเจียวเจียวออกไปข้างนอกได้ไม่นาน ตัวของเสี่ยวเจินไม่มีสัญญาขายตัวเป็นทาสกับจวนสกุลซ่ง นางมาทำงานโดยรับค่าจ้างโดยตรงจากซ่งเจียวเจียว ซึ่งแตกต่างจากเสี่ยวหมี่ ซ่งเจียวเจียวกรีดร้องด้วยความโกรธนางบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจจึงหมดสติไปในที่สุด เสี่ยวหมี่ที่มีสภาพไม่ดีไปกว่ากันนักจำต้องกัดฟันไปตามหมอประจำจวนมารักษาเจ้านายของตน หมอประจำจวนซึ่งเป็นชายวัยห้าสิบกลางๆถึงกับนิ่งอึ้งไปเมื่อจับชีพจรขณะตรวจรักษา “ไฉนชีพจรคุณหนูถึงได้เต้นไม่เป็นจังหวะ