ครั้นรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของแสงแดดที่กระทบใบหน้า ฉู่ชิงเฟิงจึงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น เขามองขื่อคานไล่ลงมาจนถึงผนังห้อง พยายามตั้งสติ ไล่เรียงความจำว่าเกิดอะไรขึ้น และตอนนี้เขาอยู่ที่ใดกันแน่
‘จริงสิ ข้าพลัดตกน้ำไป’
ฉู่ชิงเฟิงยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้น เพราะพอถึงคราวที่ต้องตกอยู่ในอันตรายเข้าจริงๆ เขาถึงได้ตระหนักว่าตนเองรักชีวิตมากเพียงใด เลยพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาหายใจเหนือน้ำ แต่สายธารไหลเชี่ยว ทั้งยังมีแก่งหินสลับซับซ้อน ยามนั้นร่างเขากระแทกกับโขดหินจนเจ็บร้าวไปหมด และสุดท้ายผ้าไหมที่อุ้มน้ำกับน้ำหนักตัวมหาศาลก็ทำให้แรงฮึดเฮือกสุดท้ายนั้นไร้ประโยชน์
ขณะที่กำลังจมดิ่งลงใต้พื้นน้ำอันหนาวเหน็บ เขาจึงอ้อนวอนต่อสวรรค์เป็นครั้งสุดท้าย
‘ตั้งแต่เกิดมา หากไม่นับเรื่องที่ตัดพ้อสวรรค์เมื่อครู่ ข้าฉู่ชิงเฟิงไม่เคยอ้อนวอนขอสิ่งใดจากทวยเทพมาก่อน หากสวรรค์เห็นแก่คุณงามความดีที่ข้าเคยทำต่อราษฎร ก็ขอให้ชาติหน้าข้าไม่อ้วนอัปลักษณ์ ได้พบกับสตรีที่ทั้งงดงาม ทั้งจริงใจ ไม่เสแสร้งแกล้งทำดี แต่แท้ที่จริงเห็นข้าเป็นเพียงคนโง่งมคนหนึ่งด้วยเถิด”
เขาคิดถึงคำขอสุดท้ายของตัวเอง แล้วพยายามปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมด ตอนนั้นเขาจมน้ำไปจริงๆ ความเจ็บปวดยามที่ร่างกายพยายามหายใจเข้า แต่มีน้ำเข้ามาแทนจนเต็มปากและจมูกยังคงตราตรึงในห้วงจำ
‘นี่ข้าตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ’
ฉู่ชิงเฟิงรีบหยิกแขนตัวเองเป็นการด่วนเพื่อพิสูจน์ “โอ๊ย!” ความเจ็บทำให้เขามั่นใจว่าตอนนี้ตนไม่ได้ฝันไป และคงไม่ได้เป็นวิญญาณ เช่นนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่
‘อ่า หรือว่าข้าได้กลับชาติมาเกิดใหม่ เพื่อแก้ไขอดีต ดังที่นักเล่านิทานในโรงน้ำชาชอบเล่าตำนานลี้ลับให้ฟังกันนะ’
ฉู่ชิงเฟิงพยายามให้เหตุผลตัวเอง ทว่าพอมองไปรอบกายดีๆ หากเขาได้เกิดใหม่อีกครั้งจริง ที่นี่ควรจะเป็นห้องของเขาในจวนโซ่วอ๋อง มิใช่ห้องสี่เหลี่ยมเล็กแคบเหม็นอับตุๆ เยี่ยงนี้สิ
‘ไอ้หยา! หรือข้าจะเดินทางข้ามภพข้ามชาติ มาเกิดเป็นชาวบ้านยากจนกันนะ’
ความคิดนี้ทำเอาฉู่ชิงเฟิงตกใจจนหน้าซีด เขาขอไปเกิดใหม่ และขอให้ได้พบหญิงงามที่จริงใจ แต่ดันลืมขอให้เกิดในตระกูลร่ำรวยไปเสียนี่
“ฉิบหายแล้ว! ไม่เอานะไม่เอา ข้าทำบุญทำกุศลมากมายถึงเพียงนั้น ทำไมสวรรค์ถึงได้ส่งข้ามาเกิดในร่างชายอ้วน แถมยังจนกว่าเดิมอีกร้อยเท่าเล่า อ๊าก!!!” ฉู่ชิงเฟิงร้องออกมาอย่างคนเสียสติ
เสียงเอะอะภายในห้องทำให้หญิงสาวที่อยู่ภายนอกรู้ว่าคนป่วยฟื้นแล้ว นางจึงเดินออกไปที่หน้าเรือนพัก พอเห็นเด็กหนุ่มที่กำลังกวาดลานดินอยู่ก็เดินเข้าไปหาแล้วสั่งความ “อาโต๋ว เจ้ารีบไปบอกลุงชุนกับลี่มามาเร็วเข้าว่าคนฟื้นแล้ว”
“ข้ากำลังทำงานอยู่ เหตุใดเจ้าไม่ไปเองเล่าหลินอ้าย” เด็กหนุ่มที่ชื่ออาโต๋วเอ่ยถามอย่างไม่พอใจนัก
“เพราะว่าข้าต้องไปทำอย่างอื่นยังไงเล่า เจ้ารีบไปเถอะ ขืนชักช้า แล้วคนผู้นั้นเป็นอะไรขึ้นมาอีก เจ้าอาจจะไม่ได้ห้องนอนคืนเอาได้นะ” พูดจบนางก็เดินไปอีกทางทันที
“ห้องนอนข้า ข้าจะได้ห้องนอนคืนใช่ไหม อ้าว! หลินอ้ายแล้วนั่นเจ้าจะไปที่ใด”
“ข้าก็จะไปเอาโจ๊กมาให้เขากินน่ะสิ นอนหลับไปนานขนาดนั้นจะต้องหิวมากแน่ๆ” หลินอ้ายตะโกนตอบโดยไม่ได้หันหลังกลับมา เห็นเช่นนั้นอาโต๋วก็วางไม้กวาดในมือลง แล้วตรงไปแจ้งคนที่เรือนหน้าแทนนาง
ส่วนฉู่ชิงเฟิงที่อยู่ในห้อง ก็เอาแต่นอนร้องไห้ตัดพ้อสวรรค์อยู่อย่างนั้น จนกระทั่งมีหญิงสาวสองคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง โดยที่คนด้านหลังถือถาดใส่ชามโจ๊กตามมา
‘หรือว่านางจะเป็นภรรยาในชาตินี้ของข้า’ ฉู่ชิงเฟิงพิจารณารูปร่างหน้าตาของสตรีที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ แล้วหัวใจก็ต้องเต้นโครมคราม เพราะตำแหน่งโฉมงามอันดับหนึ่งในใจเขาอย่างหลินผู่ซินได้ถูกสตรีนางนี้ช่วงชิงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แม้ หลินเสี่ยวหราน จะถูกจดจ้องอย่างไร้มารยาท ก็มิได้ถือสา เพราะคิดว่าชายผู้น่าสงสารคนนี้คงจะยังมีอาการสับสนหลังจากสลบไปนานเท่านั้น นางเดินไปหยุดอยู่ตรงข้างเตียง แล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกหิวหรือไม่”
โครกคราก!!!
พอถูกถามเช่นนั้น ท้องของฉู่ชิงเฟิงก็ร้องประท้วงแทนเจ้าตัว หลินอ้ายได้ยินก็พยายามกลั้นหัวเราะสุดขีด ด้วยไม่อยากจะซ้ำเติมคนป่วย
“ดูท่าเจ้าจะหิวมาก เช่นนั้นลุกขึ้นมากินโจ๊กสักหน่อยเถิด”
หลินอ้ายรู้หน้าที่จึงวางโจ๊กลงบนโต๊ะ แล้วเดินเข้ามาช่วยพยุงคนตัวอ้วนให้ลุกขึ้นนั่ง แต่ฉู่ชิงเฟิงไม่ได้กินอะไรมาหลายวันยามนี้จึงไร้เรี่ยวแรง
“ดูเหมือนเจ้าจะลุกไม่ไหวสินะ”
ฉู่ชิงเฟิงพยักหน้า มองหลินเสี่ยวหรานตาปริบๆ อย่างน่าสงสาร
“งั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าจะป้อนเจ้าเอง” หลินอ้ายรับอาสา แต่ฉู่ชิงเฟิงส่ายศีรษะ แล้วยกมือชี้ไปยังหลินเสี่ยวหราน แต่ยังไม่ทันที่หลินอ้ายจะก่นด่าความไม่เจียมตัวของเขาออกมา หลินเสี่ยวหรานก็ส่งสายตาห้ามปราม ก่อนยื่นมือไปรับชามโจ๊กมาถือไว้ แล้วจัดการป้อนชายหนุ่มที่นอนอ้าปากรอด้วยตนเอง
ฉู่ชิงเฟิงรู้สึกหัวใจพองโตอย่างมาก หากชาติที่แล้วเขาไม่อาจได้หลินผู่ซินมาเป็นภรรยา แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะชาตินี้เขาได้เจอสตรีที่งดงามกว่า ใส่ใจเขามากกว่าแล้ว เหลือแค่ลองชิมรสมือนางเท่านั้น หากเลิศล้ำก็นับว่าไม่เสียทีที่ตกน้ำตายแล้วมาเกิดใหม่ ชายหนุ่มคิดในขณะที่อ้าปากรับโจ๊กที่ถูกเป่าจนเย็นลงแล้วป้อนเข้าปาก
ทว่าเหมือนสวรรค์จะไม่เคยสนใจคำขอของเขาอย่างจริงจังเลย
“แค่กๆ ๆ” ฉู่ชิงเฟิงพ่นโจ๊กคำนั้นออกมาใส่หลินเสี่ยวหรานจนเลอะไปหมด “นะ...นี่มันโจ๊กหรือน้ำล้างชาม มีภรรยาฝีมือทำอาหารแย่เยี่ยงนี้ ข้าช่างโชคร้ายนัก”
หลินเสี่ยวหรานปัดเศษโจ๊กออกจากตัว พลางถามด้วยความตกใจ “เจ้าว่าอะไรนะ ใครกันที่เป็นภรรยาเจ้า”
“ถามได้ ก็ต้องเจ้าน่ะสิ”
หลินเสี่ยวหรานลุกพรวดพราดขึ้นจากเก้าอี้ เรื่องที่เขาว่าโจ๊กของนางรสเหมือนน้ำล้างชามนั้นนางไม่ถือสา เพราะคนเพิ่งจะฟื้นหลังจากบาดเจ็บและสลบไปหลายวันย่อมกินได้แค่โจ๊กแบบนี้เท่านั้น แต่ตกใจที่จู่ๆ ก็ถูกทึกทักว่าเป็นภรรยาของบุรุษแปลกหน้า ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าต่างหาก
“นี่เจ้าต้องป่วยจนเลอะเลือนไปแล้วแน่ๆ ข้าไปเป็นภรรยาเจ้าตั้งแต่เมื่อใด”
“อ้าว เจ้าไม่ใช่ภรรยาของข้าหรอกรึ แล้วเหตุใดถึงมาปรนนิบัติข้ากันเล่า” ฉู่ชิงเฟิงทำสีหน้าฉงน บางทีเขาอาจจะคาดเดาอะไรผิดไปตั้งแต่แรก
หลังจากจัดการกางเกงของตัวเองเรียบร้อยแล้ว บุรุษที่เต็มไปด้วยแรงปรารถนาพลันแทรกกายลงตรงกลางหว่างขาเรียว เขาลูบไล้เนินเนื้อเกลี้ยงเกลาอย่างพออกพอใจ แล้วค่อยๆ ขยับเข้าประชิดร่างบาง ดุนดันสะโพกส่งตัวตนเข้าไปพิชิตเส้นทางสู่สวรรค์หลินเสี่ยวหรานกรีดร้อง เมื่อถูกแท่งเพลิงร้อนลวกชำแรกความสาวเป็นครั้งแรก มันทั้งเจ็บทั้งตึงไปหมดจนไม่อาจกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้ได้“อาเปา ขะ…ข้าเจ็บ”“อดทนอีกนิดนะ อีกประเดี๋ยวเจ้าจะรู้สึกดีขึ้น ดีเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เชียวล่ะ” ฉู่ชิงเฟิงล่อลวง พลางขยับสะโพกเข้าออกช้าๆ พรมจูบทั่วดวงหน้างามผุดผาด รวมไปถึงกลีบปากเล็กน่ารักที่เอาแต่ร้องเรียก “อาเปา อื้อ อาเปา” ไม่หยุดหลินเสี่ยวหรานสั่นสะท้านไปทั้งร่าง นางทั้งเจ็บทั้งเสียดเสียว เมื่อเขาเร่งจังหวะตอกสะโพก บดเบียดลำกายจนเส้นทางรักร้อนฉ่า แต่ละครั้งที่เสาหลักแห่งเลือดเนื้อตอกตรึงเข้าหามันทั้งแรงขึ้นและลึกขึ้น กระทั่งความเป็นชายสอดลึกสุดเส้นทางสวรรค์ได้สำเร็จ“อื้อ…อาเปา”“รู้สึกดีแล้วใช่ไหมภรรยาข้า” เขากระซิบถามเสียงพร่า เมื่อรู้สึกได้ถึงความอิ่มเอมในน้ำเสียงนาง และแน่นอนว่าตอนนี้เขาเองก็รู้สึกดีที่ถูกความแน่นหนึบของนางตอดรั
“ที่แท้เจ้าก็คืออาเปา” ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มบางเบา เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าผู้มีพระคุณของนางเป็นผู้ใด“ข้าต้องขออภัยด้วยที่เป็นเพียงคนไร้หัวนอนปลายเท้า มิใช่คุณชายสูงศักดิ์ที่ไหน”“เจ้าไม่ผิดหรอกอาเปา ถ้าไม่มีเจ้าข้าคงโดนกระทำย่ำยีเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งไปแล้ว” หลินเสี่ยวหรานตอบเสียงเบาหวิว ฤทธิ์ยาทำให้ร่างกายนางอ่อนเปลี้ยราวกับไร้กระดูก ดวงตาพร่าลายไปหมด“เหลือเวลาไม่มากแล้ว คุณหนูหลินตัดสินใจเถอะ”แม้เขากับนางแทบไม่ได้พูดคุยกัน แต่ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาเขาขยันตั้งใจทำงาน และคอยช่วยเหลือคนในบ้านสวนสกุลหลินอยู่เสมอ ถึงบางครั้งหลินอ้ายจะทำตัวไม่น่ารัก เขาก็มิได้ถือสา จนล่าสุดก็เพิ่งทวงความยุติธรรมให้กับงานตัดเย็บที่ทำขึ้นอย่างยากลำบากของนาง เห็นได้ชัดว่าเนื้อแท้เขามีจิตใจที่ดี ขยันอดทน ไม่โอ้อวด ซึ่งเป็นคุณสมบัติของบุรุษที่มีการศึกษาและถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ต่อให้ตอนนี้เขาจะความจำเสื่อม แต่ฐานะที่แท้จริงคงไม่ด้อยนัก ร้ายที่สุดก็คงไม่พ้นตระกูลพ่อค้าวาณิช[1] ในเมื่อเกาอี้ซินกลัวเหลือเกินว่านางจะได้ดิบได้ดีเกินหน้าเกินตาหลินผู่ซิน และนางก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป การเลือกอาเปามาเป็นสามีคงจ
หลินเสี่ยวหรานที่กำลังหมดหวัง เห็นเงาสายหนึ่งพุ่งเข้ามา หลังจากนั้นนางก็ถูกใครบางคนพาตัวเข้าไปยังความมืดหลังแนวไม้ นางพยายามมองใบหน้าของคนที่มาช่วยนางจากปากเหว แต่ต้นไม้ใบหนาทึบเกินกว่าแสงจันทร์จะลอดเข้ามาให้เห็นได้ชัดเจน ในใจนางรู้สึกทั้งซาบซึ้งและนึกขอบคุณ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็รู้สึกไม่วางใจอย่างบอกไม่ถูก“ทะ...ท่านเป็นใคร”“...” ฉู่ชิงเฟิงไม่ตอบ เพราะตอนนี้เขากำลังเพ่งสมาธิไปเบื้องหน้า เพราะจับสัมผัสได้ว่ามีคนตามมาจากด้านหลัง ถึงฝีเท้าจะไม่เร็วมากนักเพราะบาดเจ็บ แต่ความเร็วระดับนี้ย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายเป็นคนมีฝีมือ หากเทียบกับอ๋องที่แค่อยากตั้งใจเรียน แต่ไม่ชอบฝึกวรยุทธเยี่ยงเขา นับว่าอยู่คนละชั้น มิหนำซ้ำตอนนี้เขายังมีสตรีที่น่าจะโดนวางยาอยู่ในอ้อมอก มองยังไงก็เสียเปรียบเต็มประตู เช่นนั้นก็ไม่ควรอวดเก่ง แต่ควรหาที่ซ่อนตัวจนกว่าจะปลอดภัยต่างหาก“ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร ก็เป็นผู้มีพระคุณของข้าแล้ว”“อืม” เขาขานรับในลำคอ แล้วพุ่งไปเบื้องหน้า ไม่กล้าลดความเร็วลงแม้แต่นิดเดียว แต่มองไปทางใดก็ยังไม่เจอจุดที่น่าจะหลบซ่อนตัวได้ และเขาที่เพิ่งใช้วิชาตัวเบาอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรกในชีวิต ก็เริ่
อีกด้านหนึ่งฉู่ชิงเฟิงที่คิดถึงเนื้อจนทนไม่ไหวตัดสินใจซ่อมธนูสำหรับล่าสัตว์ที่ถูกทิ้งไว้ในห้องเก็บเครื่องมือ เพื่อออกไปล่ากระต่ายป่า แล้วเขาก็ค้นพบว่าการเคลื่อนไหวของเขาคล่องแคล่วว่องไวขึ้น อีกทั้งกล้ามเนื้อแขนก็แข็งแกร่งจนง้างธนูได้สบายกว่าเดิมมากดูเหมือนการทำงานหนักในบ้านสวนสกุลหลินจะไม่ได้มีแต่มุมเลวร้าย เพราะตอนนี้เขากลายเป็นหนุ่มรูปงาม ร่างกายแข็งแรงกำยำจนสตรีใจสะท้านไปแล้ว ดูได้จากสายตาหญิงสาวที่เขาพบเจอที่ตัวอำเภอ จะมีก็แต่คุณหนูใหญ่สกุลหลินผู้เดียวที่ไม่รู้สึกรู้สา แล้วยังใจร้ายกับเขาไม่เลิกราในเมื่อนางคิดแต่จะทำให้เขาทนอยู่ที่นี่ต่อไม่ไหว เขาก็จะช่วยเหลือตัวเองโชคดีที่เขาชอบยิงธนู เพราะมันไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวเยอะเหมือนพวกวิชากระบี่ แต่ด้วยเป็นคนร่างใหญ่อ้วนท้วนทำให้เขาขยับตัวบนหลังม้าได้ไม่คล่อง ส่งผลให้ผลงานการล่าสัตว์รั้งท้ายพี่น้องอยู่ทุกปี ผิดกับพวกเป้านิ่ง ซึ่งฝีมือของเขาถือเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาองค์ชาย แต่ก็มักถูกด้อยค่าด้วยคำพูดที่ว่าแค่ยืนยิงธนูอยู่กับที่จะไปมีประโยชน์ใช้สอยอะไรทว่าวันนี้เขาเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมร่างกายที่เคยอ้วนท้วนอุ้ยอ้าย ตอนนี้แข็งแรงกำย
“ถึงบ่าวจะโง่เขลา แต่ใช่จะไม่รู้อะไรเลย ป่านนี้ชื่อเสียงของท่านคงถูกฮูหยินกับคุณหนูสี่ทำลายจนแทบไม่เหลือชิ้นดี แล้วแบบนี้จะไม่ให้บ่าวโกรธแค้นพวกเขาแทนท่านได้เยี่ยงไร”“พวกนางอยากทำอะไรก็ให้ทำไป เพราะสำหรับข้าในตอนนี้ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการรักษาร่างกายให้หายดี”“ท่านถูกรังแกถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่เล่าให้ทางสกุลกัวฟังเล่าเจ้าคะ ถ้าให้เหล่าไท่จวินที่คนต่างเคารพนับถือช่วยออกหน้า จะต้องทวงความยุติธรรมคืนให้คุณหนูได้อย่างแน่นอน”“เพราะข้าแซ่หลิน มิได้แซ่กัว อีกอย่างท่านป้าสะใภ้กับท่านยายมีบุญคุณที่เลี้ยงดูข้าจนเติบใหญ่ ข้ามิอาจให้พวกท่านเหล่านั้นถูกคนตำหนิเอาได้ว่าก้าวก่ายเรื่องของคนสกุลอื่นโดยไม่จำเป็น”“โถ่ คุณหนู”“หลินอ้าย ถ้าทุกอย่างมันง่ายปานนั้น ข้าคงไม่ต้องมารักษาตัวไกลถึงจงมู่”“บ่าวกลัวเหลือเกินว่าฮูหยินจากสกุลเกาผู้นั้นจะจัดการให้ท่านแต่งกับบุรุษเสเพล ไร้ชื่อเสียง ไร้อนาคต” หลินอ้ายเป็นกังวลแทนเจ้านาย เพราะสตรีที่มีข่าวลือว่าร่างกายอ่อนแอมักไม่มีตระกูลใหญ่ต้องการ“พอได้แล้ว ข้าอยากแช่ตัวเงียบๆ” ใช่ว่าหลินเสี่ยวหรานจะไม่คิดอะไรเลย จึงอดหงุดหงิดไม่ได้“บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”“คืนน
หลินเสี่ยวหรานได้รับการอบรมจากป้าสะใภ้ และเหล่าไท่จวินผู้เป็นยาย เติบโตมาเป็นดรุณีที่งดงามทั้งกิริยามารยาท งานบ้านงานเรือนล้วนจัดการได้ดี กระทั่งอายุได้สิบสามปีบิดาก็มาเจรจาขอนางคืนจากสกุลกัวต่อให้ไม่อยากคืนเท่าไร ก็ทำไม่ได้ เพราะนางแซ่หลิน มิได้แซ่กัว ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องออกจากปราการอันอบอุ่นปลอดภัยภายใต้ปีกของสกุลมารดา มาอยู่ภายใต้การปกครองของสตรีหน้าซื่อใจคดอย่างเกาอี้ซิน ชีวิตในฐานะคุณหนูใหญ่สกุลหลินที่ควรจะสดใสรุ่งโรจน์ และได้แต่งงานเข้าสกุลดีๆ กลับต้องจบลงด้วยการระเห็จมาอยู่ที่บ้านสวนในอำเภอเล็กๆ อย่างจงมู่ ทำให้บัดนี้หลินผู่ซินเฉิดฉายในฐานะคุณหนูภรรยาเอกจวนสกุลหลินเพียงผู้เดียวหลินเสี่ยวหรานได้แต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าอย่างเลื่อนลอยพอกลับถึงบ้านสวนสกุลหลิน ฉู่ชิงเฟิงก็ช่วยอาโต๋วกับหลินอ้ายขนข้าวของเครื่องใช้และเสบียงที่ซื้อมาไปเก็บ เขาเหลือบมองห่อกระดาษเคลือบน้ำมันที่ภายในมีเนื้อหมูติดมันชิ้นโตอย่างมีความสุข เพราะเชื่อว่าหลินเสี่ยวหรานจะต้องซาบซึ้งเรื่องเงินห้าตำลึง แล้วยอมให้เขาได้กินเนื้ออย่างที่ควรจะเป็นในวันพรุ่งนี้ ทว่า...ไม่มี!“นี่มันอะไรกันเนี่ย” ฉู่ชิงเฟิงแ