หลินเสี่ยวหรานเห็นใบหน้าอ้วนกลมเต็มไปด้วยความสับสนว้าวุ่น คล้ายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร นางก็เกิดสงสารเขาขึ้นมาอีก จึงไม่คิดถือสาหาความเรื่องเมื่อครู่
“ข้าพบเจ้านอนหมดสติอยู่ที่ริมลำธาร ข้าไม่อาจทนเห็นคนตายไปต่อหน้าต่อตาได้ จึงให้ความช่วยเหลือ พาเจ้ามาพักฟื้นที่นี่”
“ที่แท้ข้าก็ยังไม่ตาย” ฉู่ชิงเฟิงพึมพำกับตัวเอง ใจหนึ่งก็ดีใจ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเสียดายที่เรื่องตายแล้วเกิดใหม่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แสดงว่าตอนนี้เขายังคงเป็นอ๋องอ้วนอัปลักษณ์ที่ถูกผู้คนดูแคลนรูปร่างหน้าตาอยู่เช่นเดิม
“เจ้านอนอยู่อย่างนั้นหลายวันคงจะหิวแย่ รีบกินเถอะ” หลินเสี่ยวหรานนั่งลงอีกครั้ง แล้วทำท่าจะป้อนโจ๊กเขาต่อ
“ใจคอเจ้าจะยังจะเอาโจ๊กรสชาติห่วยแตกชามนั้นมาให้ข้ากินอีกหรือ”
“ข้าไม่ได้จะกลั่นแกล้งคนตกทุกข์ได้ยากดอกนะ แต่ท่านหมอสั่งเอาไว้ว่า หากเจ้าฟื้นขึ้นมาเมื่อไร ให้เอาแค่โจ๊กธรรมดาไม่ปรุงรสใดๆ มาให้ก่อน ไม่อย่างนั้นร่างกายที่ไม่ได้กินอาหารมาแล้วหลายวันจะรับไม่ไหว”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองหรอกรึ” ฉู่ชิงเฟิงพึมพำ
หลินเสี่ยวหรานได้ยินก็พยักหน้า ก่อนตักโจ๊กมาเป่าแล้วยื่นไปที่ปากของเขาใหม่
เมื่อทราบเหตุผลที่แท้จริง ฉู่ชิงเฟิงก็ยอมอ้าปากกินโจ๊กชามนั้น และแต่ละคำทำให้เขารู้ว่าตัวเองหิวมากมายขนาดไหน สุดท้ายก็กินของไม่อร่อยที่ถูกป้อนจากสาวงามจนหมดเกลี้ยง
“กินอิ่มแล้ว เจ้ารู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่” หลินเสี่ยวหรานเอ่ยถาม
ฉู่ชิงเฟิงพยักหน้าเบาๆ “ขอบคุณแม่นางที่ช่วยเหลือข้า”
“ไม่เป็นไร แต่ในเมื่อเจ้าฟื้นแล้ว กินก็ได้กินแล้ว ทีนี้พอจะนึกอะไรออกบ้างหรือยัง”
“แล้วข้าควรจะต้องนึกอะไรออกบ้างเล่า”
คำพูดคล้ายยียวนนี้ชวนให้หลินเสี่ยวหรานอยากจะเขกกะโหลกเขาสักทีสองที แต่นางก็พยายามข่มใจ แล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่สุด “ตอนนี้จำได้หรือยังว่าเจ้าเป็นใคร มาจากไหน ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่”
พอถูกถามแบบนี้ เขาพลันคิดถึงเรื่องน่าอายก่อนเกิดเหตุ
ฉู่ชิงเฟิงเลยรู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะเล่า และหากคนเหล่านี้รู้ว่าเขาคือใคร เขาก็ต้องกลับไปพบกับความอับอายจากการถูกทุกคนมองอย่างสมเพช เพราะหากเป็นอย่างที่หลินผู่ซินพูดไว้ บิดานางคงจะปฏิเสธการหมั้นหมายนี้หลังจากที่คณะล่าสัตว์ของฮ่องเต้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว
“คือว่า เปิ่น... เอ่อ ข้า...” เขาอึกอัก ยังคิดไม่ออกว่าควรบอกออกไปเช่นไร
“มัวอ้ำอึ้งอะไรอยู่ รีบตอบคุณหนูข้าเร็วเข้า” หลินอ้ายเร่งเร้าเอาคำตอบแทนนายหญิง
“คือว่า ข้า...” ฉู่ชิงเฟิงยกมือยกไม้ขึ้นมาเหมือนกับคนทำอะไรไม่ถูก
“หลินอ้ายใจเย็นๆ ก่อน” หลินเสี่ยวหรานปรามคนของตนเอง แล้วหันกลับไปถามชายหนุ่มใหม่อีกครั้ง “หรือว่า เจ้ายังจำอะไรไม่ค่อยได้ เลยไม่รู้จะเล่าอย่างไร”
เหมือนกระรอกน้อยถูกชี้โพรงให้เห็น ฉู่ชิงเฟิงพลันได้ข้ออ้างที่จะอยู่ที่นี่ต่อสักพัก อย่างน้อยถ้าเขาหายไป แล้วอัครเสนาบดีใช้เหตุผลนี้ปฏิเสธเรื่องหมั้นหมายไปก่อน เขาก็จะไม่ค่อยเสียหน้าเท่าใด
“ข้าปวดหัวมากเลย จำอะไรไม่ได้” ฉู่ชิงเฟิงยกมือขึ้นมากุมศีรษะ และประจวบเหมาะเหลือเกินที่บนหัวเขามีแผลจากการถูกหินกระแทกอยู่จุดหนึ่งพอดี
เรื่องนี้ไม่ได้เกินความคาดหมายของหลินเสี่ยวหราน เพราะท่านหมอบอกเอาไว้แล้วว่า บางทีคนที่บาดเจ็บที่ศีรษะ ซ้ำยังสลบไปนาน อาจมีปัญหาเรื่องความจำอยู่บ้าง นางจึงสั่งให้คนเก็บข้าวของของเขาเอาไว้อย่างดี เผื่อว่าคนเห็นแล้วจะจำอะไรได้ไวขึ้น
“หลินอ้าย เจ้าไปเอาของของเขามานี่ที”
หลินอ้ายรับคำสั่งแล้วเดินไปยังหีบเล็กๆ ที่มุมห้อง นางหยิบห่อผ้าห่อหนึ่งออกมาจากในนั้นเอาไปยื่นให้เจ้าของ “เอ้า เอาไป”
ฉู่ชิงเฟิงรับห่อผ้านั้นมาเปิดดู ในนี้มีของของเขาอยู่จริงๆ แต่เหมือนจะมีบางอย่างหายไป
“ของที่ติดตัวเจ้ามามีเพียงเสื้อผ้า กับปิ่นปักผมอันเดียวเท่านั้น” หลินเสี่ยวหรานเห็นเขาควานหาของไม่หยุด นางจึงบอกเขาว่าพบอะไรบ้างเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
“เจ้าแน่ใจนะ ไม่มีอย่างอื่นแล้วจริงๆ ใช่ไหม” ฉู่ชิงเฟิงจำได้ว่าเขามีป้ายหยกขาวมันแพะสลักอักษร ‘โซ่ว’ อยู่ด้วย
“ถามเยี่ยงนี้หมายความว่าอย่างไร เดี๋ยวแม่ตีด้วยถาดเสียเลย” หลินอ้ายปราดเข้ามาด้วยความโมโหที่เขาทำท่าเหมือนเจ้านายของนางเป็นขโมย ทั้งยังเงื้อถาดในมือขึ้นสูงเตรียมจะทำอย่างที่ปากว่า
“เดี๋ยวก่อนๆ ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ คือข้าแค่คิดว่าอาจจะมีสิ่งใดที่สามารถระบุตัวตนของข้าได้ติดมาด้วย แต่ในเมื่อมีของเพียงแค่นี้ เกรงว่าการหาตัวตนของข้าจะยิ่งยากขึ้นไปอีก” ฉู่ชิงเฟิงรีบตอบก่อนจะถูกหลินอ้ายเอาถาดในมือตีหัวจนสมองเสื่อมไปจริงๆ
“ถ้างั้นก็แล้วไป” หลินอ้ายถอยหลังกลับไปยืนที่เดิม
“หลินอ้ายเจ้าก็ใจเย็นๆ หน่อยเถิด ถ้าเป็นข้า ข้าก็คงไม่อาจไว้ใจคนแปลกหน้าได้ในทันทีหรอก” หลินเสี่ยวหรานพูดอย่างเข้าอกเข้าใจ
“ถ้าระแวงนักละก็ งั้นข้าก็จะบอกเจ้าเอาบุญ จงจำเอาไว้ให้ดี นายหญิงของข้าคือบุตรสาวของท่านอัครเสนาบดีคนปัจจุบัน มีนามว่าหลินเสี่ยวหราน”
“ลูกสาวใต้เท้าหลิน หลินเสี่ยวหรานงั้นรึ” ฉู่ชิงเฟิงเบิกตากว้าง เขาจำไม่ได้ว่าเคยเห็นสตรีนางนี้ไปร่วมงานเลี้ยงที่ไหน แต่พอนึกอีกทีเหมือนเคยมีคนเล่าให้เขาฟังว่า ความจริงแล้วอัครเสนาบดีหลินมีบุตรสาวสองคน ทว่าคนโตซึ่งเกิดกับฮูหยินคนก่อนนั้นร่างกายไม่แข็งแรง นางจึงถูกส่งไปรักษาตัวที่ต่างเมืองตั้งแต่อายุสิบสี่ ซึ่งนี่ก็น่าจะผ่านมาได้สองปีแล้วกระมัง
หลังจากจัดการกางเกงของตัวเองเรียบร้อยแล้ว บุรุษที่เต็มไปด้วยแรงปรารถนาพลันแทรกกายลงตรงกลางหว่างขาเรียว เขาลูบไล้เนินเนื้อเกลี้ยงเกลาอย่างพออกพอใจ แล้วค่อยๆ ขยับเข้าประชิดร่างบาง ดุนดันสะโพกส่งตัวตนเข้าไปพิชิตเส้นทางสู่สวรรค์หลินเสี่ยวหรานกรีดร้อง เมื่อถูกแท่งเพลิงร้อนลวกชำแรกความสาวเป็นครั้งแรก มันทั้งเจ็บทั้งตึงไปหมดจนไม่อาจกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้ได้“อาเปา ขะ…ข้าเจ็บ”“อดทนอีกนิดนะ อีกประเดี๋ยวเจ้าจะรู้สึกดีขึ้น ดีเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เชียวล่ะ” ฉู่ชิงเฟิงล่อลวง พลางขยับสะโพกเข้าออกช้าๆ พรมจูบทั่วดวงหน้างามผุดผาด รวมไปถึงกลีบปากเล็กน่ารักที่เอาแต่ร้องเรียก “อาเปา อื้อ อาเปา” ไม่หยุดหลินเสี่ยวหรานสั่นสะท้านไปทั้งร่าง นางทั้งเจ็บทั้งเสียดเสียว เมื่อเขาเร่งจังหวะตอกสะโพก บดเบียดลำกายจนเส้นทางรักร้อนฉ่า แต่ละครั้งที่เสาหลักแห่งเลือดเนื้อตอกตรึงเข้าหามันทั้งแรงขึ้นและลึกขึ้น กระทั่งความเป็นชายสอดลึกสุดเส้นทางสวรรค์ได้สำเร็จ“อื้อ…อาเปา”“รู้สึกดีแล้วใช่ไหมภรรยาข้า” เขากระซิบถามเสียงพร่า เมื่อรู้สึกได้ถึงความอิ่มเอมในน้ำเสียงนาง และแน่นอนว่าตอนนี้เขาเองก็รู้สึกดีที่ถูกความแน่นหนึบของนางตอดรั
“ที่แท้เจ้าก็คืออาเปา” ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มบางเบา เมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าผู้มีพระคุณของนางเป็นผู้ใด“ข้าต้องขออภัยด้วยที่เป็นเพียงคนไร้หัวนอนปลายเท้า มิใช่คุณชายสูงศักดิ์ที่ไหน”“เจ้าไม่ผิดหรอกอาเปา ถ้าไม่มีเจ้าข้าคงโดนกระทำย่ำยีเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งไปแล้ว” หลินเสี่ยวหรานตอบเสียงเบาหวิว ฤทธิ์ยาทำให้ร่างกายนางอ่อนเปลี้ยราวกับไร้กระดูก ดวงตาพร่าลายไปหมด“เหลือเวลาไม่มากแล้ว คุณหนูหลินตัดสินใจเถอะ”แม้เขากับนางแทบไม่ได้พูดคุยกัน แต่ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาเขาขยันตั้งใจทำงาน และคอยช่วยเหลือคนในบ้านสวนสกุลหลินอยู่เสมอ ถึงบางครั้งหลินอ้ายจะทำตัวไม่น่ารัก เขาก็มิได้ถือสา จนล่าสุดก็เพิ่งทวงความยุติธรรมให้กับงานตัดเย็บที่ทำขึ้นอย่างยากลำบากของนาง เห็นได้ชัดว่าเนื้อแท้เขามีจิตใจที่ดี ขยันอดทน ไม่โอ้อวด ซึ่งเป็นคุณสมบัติของบุรุษที่มีการศึกษาและถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ต่อให้ตอนนี้เขาจะความจำเสื่อม แต่ฐานะที่แท้จริงคงไม่ด้อยนัก ร้ายที่สุดก็คงไม่พ้นตระกูลพ่อค้าวาณิช[1] ในเมื่อเกาอี้ซินกลัวเหลือเกินว่านางจะได้ดิบได้ดีเกินหน้าเกินตาหลินผู่ซิน และนางก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป การเลือกอาเปามาเป็นสามีคงจ
หลินเสี่ยวหรานที่กำลังหมดหวัง เห็นเงาสายหนึ่งพุ่งเข้ามา หลังจากนั้นนางก็ถูกใครบางคนพาตัวเข้าไปยังความมืดหลังแนวไม้ นางพยายามมองใบหน้าของคนที่มาช่วยนางจากปากเหว แต่ต้นไม้ใบหนาทึบเกินกว่าแสงจันทร์จะลอดเข้ามาให้เห็นได้ชัดเจน ในใจนางรู้สึกทั้งซาบซึ้งและนึกขอบคุณ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็รู้สึกไม่วางใจอย่างบอกไม่ถูก“ทะ...ท่านเป็นใคร”“...” ฉู่ชิงเฟิงไม่ตอบ เพราะตอนนี้เขากำลังเพ่งสมาธิไปเบื้องหน้า เพราะจับสัมผัสได้ว่ามีคนตามมาจากด้านหลัง ถึงฝีเท้าจะไม่เร็วมากนักเพราะบาดเจ็บ แต่ความเร็วระดับนี้ย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายเป็นคนมีฝีมือ หากเทียบกับอ๋องที่แค่อยากตั้งใจเรียน แต่ไม่ชอบฝึกวรยุทธเยี่ยงเขา นับว่าอยู่คนละชั้น มิหนำซ้ำตอนนี้เขายังมีสตรีที่น่าจะโดนวางยาอยู่ในอ้อมอก มองยังไงก็เสียเปรียบเต็มประตู เช่นนั้นก็ไม่ควรอวดเก่ง แต่ควรหาที่ซ่อนตัวจนกว่าจะปลอดภัยต่างหาก“ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร ก็เป็นผู้มีพระคุณของข้าแล้ว”“อืม” เขาขานรับในลำคอ แล้วพุ่งไปเบื้องหน้า ไม่กล้าลดความเร็วลงแม้แต่นิดเดียว แต่มองไปทางใดก็ยังไม่เจอจุดที่น่าจะหลบซ่อนตัวได้ และเขาที่เพิ่งใช้วิชาตัวเบาอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรกในชีวิต ก็เริ่
อีกด้านหนึ่งฉู่ชิงเฟิงที่คิดถึงเนื้อจนทนไม่ไหวตัดสินใจซ่อมธนูสำหรับล่าสัตว์ที่ถูกทิ้งไว้ในห้องเก็บเครื่องมือ เพื่อออกไปล่ากระต่ายป่า แล้วเขาก็ค้นพบว่าการเคลื่อนไหวของเขาคล่องแคล่วว่องไวขึ้น อีกทั้งกล้ามเนื้อแขนก็แข็งแกร่งจนง้างธนูได้สบายกว่าเดิมมากดูเหมือนการทำงานหนักในบ้านสวนสกุลหลินจะไม่ได้มีแต่มุมเลวร้าย เพราะตอนนี้เขากลายเป็นหนุ่มรูปงาม ร่างกายแข็งแรงกำยำจนสตรีใจสะท้านไปแล้ว ดูได้จากสายตาหญิงสาวที่เขาพบเจอที่ตัวอำเภอ จะมีก็แต่คุณหนูใหญ่สกุลหลินผู้เดียวที่ไม่รู้สึกรู้สา แล้วยังใจร้ายกับเขาไม่เลิกราในเมื่อนางคิดแต่จะทำให้เขาทนอยู่ที่นี่ต่อไม่ไหว เขาก็จะช่วยเหลือตัวเองโชคดีที่เขาชอบยิงธนู เพราะมันไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวเยอะเหมือนพวกวิชากระบี่ แต่ด้วยเป็นคนร่างใหญ่อ้วนท้วนทำให้เขาขยับตัวบนหลังม้าได้ไม่คล่อง ส่งผลให้ผลงานการล่าสัตว์รั้งท้ายพี่น้องอยู่ทุกปี ผิดกับพวกเป้านิ่ง ซึ่งฝีมือของเขาถือเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาองค์ชาย แต่ก็มักถูกด้อยค่าด้วยคำพูดที่ว่าแค่ยืนยิงธนูอยู่กับที่จะไปมีประโยชน์ใช้สอยอะไรทว่าวันนี้เขาเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมร่างกายที่เคยอ้วนท้วนอุ้ยอ้าย ตอนนี้แข็งแรงกำย
“ถึงบ่าวจะโง่เขลา แต่ใช่จะไม่รู้อะไรเลย ป่านนี้ชื่อเสียงของท่านคงถูกฮูหยินกับคุณหนูสี่ทำลายจนแทบไม่เหลือชิ้นดี แล้วแบบนี้จะไม่ให้บ่าวโกรธแค้นพวกเขาแทนท่านได้เยี่ยงไร”“พวกนางอยากทำอะไรก็ให้ทำไป เพราะสำหรับข้าในตอนนี้ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการรักษาร่างกายให้หายดี”“ท่านถูกรังแกถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่เล่าให้ทางสกุลกัวฟังเล่าเจ้าคะ ถ้าให้เหล่าไท่จวินที่คนต่างเคารพนับถือช่วยออกหน้า จะต้องทวงความยุติธรรมคืนให้คุณหนูได้อย่างแน่นอน”“เพราะข้าแซ่หลิน มิได้แซ่กัว อีกอย่างท่านป้าสะใภ้กับท่านยายมีบุญคุณที่เลี้ยงดูข้าจนเติบใหญ่ ข้ามิอาจให้พวกท่านเหล่านั้นถูกคนตำหนิเอาได้ว่าก้าวก่ายเรื่องของคนสกุลอื่นโดยไม่จำเป็น”“โถ่ คุณหนู”“หลินอ้าย ถ้าทุกอย่างมันง่ายปานนั้น ข้าคงไม่ต้องมารักษาตัวไกลถึงจงมู่”“บ่าวกลัวเหลือเกินว่าฮูหยินจากสกุลเกาผู้นั้นจะจัดการให้ท่านแต่งกับบุรุษเสเพล ไร้ชื่อเสียง ไร้อนาคต” หลินอ้ายเป็นกังวลแทนเจ้านาย เพราะสตรีที่มีข่าวลือว่าร่างกายอ่อนแอมักไม่มีตระกูลใหญ่ต้องการ“พอได้แล้ว ข้าอยากแช่ตัวเงียบๆ” ใช่ว่าหลินเสี่ยวหรานจะไม่คิดอะไรเลย จึงอดหงุดหงิดไม่ได้“บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”“คืนน
หลินเสี่ยวหรานได้รับการอบรมจากป้าสะใภ้ และเหล่าไท่จวินผู้เป็นยาย เติบโตมาเป็นดรุณีที่งดงามทั้งกิริยามารยาท งานบ้านงานเรือนล้วนจัดการได้ดี กระทั่งอายุได้สิบสามปีบิดาก็มาเจรจาขอนางคืนจากสกุลกัวต่อให้ไม่อยากคืนเท่าไร ก็ทำไม่ได้ เพราะนางแซ่หลิน มิได้แซ่กัว ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องออกจากปราการอันอบอุ่นปลอดภัยภายใต้ปีกของสกุลมารดา มาอยู่ภายใต้การปกครองของสตรีหน้าซื่อใจคดอย่างเกาอี้ซิน ชีวิตในฐานะคุณหนูใหญ่สกุลหลินที่ควรจะสดใสรุ่งโรจน์ และได้แต่งงานเข้าสกุลดีๆ กลับต้องจบลงด้วยการระเห็จมาอยู่ที่บ้านสวนในอำเภอเล็กๆ อย่างจงมู่ ทำให้บัดนี้หลินผู่ซินเฉิดฉายในฐานะคุณหนูภรรยาเอกจวนสกุลหลินเพียงผู้เดียวหลินเสี่ยวหรานได้แต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าอย่างเลื่อนลอยพอกลับถึงบ้านสวนสกุลหลิน ฉู่ชิงเฟิงก็ช่วยอาโต๋วกับหลินอ้ายขนข้าวของเครื่องใช้และเสบียงที่ซื้อมาไปเก็บ เขาเหลือบมองห่อกระดาษเคลือบน้ำมันที่ภายในมีเนื้อหมูติดมันชิ้นโตอย่างมีความสุข เพราะเชื่อว่าหลินเสี่ยวหรานจะต้องซาบซึ้งเรื่องเงินห้าตำลึง แล้วยอมให้เขาได้กินเนื้ออย่างที่ควรจะเป็นในวันพรุ่งนี้ ทว่า...ไม่มี!“นี่มันอะไรกันเนี่ย” ฉู่ชิงเฟิงแ