เฉิงซินเตรียมหอบผ้าผ่อนออกไปอีกหน ทว่าอีกฝ่ายยังคงกล่าวเสียงขรึม "ข้าบอกว่าอย่างไร ไม่ฟังแล้วหรือ นี่คงเป็นเหตุผลที่เจ้าอยากหย่ากับข้าใช่หรือไม่"
"ห้ะ!"
เฉิงซินงุนงง เขาต้องการพูดเรื่องใดกับนางกันแน่ เดี๋ยวเรื่องไป เดี๋ยวเรื่องหย่า ทำให้นางรู้สึกสับสนมึนงงไปหมด
"นอนตรงนี้ หากไม่เชื่อฟัง ข้าจะผูกเจ้าติดกับเสาเตียงเอาไว้จนเช้า และจะขังไว้ในจวน จะได้ไม่ต้องเที่ยวร่อนไปหาชายอื่นทั้งที่ตนแต่งงานมีสามีแล้ว"
"นี่ท่าน! เว่ยจวินอี้ ทีตัวเองไปพบหญิงอื่นได้ ทว่าข้าไม่อาจไปพบสหายของตนได้เช่นนั้นหรือ ไร้คุณธรรม แล้งน้ำใจเกินไปแล้ว"
"ข้าไม่ได้ไปพบนาง" เว่ยจวินอี้เหลียวหน้ามองเฉิงซินเขม็ง
เฉิงซินผงะ ทว่านางยังคงกระแอมออกมาเพื่อกลบอาการหวาดผวาของตน
"เหอะ! ท่านแม่ทัพ ผู้ใดก็ทราบดี ว่าข้าไปแย่งคนรักของผู้อื่น มาบัดนี้ข้าจะคืนความอิสระให้ท่าน ท่านก็ไม่ต้องการ ตกลงแล้วท่านจะเอาอย่างไรกันแน่ หรือยังกลั่นแกล้งข้าไม่เพียงพอ"
เฉิงซินกัดฟันกรอด นางพยายามต่อสู้กับสายตาดุดันนั้นอย่างไม่ลดละเช่นเดียวกัน
"นอน!"
"ข้าไม่อยากนอนกับท่าน!"
เว่ยจวินอี้กลับไม่เชื่อฟังเสียงร้องทัดทานของเฉิงซิน เขากระทำตามอำเภอใจของตน ฝ่ามือรวบเอวคอดเอาไว้ พลางโถมกายพร้อมยึดอีกฝ่ายนอนลงไป เสียงหัวใจของเฉิงซินเต้นระทึก นางหวาดกลัวว่าแม่ทัพผู้นี้จะหาวิธีสังหารตนขึ้นมา พยายามดีดกายขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็ยังถูกฉุดลงจนเสียหลักนอนพังพาบทับหน้าอกของคนเบื้องล่างเข้าอย่างจัง
นางได้ยินเสียงหอบเหนื่อยดังออกมาจากอกด้านซ้ายของเขา เฉิงซินรู้สึกฉงนปนขลาดกลัว ทว่ายังสู้อุตส่าห์ทำใจดีสู้เสือ และผลักกายของตนให้ถอยห่าง ดูเหมือนเว่ยจวินอี้ไม่ยินยอม เขายังคงบีบไหล่ และบังคับให้นางหนุนบนอกของตนอยู่เช่นนั้น ใบหน้าของเฉิงซินเริ่มเหยเก ดูเอาเถิดฝ่ามือคนหรือคีมเหล็กกันเล่า กอดทีร้าวระบมไปยังไขกระดูก
"ข้าเจ็บ!" เฉิงซินช้อนดวงตามองคาดโทษ
"เจ็บหรือ เจ็บสิดีจะได้จำ แล้วจำใส่สมองที่มีเพียงน้อยนิดของเจ้าด้วย ว่าตนมีสามีแล้ว อย่าเที่ยวออกไปไหนกับชายอื่นสองต่อสองเพื่อสร้างความอับอายให้ข้า" เว่ยจวินอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างทั้งที่กกกอดนางอยู่เช่นนั้น
เฉิงซินรู้สึกเลือดขึ้นหน้าทันควัน ทว่าไม่อาจต่อต้านแรงอีกฝ่ายได้ กายไม่อาจกระดิก ทว่าปากของนางยังว่างยิ่งนัก
"คนใจแคบ ผู้ใดนับท่านเป็นสามีกัน"
"เช่นนั้นต้องเข้าหอหรือไม่จึงจะนับว่าเป็นสามี" เว่ยจวินอี้กล่าวออกมาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวใด
ทว่าใบหน้าของเฉิงซินกลับแดงก่ำขึ้นมาเสียแล้ว แม่ทัพผู้นี้จะเอาอย่างไรกับนาง เพียงต้องการเล่นกับความรู้สึกอย่างนั้นหรือ ช่างโหดร้ายเกินไปหน่อยหรือไม่ รู้ว่านางชมชอบตนอยู่จะกล่าววาจาหยามเกียรตินางอย่างไรก็ได้สินะ เฉิงซินเม้มปากเป็นเส้นตรง ดวงตาเริ่มแดงก่ำกายสั่นเทาน้อย ๆ
เว่ยจวินอี้รู้สึกถึงอาการที่ประหลาดไปของเฉิงซินจึงเอ่ยถาม "หมดแรงแล้วหรือไร เมื่อครู่ยังปากดีอยู่ไม่ใช่หรือ"
เฉิงซินพยายามสะกดอารมณ์ของตนจนถึงขีดสุด นางยอมรับว่าไม่อาจตัดใจจากเว่ยจวินอี้ได้ ทว่านางไม่อยากตกเป็นของผู้ใดโดยที่เขายังคงปันใจให้หญิงอื่น นางจึงแสร้งหลับดวงตาลงเชื่องช้า
อีกไม่นานพรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว เพียงข่มใจให้ผ่านคืนนี้ไปอีกวันก็เพียงเท่านั้น ดูเหมือนนางจะได้ยินเสียงถอนหายใจหนัก ๆ จากคนใต้ร่าง อีกทั้งยังกล่าววาจาอู้อี้ใดไม่ทราบ ฝ่ามือที่บังคับขู่เข็ญพลันหลวมโพรกลงเล็กน้อย
กลับกลายเป็นว่าราตรีกาลนี้แม่ทัพเว่ยได้ร่วมหลับนอนกับฮูหยินของตนเป็นคืนแรก ทว่าทั้งสองกลับผล็อยหลับลงไปด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการปะทะสงครามใส่กันเช่นนั้น ค่ำคืนนี้ไม่รู้ยาวนานถึงเพียงใด ทว่าเฉิงซินรู้สึกว่ามันช่างอบอุ่นจนน่าประหลาดระคนความเย็นเยียบอยู่ในทีเช่นกัน
โคมไฟดวงกลมห้อยระย้าสีแดงสาดสะท้อนประดับประดาเต็มรายทางและบ้านเรือน บรรยากาศดูละเมียดละไมอบอุ่น บุหลันสีนวลตาเปล่งลำแสง รอบด้านโอบล้อมด้วยดวงดาวพราวระยับ วันนี้เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ ท้องถนนเบื้องหน้าจึงแลดูครึกครื้นเป็นพิเศษ หนึ่งสตรีร่างบางทว่าโอบประคองท้องกลมสวยเดินเคียงคู่บุรุษร่างสูง ราวกับภาพบนผนังลายวิจิตรเลิศตา"ท่านพี่ ดูนั่นสิเจ้าคะ"เว่ยจวินอี้ทอดสายตามองตามปลายนิ้วเรียวที่ชี้ไปยังขนมไหว้พระจันทร์ลวดลายดอกไม้งามตา เขาคลี่ยิ้มอ่อนอย่างนึกเอ็นดู ตอนนี้มือทั้งสองของเขาแทบไม่เหลือที่ว่างให้สามารถหอบหิ้วสิ่งใดได้แล้ว"เจ้าอยากกินหรือ ที่ซื้อไปนี่เจ้าว่าจะทานหมดหรือไม่" เสียงทุ้มเอ่ยอบอุ่นเฉิงซินยู่หน้าเล็กน้อย "ข้าไม่ได้หิวเสียหน่อย เป็นเจ้าตัวเล็กต่างหากเล่าเจ้าคะที่กำลังหิวอยู่" เฉิงซินลูบไล้ไปยังท้องของตนซึ่งยื่นออกมากลมดิก พลางแหงนหน้ามองแล้วฉีกยิ้มกว้างให้ผู้เป็นสามี"ก็ได้ เช่นนั้นเจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้เล่า อย่าเที่ยวเดินสุ่มสี่สุ่มห้า"เฉิงซินฉีกยิ้มกว้างดีใจ "เจ้าค่ะท่านพี่"เว่ยจวินอี้เดินเข้าไปยังร้านที่มีผู้คนต่อแถวกันให้เนืองแน่น แม้เขาจะมียศถาบรรดาศักดิ์แต่ก็มิได้ใช้
บรรยากาศภายในห้องสงบเงียบ แสงจากเชิงเทียนกลางโต๊ะกำลังส่องสว่างริบหรี่ เฉิงซินกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับบาดแผลบนต้นแขนของเว่ยจวินอี้ ส่วนเขาก็เอาแต่นั่งจ้องคนที่กำลังดูแลบาดแผลให้ตนอย่างขะมักเขม้น ด้วยดวงตาเป็นประกาย"เหตุใดเจ้าจึงอยากหย่ากับข้าเช่นนั้นหรือ" เว่ยจวินอี้กล่าวทำลายความเงียบสงัดเฉิงซินชะงักมือลงชั่วครู่ นางไม่ได้แหงนหน้ามองเขา เพียงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบาหวิว "ท่านเองก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือ"เว่ยจวินอี้ขมวดคิ้ว "รู้? ข้ารู้เรื่องใดเล่า หลังจากวันแต่งงานได้เพียงคืนเดียว ยามเช้าเจ้าก็เดินดุ่ม ๆ เข้ามาจ้องจะหย่ากับข้าให้ได้"การดูแลรักษาบาดแผลสิ้นสุดลง เฉิงซินเก็บข้าวของเรียบร้อย นางไม่ได้ตอบอีกฝ่ายเดี๋ยวนั้น เว้นระยะเล็กน้อย แล้วจึงช้อนดวงตาขึ้นสบประสานกับดวงตาคมกริบที่ไม่คิดละสายตาออกจากตน"แม่ทัพเว่ย...""ท่านพี่"เฉิงซินนิ่งเงียบ เว่ยจวินอี้จึงกล่าวอีกครั้ง "เรียกว่าท่านพี่""เอ่อ...ท่านพี่"เว่ยจวินอี้ยกโค้งมุมปากอย่างพึงพอใจ "ว่าอย่างไรเล่า""ที่ข้าอยากหย่ากับท่าน เดิมทีท่านก็ไม่เคยมีใจให้แก่ข้า""เจ้ารู้ได้อย่างไร" เว่ยจวินอี้เลิกคิ้ว นัยน์ตาพยายามกวาดมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาราว
ไม่รู้เช่นกันว่าค่ำคืนนี้นางนึกอุตริใดจึงพกมีดสั้นเอาไว้ เมื่อเห็นว่ามันหายไปจากเอวของตนและด้วยความเป็นกังวลจะเกิดอันตรายต่อแม่ทัพ นางจึงมุ่งหน้าตามอีกฝ่ายมา แม้ระหว่างทางอาจไขว้เขวเส้นทางไปบ้าง ทว่าโชคยังดีที่การเดาสุ่มของนางก็นำพาตนมาจนถึงที่แห่งนี้เสวียนเฉิงฮุย "เฉิงซิน"เฉิงซินช้อนดวงตามองคนตรงข้ามที่ยืนนิ่งเป็นหินผาไปเสียแล้ว รองแม่ทัพเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "มิใช่ว่าเจ้าเคยบอกข้าว่าอยากหย่ากับเขา แต่เขาไม่ยอมเช่นนั้นหรือ ข้ากำลังช่วยเจ้าให้สมปรารถนา ทว่าเจ้าก็ยังวิ่งรี่กลับมาหาเขาตามเดิม ข้าไม่เข้าใจ""เฉิงฮุย นี่มันวิธีการใดของท่าน ข้าอยากหย่า แต่ท่านก็ไม่ต้องทำถึงเพียงนี้หรือไม่" เฉิงซินกล่าวตำหนิ"ข้าล้วนทำเพื่อเจ้า""ท่านไม่ต้องพูดแล้ว ข้าขอร้องพวกท่านทั้งสอง ถึงอย่างไรท่านก็คือสหายของข้า ส่วนท่าน..." เฉิงซินแหงนหน้ามองผู้ที่ยืนนิ่งเงียบ เว่ยจวินอี้จึงจดจ้องดวงตาของนางตอบอย่างรอถ้อยคำเฉิงซินพ่นลมหายใจอ่อน "แม้ข้าอยากหย่ากับท่าน ทว่าในใจลึก ๆ ข้าไม่เคยลืมท่านได้เลย ข้าเพียงต้องการหลุดพ้นจากวงโคจรแห่งความเจ็บปวด..."เว่ยจวินอี้นิ่วหน้า "ข้าทำให้เจ้าเจ็บปวดถึงเพียงนั้นเช
ภายในป่าอันเงียบสงัดมีเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไร ดังสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ เว่ยจวินอี้ไล่ตามชายชุดดำจนลึกเข้ามาถึงป่าไผ่สูงชะลูด เขายืนเยือกนิ่งอยู่กลางวงล้อมของบรรดาไผ่ต้นยาว เสียงเอี๊ยดอ๊าดเสียดสีของลำต้นโงนเงนไปมาตามแรงลม เสริมความวังเวงให้น่าหดหู่มากยิ่งขึ้น เว่ยจวินอี้หอบหายใจเข้าออกถี่กระชั้น บ่งบอกถึงระยะทางที่เขาใช้แรงกายวิ่งออกมาไกลลิบ เส้นผมซึ่งถูกปล่อยสยายลงกลางหลัง และแขนเสื้อสีขาวกว้างปลิวล้อสายลมยามราตรีขับเน้นความหล่อเหลาทว่าน่าเกรงขามอยู่ในที เขาพยายามเงี่ยหูฟังเสียงการเคลื่อนไหวอย่างใจจดใจจ่อ"มัวหลบซ่อนราวสุนัขหดหัว ไม่อายบ้างหรืออย่างไร ออกมาเสีย!"เวลาผ่านไปชั่วครู่ เสียงฝีเท้าจึงค่อย ๆ ย่างกรายเนิบนาบมาจากมุมอับสายตาอันมืดมิดด้านหนึ่ง ชายร่างสูงสวมอาภรณ์ทะมัดทะแมงสีดำเข้ม ปกปิดหน้าครึ่งใบ ในมือถือมีดสั้นเล่มหนึ่ง เว่ยจวินอี้เขม้นมองของสิ่งนั้นอย่างสนใจใคร่รู้"เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรจากข้าเช่นนั้นหรือ ไฉนจึงตามระรานไม่เลิก"เว่ยจวินอี้ได้ยินเสียงแค่นหัวเราะจากลำคอของอีกฝ่าย "เรื่องนั้นสำคัญด้วยเช่นนั้นหรือ""หึ" เว่ยจวินอี้แค่นยิ้ม "ต่อให้เจ้าไม่บอกคิดว่าข้าไม่รู้เช่
ซุนอี้เหวินยื่นช้อนจ่อไปยังริมฝีปากเว่ยจวินอี้ นางรู้สึกประหม่าจิตใจเต้นอึกทึก ดวงตาที่ไม่มีผ้าคาดปกปิดมานานเพียงนี้ราวกับว่าเขากำลังจดจ้องมาที่นางโดยไม่ละสายตา กลิ่นขมของยาโชยปะทะโพรงจมูกของเขา เว่ยจวินอี้รู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องกลืนของเหลวรสย่ำแย่นี้แล้วจริง ๆ"ข้าไม่กินยาแล้วได้หรือไม่"ซุนอี้เหวินไม่ได้คะยั้นคะยอใด นางวางถ้วยลงและยื่นมือไปยังข้อมือของเว่ยจวินอี้ เขารู้เจตนาของนางดีว่าต้องการทำสิ่งใด เว่ยจวินอี้ยังคงนั่งสงบนิ่งเพื่อให้อีกฝ่ายตรวจวัดชีพจรของตนอย่างใจเย็น ซุนอี้เหวินขมวดคิ้ว หัวใจของนางเริ่มเต้นดังโครมคราม เหงื่อเย็นผุดพราวราวพบเจอเรื่องน่าประหวั่นเข้าให้เสียแล้ว ก่อนจะทันได้ผละออก จู่ ๆ ข้อมือของนางก็ตึงวืด กายลอยหวือนั่งแหมะลงบนตักแกร่ง ใบหน้าที่ถูกปกปิดด้วยผ้าแพรผืนบางถูกดึงลงแทบลืมหายใจ ซุนอี้เหวินเบิกตากว้างตะลึงลาน ส่วนผู้กระทำการอุกอาจกลับยิ้มลอยหน้าลอยตาไม่อนาทรร้อนใจใด"ซุนอี้เหวิน อา...ไม่ใช่กระมัง เฉิงซิน… หากเจ้าเป็นห่วงข้าก็ควรบอกเป็นห่วง ไฉนต้องทำถึงเพียงนี้กันเล่า"ผู้ที่ถูกจับได้ถึงกับใจเต้นกระหน่ำเรือนกายแข็งดั่งรูปสลักหินผาอยู่เช่นนั้น ริมฝีปากซึ่งไม
"หลายวันนี้ลำบากท่านแล้ว อากาศเช่นนี้ท่านชอบหรือไม่"ซุนอี้เหวินพยักหน้า"ข้าขอถามท่านหมอหนึ่งสิ่งได้หรือไม่"นางแหงนหน้าขึ้นมองคนตัวสูง ครุ่นคิด แล้วจึงพยักหน้าเป็นการตกลง"ท่านมีสามีแล้วหรือไม่"ดั่งอสนีบาตฟาดกลางกระหม่อม ซุนอี้เหวินยืนตัวแข็งทื่อหยุดฝีเท้าลงเดี๋ยวนั้น'สามีหรือ เกรงว่าสามีของนางคงไม่ยอมรับนางเป็นภรรยากระมัง'ซุนอี้เหวินจึงตัดสินใจยกฝ่ามืออีกฝ่ายขึ้นและเขียนบางสิ่ง'เหตุใดท่านจึงต้องการรู้เล่า'เว่ยจวินอี้คลี่ยิ้มบาง "ท่านไม่สะดวกใจก็ไม่เป็นไร เช่นนั้นข้าจะเล่านิทานให้ท่านฟัง"ซุนอี้เหวินกะพริบดวงตางุนงง"ครั้งหนึ่งมีนายทหารและคุณหนูตระกูลใหญ่อยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา ทั้งสองดูเหมือนรักใคร่กันดี แต่ที่จริงแล้วคุณหนูผู้นี้ต้องการหย่ากับเขายิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่นางก็ชมชอบเขา ทว่าสาเหตุที่นางต้องการหย่านายทหารผู้นั้นก็สุดจะรู้ วันหนึ่งเขาต้องออกไปรบรายังชายแดน เมื่อกลับมาก็พบว่าตนดั่งผู้พิกลพิการ ดวงตามืดบอดไม่อาจมองเห็นใบหน้าอันงดงามของภรรยาตนได้อีกต่อไป เขาไม่อยากให้คุณหนูผู้เป็นภรรยาที่รักต้องลำบากและจมปลักไร้อนาคต จึงตัดสินใจเขียนใบหย่ายื่นให้นาง หลังจากนั้นท่านว่านาง