47 หมิงหยางเต๋อกระวนกระวายใจที่จนป่านนี้ธิดาดอยหรือนกเหมยเหมยยังไม่กลับมาตำหนัก เขาเป็นห่วงเธอมากแม้จะรู้ว่า ตอนนี้เธอคงเปลี่ยนร่างเป็นนกตามคาดเดา ทว่าเขาก็ยังวางใจไม่เป็นห่วงเธอไม่ได้ นอกเสียจากเห็นเธออยู่ตรงหน้าอย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นนกหรือคน องค์รัชทายาทให้ความห่วงใยเท่ากัน เมื่อนกน้อยยังไม่บินกลับรัง สมองของคนเป็นห่วงคิดไปต่างๆ นานา เขาไม่รู้ข่าวเธอเลยตลอดทั้งวัน ไม่รู้ว่า เธอจะออกจากวังอย่างปลอดภัยไม่ถูกจับได้หรือไม่ ตอนธิดาดอยเป็นนก เธอบินขึ้นฟ้าไม่มีใครสงสัย แต่นี่เป็นคน จะออกไปได้หรือไม่ก็ไม่รู้ จะรู้ก็ต่อเมื่อธิดาดอยกลับมา นี่ก็เลยเวลาพระอาทิตย์ตกดินมาร่วมสองชั่วยามแล้ว นกน้อยของเขาก็ยังไม่บินกลับมา “องค์รัชทายาทจะเสด็จไปไหนพ่ะย่ะค่ะ”เซียวเหยาที่รับหน้าที่เฝ้าดูหน้าห้องบรรทมของคนที่เดินออกมาจากห้องเอ่ยถาม “ข้าจะไปรอนกเหมยเหมยนอกตำหนัก” คำตอบเรียกความแปลกใจให้เซียวเหยาไม่น้อย “พ่ะย่ะค่ะ” แม้จะแปลกใจแต่ก็ไม่อาจเอ่ยออกมาเป็นคำถาม ได้แต่เดินตามองค์รัชทายาทออกไปยืนรอนกเหมยเหมยนอกตำหนัก ด้านธิดาดอยตอนนี้กำลังเดินกลับเข้
46 องค์รัชทายาทหมิงหยางเต๋ออยู่ตรงศาลาไม้สองชั้นข้างตำหนัก ทอดพระเตรมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสี ดวงตะวันค่อยๆ ลดลงจนถูกกลืนไปกับเส้นขอบฟ้า ก่อนที่ความมืดจะโรยตัวเข้ามาแทนที่ ใบหน้าพระองค์มีรอยยิ้มบางๆ ขณะมองดูผืนฟ้าผัดเวลา ช่วงจังหวะที่ลดสายตาจากเบื้องบนมายังลานสระบัว เขาเกิดหน้ามืดขึ้นมากะทันหันจนร่างเอนไปมาเล็กน้อย แล้วยังรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนอยากจะอาเจียน อาการดังกล่าวเกิดขึ้นกับเขาหลายครั้งในวันนี้ และทุกครั้งก็เก็บอาการไว้ได้เป็นเพราะอยู่ต่อหน้าเหล่าขุนนาง เขาจะแสดงอาการที่ส่งผลไม่ดีต่อร่างกายไม่ได้ ทว่าเวลานี้ เขาอยู่กับหลิวกงกง บุคคลที่เขาไว้ใจมากคนหนึ่ง ส่วนขันทีรออยู่ด้านล่างศาลาองค์รัชทายาทนำมือมาจับตรงขมับ หมายจะทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ แต่มีบางอย่างกำลังพุ่งออกมาจากปาก เขาเปลี่ยนทิศทางไปยังริมศาลา โก่งคออาเจียนเสียงดัง หลิวกงกงเห็นแล้วตกใจ รีบวิ่งมาดูพระอาการ “องค์รัชทายาทเป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ” หลิวกงกงถามไป มือลูบหลังเจ้าชีวิตไป สีหน้าเขาบอกว่า เป็นห่วงองค์รัชทายาทมาก “อ้วก” คนถูกถามไม่มีคำตอบ นอกจากเสียงอาเจียน และเมื่ออาเจียนจนพอใจ เข
45 ณ ห้องทรงงาน วันนี้องค์รัชทายาทไม่ได้นั่งในท้องพระโรงเพื่อว่าราชการ เขาเข้าเรียนเรื่องการปกครองและเรียนพิชัยสงคราม สถานที่ที่เขานั่งศึกษาเล่าเรียนคือ ศาลาด้านหลังพระตำหนักติดกับสระบัว การเรียนในวันนี้เขาไม่มีสมาธิสักเท่าไหร่ ใจกระหวัดถึงธิดาดอย แม้นรู้ว่าเธอเอาตัวรอดได้ แต่เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้ กลัวไปสารพัด หวาดวิตกนั่นโน่นนี่ คิ้วขมวดยุ่งราวกับมีเรื่องครุ่นคิดในใจ และนั่นทำให้เขาตกอยู่ในอาการเหม่อ เนื่องจากในสมองมีแต่ความห่วงใยธิดาดอย คำสอนของอาจารย์ฟู่จึงไม่ไหลเข้าไปในหู “พิชัยสงครามบทที่สองการทำศึกกรีธาทัพหนึ่งแสน ซึ่งมีรถศึกเทียมด้วยม้าสี่ตัวพันคัน รถหุ้มเกราะหนังพันคัน พลเกราะหนึ่งแสน และเสบียงสำหรับทางไกลพันลี้ ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายวันละพันตำลึงทอง ฉะนั้นการทำสงครามจึงควรเผด็จศึกโดยเร็วอย่าให้ยืดเยื้อ”อาจารย์ฟู่หยุดพูด หันมามองอาจารย์หวังเจ้าของมือที่สะกิดแขนตน ที่พยักพเยิดหน้าไปทางองค์รัชทายาท เขาจึงหันใบหน้าไปมองคนที่ตนกำลังสอน หลิวกงกงเห็นว่า อาจารย์ทั้งสองมององค์รัชทายาท ซึ่งเขาเองได้สังเกตเห็นอาการองค์รัชทายาทมาสักครู่หนึ่ง รีบเข้าไปสะกิ
44 การหลบออกจากวังในตอนกลางวันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะตอนพระอาทิตย์ขึ้นเป็นเวลาที่ข้าทาสบริพารในวังทำงาน ซึ่งมีหลายหน่วยหลายฝ่าย ไหนจะนางกำนัลจากฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ ตำหนักต่างๆ ที่เดินกันขวักไขว่ เหล่าขุนนางต่างพาทยอยเข้ามาในวังเพื่อทำงานของตนอีก คนเยอะเช่นนี้การหลบออกไปจึงยาก จะหลบจะหลีกจะซ่อนตัวเหมือนกับที่เคยพาองค์รัชทายาทหนีออกไปนอกวังก็ไม่ได้ หลบไปใครก็ต้องเห็น แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถของธิดาดอย ชุดที่องค์รัชทายาทหามาให้ธิดาดอยใส่อาจเตะตาคนที่พบเห็นได้ ต้องทำตัวให้กลมกลืนให้มากที่สุด เธอจึงแอบย่องไปหยิบชุดของขันทีที่ขนาดตัวพอสวมใส่กันได้จากเรือนพักขันทีที่อยู่ด้านนอกฝ่ายใน หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อย เธอจึงเดินไปตามทางเดินที่มีขันที นางกำนัลเดินกันไปมา ทำตัวเนียนเพื่อไม่ให้คนอื่นสงสัย ซึ่งก็ได้ผล คนที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่มีใครสังเกตเธอเลยสักคน ระหว่างทางที่ก้าวเดิน หัวใจธิดาดอยเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น ความรู้สึกช่างต่างกับตอนเป็นนกเหลือเกิน ตอนเป็นนกบินไปไหนมาไหนไม่มีคนคอยจับสังเกตหรือสงสัย เป็นอิสระที่สุดก็ว่าได้พอมาถึงประตูเข้าออกสำหรับข้าทาสบริพารหรือคนท
43 องค์รัชทายาทเดินไปเดินมาหน้าเตียงนอน เขาเดินไปคิดไปว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นดี ช่างเป็นเรื่องที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาจึงไม่ได้หาทางรับมือไว้ เขาถึงกับคิดหนักและหาทางออก “ท่านจะเดินวนเวียนอย่างนี้อีกนานไหม ข้าเวียนหัวอยากจะอ้วก” พูดจบก็ทำท่าจะอาเจียน “เจ้าเวียนหัวเหรอ เป็นอะไร เป็นมากไหม ข้าไปตามหมอหลวงให้นะ” องค์รัชทายาทถลามาหานกน้อยของเขาทันที ถามด้วยความเป็นห่วง “จะไปตามหมอหลวงให้มารู้ความจริงทำไม แค่ท่านหยุดเดินแล้วนั่งลงก็แค่นั้น” จะว่าไปเธอก็รู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมาหน่อยๆ แถมอยากจะอาเจียนตามปากพูด “ข้าว่า ข้าต้องทำอะไรในห้องนี้ ทำที่อื่นไม่ได้”อยู่ๆ องค์รัชทายาทก็พูดออกมา ธิดาดอยถึงกับงง “ท่านหมายความว่ายังไง” “ก็เจ้าเป็นคนในตอนกลางวัน ข้าจะออกไปข้างนอกได้ยังไง เพราะตอนที่ข้าออกไปข้างนอก นางกำนัลก็ต้องมาทำความสะอาดห้องนี้ พวกนั้นก็รู้ความจริงน่ะสิ อีกอย่างจะปล่อยให้เจ้าอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ ข้าต้องอยู่ด้วย” “ทำอย่างที่ท่านพูดคนอื่นก็สงสัยน่ะสิ ไม่ได้หรอก ทำไม่ได้” ธิดาดอยแย้ง
42เสียงอาเจียนเป็นเสียงสตรี...เป็นเสียงของใครกัน สตรีผู้ใดถึงได้เข้าไปอยู่ในห้องบรรทมขององค์รัชทายาท เข้าไปอยู่ตอนไหน เมื่อไหร่ หากมีสตรีเข้าไปอยู่ในห้องนี้จริง เขาก็ต้องรู้ ติงเหว่ยที่รับหน้าที่ดูแลในช่วงแรกต้องบอกเขาแน่นอน แต่นี่ไม่เลย หรือว่าจะหูแว่ว หูฟาดไปเอง ก็ไม่น่าใช่อีก เพราะเขาได้ยินเสียงนี้จริงๆ ในความคิดของเซียวเหยาไม่ได้คิดเลยว่า เสียงอาเจียนเป็นเสียงขององค์รัชทายาทแล้วเป็นใครกันล่ะ เป็นใครกัน...เซียวเหยาอยากได้คำตอบตอนนี้ อยากจะเรียกองค์รัชทายาทเพื่อสอบถามเรื่องที่มาของเสียงอาเจียน ทว่าคำสั่งของเจ้านายที่ว่า หากไม่เรียกไม่ต้องเข้ามา และห้ามใครเข้ามาในเขตห้องบรรทมด้วย เซียวเหยาจึงหมุนตัวเดินห่างหน้าประตูห้องบรรทม เดินตรวจตราจุดอื่น แต่ก็ไม่ทิ้งประเด็นที่ตนฉงนสงสัย ว่าใครกันคือเจ้าของเสียงอาเจียนเกือบรุ่งสางเป็นอีกหนึ่งวันที่องค์รัชทายาทตื่นจากบรรทมก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เขาตื่นขึ้นมามองร่างธิดาดอยที่กำลังกลายร่างเป็นคน ความมหัศจรรย์นี้จะเกิดขึ้นทันทีที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสี นี่ก็จวนเวลานั้นแล้ว ในใจเขาอยากให้เธอเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ แต่ก็รู้ว่า คงไม่มีวันนั้นองค์รัชทายาทมอ