สายลมยามรุ่งอรุณพัดแผ่ว เงาสลัวของฟ้าก่อนสว่างโอบล้อมนครเสวียนหยาง ลานกว้างเบื้องหน้าตำหนักเฉียนชิงเงียบสงัด องครักษ์หลวงยืนตรึงแน่นราวเงาหิน แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงทอดเป็นแถบยาวจนถึงท้องพระโรงที่วันนี้มิได้เปิดต้อนรับขุนนาง หากแต่ถูกล้อมแน่นด้วยชั้นรักษาการภายในห้องทรงอักษร บรรยากาศยามใกล้รุ่งสงบจนได้ยินเสียงลมพัดลอดบานหน้าต่าง หย่งหมิงฮ่องเต้ประทับอยู่เบื้องหลังโต๊ะมังกร พระพักตร์คมสง่ากลับแฝงร่องรอยอ่อนล้าในห้วงแววตาดวงเนตรที่ผ่านกาลเวลามายาวนานมืดลึกจนยากคาดเดาทว่าพอร่างสูงใหญ่ของไป๋อี้หานก้าวเข้ามา ความเยียบเย็นนั้นพลันถูกแทนที่ด้วยความแน่วแน่แห่งจักรพรรดิปกครองใต้หล้า“อาหาน” พระสุรเสียงแผ่วต่ำแต่ยังทรงอำนาจร่างสูงในชุดดำย่อกายทำความเคารพ “ถวายพระพรฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปี หมื่น ๆ ปีพ่ะย่ะค่ะ”“ลุกขึ้นเถอะ ระหว่างเราพี่น้องมิต้องมากพิธี ว่าแต่เหตุใดจึงมาหาข้าในยามฟ้ายังไม่สว่างเช่นนี้เล่า” น้ำเสียงเจือแววสงสัย เพราะนี่หาใช่เวลาเข้าประชุมท้องพระโรงไม่ไป๋อี้หานสบสายตาพี่ชาย เอ่ยเสียงทุ้มหนักแน่น “ฝ่าบาท เรื่องนี้ขอพูดคุยลำพังได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”หย่งหมิงฮ่องเต้เลิกพระขนง รู้ว่าต้
เมื่อหลักฐานถูกค้นพบจนครบถ้วนทั้งวัตถุพยานและพยานบุคคลในเวลารวดเร็วเพียงหนึงวัน ไป๋อี้เฉินที่กำลังร้อนรุ่มอยู่แล้วก็แทบคลุ้มคลั่ง เพลิงโทสะพลุ่งพล่านจนมิอาจหักห้ามได้ร่างสูงตระหง่านรีบร้อนไปเยือนกลางโถงใหญ่ของเรือนชายาเอก มือกำแซ่หนังแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ดวงตาคมลุกโชนราวเพลิงบรรลัยกัลป์เสียงลากเชือกก้องสะท้อน เจียงหลีถูกฉุดเข้ามาในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง คุกเข่าต่อหน้าสวามี ใบหน้าซีดขาวไร้เลือดฝาด ดวงตาเต็มไปด้วยความตระหนกหวาดหวั่นก่อนหน้านี้ทั้งบ่าวไพร่ในเรือนชายาเอกทุกชีวิต คนขายสมุนไพรที่ตลาดมืด และแม้แต่คนที่นางลอบซื้อตัวไว้ในเรือนชายารอง ล้วนถูกจับกุมมาตรึงอยู่เรียงราย เหลือเพียงเจิงหลินกับหลิงซีที่หายตัวไป เพราะแท้จริงแล้วทั้งสองคือสายลับที่เจียงหลัววางไว้ข้างกายน้องสาวมาเนิ่นนาน จึงหนีลอยนวลไปได้เจียงหลีร้องเสียงสั่น มือบางยกขึ้นสั่นเทา “พี่อี้เฉิน…ท่านต้องเชื่อข้า! ข้ามิได้…”เพี๊ยะ!!เสียงฝ่ามือฟาดลงอย่างหนัก ใบหน้างามถึงกับหันไปตามแรง ก่อนร่างจะล้มกระแทกพื้น เลือดซึมจากมุมปากทันที เสียงสะอื้นปนสะอื้นไห้ดังสะท้านโถง “พี่อี้เฉิน…ท่านตบข้า!?”ดวงตาของไป๋อี้เฉินแดงฉาน ความแค้นแ
ตำหนักกวางผิงยามนี้เงียบสงบ ราวสระบัวในหน้าร้อนที่ไร้ระลอก เสียงหยดหมึกกระทบแท่นหินดังเบา ๆ สลับกับเสียงพลิกกระดาษบัญชีเป็นจังหวะช้า ๆ ม่านโปร่งสีอ่อนพลิ้วตามสายลม กลิ่นหมึกผสมกับกลิ่นเครื่องหอมอบอวลทั่วห้องสวีเจียงหลัวในอาภรณ์เรียบหรูสีอ่อนนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้อู่ถง หลังตรงงามสง่า ดวงหน้าสงบนิ่ง ไม่เผยยิ้ม ไม่ขมวดคิ้ว ดวงตาหงส์ทอดต่ำจับจ้องบัญชีรายรับรายจ่าย ราวกับไม่มีสิ่งใดเขยื้อนอารมณ์ของนางได้ไม่นาน หลันถิงนางกำนัลคนสนิทก็ก้าวเข้ามา ก้มคุกเข่ารายงานเสียงแผ่ว “ชินหวางเฟยเพคะ”“ว่าอย่างไร” เจียงหลัวไม่เงยหน้า น้ำเสียงเรียบเย็น“คนของเราส่งรายงานประจำวันมาแล้วเพคะ”“เจ้าอ่าน ข้าฟัง”“เพคะ”หลันถิงคลี่ม้วนรายงานออก อ่านทีละบรรทัดอย่างชัดถ้อยชัดคำ เจียงหลัวยังจรดพู่กันลงบนสมุดบัญชี มืออีกข้างค่อย ๆ พลิกแผ่นกระดาษ กิริยาเป็นไปอย่างคุ้นเคย ราวกับเรื่องราวใหญ่โตทั้งหลายก็เป็นเพียงกิจวัตรยามบ่ายของนางแต่ถ้อยความที่ถูกอ่านออกมาหาใช่เรื่องเล็กน้อยไม่ เบื้องหลังพระชายารองโหรวตกเลือดเพราะฝีมือเจียงหลี…ความเคลื่อนไหวลับขององค์ชายเจ็ด…และคนสนิทของไป๋อี้เฉินที่เริ่มคลอนแคลนความภักดี…ทุกถ้อยค
หลังกลับจากตำหนักเหลียงเยว่ ความเงียบของตำหนักเหมันต์กลับไม่อาจกล่อมใจสวีเจียงหลีได้เลย นางทอดกายนอนแต่ตาเบิกโพลง จิตใจเต็มไปด้วยเสียงกระซิบอ่อนโยนของอี้หยางที่ยังสะท้อนในโสตประสาท“หากเจ้ากล้าลงมือ ตำแหน่งและความรักของอี้เฉิน…จะเป็นของเจ้าเพียงผู้เดียว”สองมือเรียวกำแน่นจนเล็บจิกลงบนฝ่ามือ เจียงหลีขบคิดไม่หยุด ความแค้น ความกลัว และความรักที่บิดเบี้ยวพันกันจนแทบขาดใจ ยามใดที่ภาพโหรวเหยียนอวี้แตะท้องตนเองยิ้มละมุนผุดขึ้นมาในหัว หัวใจของนางก็แทบมอดไหม้ยิ่งวันก่อน นางยังแอบเห็นอี้เฉินถนอมนังสตรีไร้ยางอายเหยียนอวี้ราวกับนางคือหยกชิ้นงาม ความแค้นของเจียงหลีก็ยิ่งเข้มข้น“หากลูกนางเกิดมาเป็นเด็กผู้ชาย ข้าก็คงจบสิ้น…” เสียงกระซิบแผ่วเบาในลำคอชัดเจนราวเป็นคำพิพากษาท้ายที่สุด เจียงหลีตัดสินใจเด็ดขาด เรียกนางกำนัลคนสนิทสองนาง เจิงหลินกับหลิงซีเข้ามาในห้องนอนส่วนตัว ท่ามกลางบรรยากาศยามค่ำคืนที่เงียบเหงาแววตาของเจียงหลีมืดลึก นางกดเสียงต่ำราวกระซิบจากปีศาจ“พวกเจ้า…จงไปเสาะหาสมุนไพรต้องห้ามมาให้ข้า ไม่ใช่ยาพิษที่โจ่งแจ้ง หากแต่เป็นสิ่งที่ลอบทำลายครรภ์ได้ โดยยากที่หมอหลวงจะตรวจพบ”สองนางกำนัลที
แสงตะวันลอยล้ำเหนือยอดไม้ เสียงจักจั่นร้องระงมระคนสายลมราตรีอันเย็นยะเยือก ภายในตำหนักหลิงเยว่อันเงียบสงบที่องค์ชายเจ็ดพำนัก เงาแดดยามบ่ายคล้อยโยกไหวสะท้อนผนังไม้ ราวกับกำลังเต้นระบำเคล้าความสงบประตูไม้ถูกผลักเปิดอย่างร้อนรน ร่างงามในอาภรณ์บางเบาวิ่งพรวดเข้ามาด้วยน้ำตาเปรอะพวงแก้ม สวีเจียงหลีซบลงกับอกอี้หยางแทบในทันทีที่เขาเปิดอ้อมแขนต้อนรับ ร่างอรชรสั่นระริก ราวกับหอบทั้งโลกมาทิ้งไว้บนบ่าของชายหนุ่ม“อาหยาง…ข้าทนไม่ไหวแล้ว…” เสียงสะอื้นสั่นพร่าเจือโทสะ “พี่อี้เฉิน…เขาไม่รักข้าแล้วจริง ๆ! ตอนนี้ทั้งตำหนักต่างเฉลิมฉลองครรภ์ของนางคนนั้น…แต่ข้าเล่า ข้าที่อยู่กับเขามาตั้งแต่ต้น เหตุใดต้องถูกทอดทิ้งเช่นนี้!”อี้หยางยกแขนโอบกอดนางไว้ เสียงทุ้มแผ่วปลอบประโลม “หลีเอ๋อ อย่าร้องเลย ข้าอยู่ตรงนี้ ข้ายังรักเจ้า…รักเสมอ”คำปลอบโยนแสนอ่อนโยน หากในแววตาคมของชายหนุ่มกลับมีเพลิงเย็นสว่างวูบวาบขึ้นมา ความแค้นที่ซ่อนอยู่เบื้องลึกส่องประกายไม่ดับสูญเขาลูบเส้นผมเงางามของนางแผ่วเบา พลางทอดเสียงช้า ๆ คล้ายจะหว่านยาพิษลงในใจ “เจ้าเจ็บใช่หรือไม่…ที่เห็นสตรีอื่นได้สิ่งที่เจ้าควรได้ก่อน”เจียงหลีเงยหน้าขึ้น ด
ผ่านไปอีกสองเดือน ฤดูใบไม้ผลิคลี่คลายเป็นต้นฤดูร้อน แสงแดดอบอุ่นสาดต้องดอกเหมยที่ร่วงโรย เหลือเพียงใบเขียวผลิใหม่แตกตามกิ่งก้าน บรรยากาศในนครเสวียนหยางสดใสมีชีวิตชีวาและยามเช้ามืดวันหนึ่ง ในตำหนักเหมันต์เรือนของพระชายารองโหรวกลับเกิดเหตุวุ่นวายขึ้น เพราะเจ้าของเรือนเกิดเป็นลม หมอหลวงถูกเรียกมาอย่างเร่งด่วน ไม่นานเสียงนางกำนัลคนสนิทของพระชายารองก็โห่ร้องกึกก้องถึงข่าวดีว่า…“ไปแจ้งองค์ชายสามเร็วเข้า! พระชายารองโหรวทรงตั้งครรภ์แล้ว!”ไม่ถึงชั่วยาม ข่าวน่ายินดีก็แพร่สะพัดออกไปทั่วตำหนักเหมันต์ คุณหนูใหญ่โหรวเหยียนอวี้…กำลังตั้งครรภ์!เป็นครั้งแรกนับจากที่องค์ชายสามไป๋อี้เฉินแต่งชายาเข้าตำหนักถึงสามคน ข่าวนี้สร้างความยินดีไปทั่วราชสำนักในเวลาไม่ทันข้ามวันขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ต่างส่งคนมามอบของแสดงความยินดี ขบวนคนรับใช้ในจวนสกุลโหรวแทบเดินเข้าออกตำหนักเหมันต์ทั้งวันไม่ขาดสาย เสียงซุบซิบยกย่องความโชคดีของโหรวเหยียนอวี้ดังระงมตามตรอกซอกซอย“ในที่สุดตำหนักเหมันต์ก็จะมีทายาทเสียที”“นับเป็นบุญของคุณหนูใหญ่โหรวจริง ๆ เพิ่งแต่งเข้ามาไม่นานก็ติดลูกแล้ว”“ตำแหน่งพระชายารอง แต่กลับเป็นผู้ให้กำเนิด