“ฮ้า…?” จิ้นฝานที่กอดอกทอดมองออกไปด้านนอกอยู่นั้น พลันขานรับเสียงสูงอย่างแปลกใจ เขาเบือนหน้ากลับมามองไป๋มี่อิง ขยุ้มคิ้วและตวัดตาไปมองไป๋ซิงหนี่ว์ที่นั่งก้มหน้าอยู่เล็กน้อยอย่างสงสัย
“รบกวนด้วย” ไป๋มี่อิงผู้หน้ามึนกล่าวออกไปต่อทันที กล่าวจบก็หันหน้าไปกล่าวกับสามีของนางที่นั่งหัวโต๊ะริมสุด
“สามี...วันนี้ข้าจะพาท่านไปรู้จักหน้าที่ของตระกูลไป๋” นางฉีกยิ้มกว้างถึงนัยน์ตาคู่สวย
จิ้นฝานที่เห็นท่าทางของไป๋มี่อิงจึงขบฟันแน่น ทำได้เพียงกล่าวบ่นออกมาอย่างหัวเสีย “มี่เอ๋อร์...เจ้านี่” แล้วเลื่อนสายตาไปมองทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างต่อ
สุดท้ายเขาก็ยอมทำตามคำขอของนาง เพราะไป๋จิวเซียนผู้มีผมสีเงินนั้นร่างกายอ่อนแอ จากที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ จิวเซียนผู้นี้เป็นฮูหยินรองเพียงในนามตามสถานะของตระกูลไป๋
ถึงกล่าวบอกว่าถ้ารู้จักตระกูลไป๋นี้ดี จะรู้ว่าเป็นตระกูลที่มีความซับซ้อนเกินกว่าคนทั่วไปจะเข้าใจได้ สถานะใดที่เป็นของสตรี ตระกูลนี้ก็สามารถทำให้บุรุษเป็นได้อย่างทัดเทียมด้วยเช่นกัน
เพราะสาเหตุหลักนี้ ต่อให้เขาบอกรักไป๋มี่อิงไป ก็มิใช่ว่าจะได้นางแต่งเข้ามาเป็นฮูหยิน แต่กลับเป็นเขาต้องแต่งเข้าไปเป็นฮูหยินเสียเอง
เรื่องราวคงจะไม่ง่ายเพียงเท่านั้น เขาเป็นบุตรชายคนโต มีหน้าที่สืบสกุล ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลจิ้นคนต่อไป มิอาจทำตามกฎของตระกูลไป๋ได้ ต่างจากเยี่ยเปาที่เป็นบุตรชายเล็กของแม่ทัพใหญ่แคว้นซิ่น ที่มีบิดามารดาสนับสนุนเห็นดีเห็นงามด้วยกับการแต่งงานนี้
เรื่องราวผ่านไปแล้วมีแต่ต้องทำใจยอมรับ และยินดีกับสหายที่ออกเรือนแต่งงาน ขอให้นางใช้ชีวิตคู่อย่างเป็นสุขก็พอแล้ว...
หน้าโรงเตี๊ยม
ลำคอข้าตีบตันก้าวเดินมาหยุดหน้ารถม้าเพื่อเตรียมจะเดินทางกลับคฤหาสน์ไป๋ ก่อนหน้านี้ข้าอ้อนวอนเจี่ยเจียว่าไม่ต้องให้คุณชายจิ้นไปส่ง แต่ทว่านางกลับไม่ยินยอมเปลี่ยนใจ และกล่าวเพียงว่า
‘น้องรักเชื่อใจพี่นะ’ เป็นประโยคสั้นๆ ที่แฝงบางสิ่งเอาไว้ เหตุใดตัวข้าถึงมั่นใจในคำกล่าวนี้ได้
เมื่อล่ำลาพี่สาวเสร็จแล้วจึงรวบอาภรณ์ขึ้นเล็กน้อยเพื่อจะเดินขึ้นรถม้าไป พลันก็มีเสียงหวานของเจี่ยเจียดังขึ้นมากะทันหัน
“เสี่ยวฝานประคองนางขึ้นรถม้าที” ไป๋มี่อิงเอ่ยเสียงเรียบ แต่กลับแฝงไปด้วยน้ำเสียงสั่งการ
จิ้นฝานที่ยืนตัวใหญ่กอดอกพิงรถม้าอยู่นั้น มุมปากพลันก็กระตุกขึ้นมา เขาใช้หางตามองไป๋ซิงหนี่ว์เล็กน้อย ก่อนจะจำใจเดินเข้าไปยื่นแขนให้นางจับประคองเดินขึ้นรถ แต่ทว่าสาวงามกลับเมินเฉยเขาไปเสียอย่างงั้น
ข้าเผลอเหลือบตาไปมองเขา สบเข้ากับดวงตาดุนั้นเข้าพอดี มันฉายแววความไม่พอใจออกมา พอๆ กับสีหน้าของเขายามนี้ ในหัวข้าขบคิดวนเวียนถึงสาเหตุการแสดงออกของเขา ว่าเหตุใดถึงไม่ชอบหน้ากัน ข้าไม่เคยข้องแวะยุ่งเกี่ยวกับเขา สนทนาจริงๆ จังๆ สักครั้งก็ไม่เคย
เฮ้อ...เอาเถิด จะเกลียดข้าเพราะสาเหตุใดก็ตามแต่ ข้าเองก็เกลียดเขาด้วยเช่นกัน พลันพอคิดเช่นนั้นจึงชักสายตากลับมา ก้าวเดินขึ้นรถม้าเข้าไปด้านในด้วยตนเอง
จิ้นฝานที่เห็นท่าทางเมินเฉยที่แสดงออกของไป๋ซิงหนี่ว์ คิ้วเข้มถึงกับกดต่ำลง เม้มปากเข้าเล็กน้อยมองนางที่เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยทำราวกับว่าเขาเป็นอากาศอย่างหน้าตาเฉย และเดินผ่านเข้าไปในรถ
‘นางตั้งใจเมินข้ารึ’ เขาเกิดคำถามขึ้นในใจ เก็บงำอารมณ์ขุ่นมัวเอาไว้ แล้วเดินไปประคองไป๋จิวเซียนขึ้นรถม้าต่อ
รถม้า
ข้านั่งหัวสั่นในรถม้าที่เคลื่อนอยู่บนถนน วันนี้ชาวเมืองออกมาจับจ่ายซื้อของแน่นถนนสองฝั่ง จึงเป็นเหตุให้การสัญจรติดขัดกว่าขามาอยู่มาก
หายใจเข้า หายใจออก ข้ากำหนดลมหายใจอดทนต่อความรู้สึกกระอักกระอ่วน เพราะก่อนหน้านั้นคีบอาหารเข้าปากเพลินไปหน่อย ตอนนี้ถึงต้องมานั่งอดทนฝืนกลั้นไม่ให้มันปะทุขึ้นมาในคอ ไม่มีกะจิตกะใจสนใจแขกที่นั่งร่วมรถกลับมาด้วย
โครก...ข้าได้ยินเสียงท้องที่ดังออกมาเบาๆ หัวก็สั่นจนเวียนหัวไปหมด ดวงตาเริ่มมองเห็นเป็นภาพซ้อนเบลอเล็กน้อย ข้าเอื้อมมือไปด้านหน้าเคาะผนังไม้
ก๊อก...ก๊อก!
“นี่เจ้าคนรถ! หยุดม้าประเดี๋ยวแล้วลงไปซื้อกระโถนมาให้ข้าก่อนที” ข้ากลั้นใจกล่าวออกไป
“ฮึ” พลันเสียงเค้นจมูกของบุรุษดังขึ้น จิ้นฝานนั่งอยู่ตรงทางออกติดริมประตู ฟังคำกล่าวและน้ำเสียงไป๋ซิงหนี่ว์ด้วยความตลก ปรายตามองนางที่นั่งยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากเล็กน้อย
ในหัวของเขายามนี้กำลังดูแคลนนางในใจ คำกล่าวคำจา การแสดงออกของนางล้วนไม่ถูกจริตของเขาแม้แต่น้อย ไป๋ซิงหนี่ว์เป็นคนกล่าวถือตัว น้ำเสียงหวานสูงไม่เข้าหู การแสดงออกราวกับตนเองเป็นนางฟ้านางสวรรค์อยู่สูงกว่าผู้อื่น
ข้าไม่ได้สนใจที่มาของเสียงขึ้นจมูกของเขา ยามนี้ปากสั่นระริก ฟันขบกันในปาก อดทนไม่ให้อาหารที่กินเข้าไปพุ่งออกมา ร่างกายข้าย่ำแย่ลงกว่าแต่ก่อนมานัก
คนรถเลิกผ้าม่านขึ้นหันหน้ามาเอ่ยถามคุณหนูรองที่เคาะผนังเรียกเขาก่อนหน้านี้ เพราะด้านนอกนี้เสียงมันเซ็งแซ่จึงได้ยินไม่ชัดเท่าไรนัก
“เมื่อครู่คุณหนูกล่าวอันใดหรือขอรับ”
“วิ่งไปซื้อกระโถน!! มาเดี๋ยวนี้” ข้ากล่าวสั่งขึ้นทันที
รอดในเมืองหลวง คอยส่งข่าวให้พวกที่หนีรอดไป นับว่าเป็นอีกหนึ่งแผนการที่อาจจะบรรลุผลได้เช่นกัน“สั่งงานเช่นนี้หมายความว่าวันพรุ่งท่านจะไม่เข้าวังหลวงหรือขอรับ” ผู้ช่วยเขาเอ่ยถามอย่างสงสัยจิ้นฝานปรายตาไปมองผู้ช่วยของเขาก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วกล่าวออกไปเสียงเนือยๆ“เข้าไปยามบ่าย แต่ก็จัดการตามที่ข้าบอกเอาไว้ก่อน คัดคนของเราที่พอจะคล้ายพวกมันมา”ตอนเช้าเขาต้องไปดูความคืบหน้าของเรื่องโรคระบาด ที่คฤหาสน์อวี้เป็นสถานที่เอาไว้สำหรับกลุ่มคนที่เขาจัดขึ้นโดยเฉพาะ จากนั้นตอนบ่ายก็ต้องเข้าไปดูงานในวังหลวงต่อนับว่าเป็นปีที่เขาเหน็ดเหนื่อยเอาการ แต่ดีหน่อยพอกลับเรือนซือซือ ความเหนื่อยล้าทั้งหมดก็ได้หายไปหมดสิ้น ที่นั่นคล้ายกับยาชูกำลังอย่างไรอย่างนั้น“ได้เลยขอรับ” ผู้ช่วยเขากล่าว และเข้าไปจัดการงานเบื้องหน้าต่อ ต้องเก็บกวาดสถานที่นี้ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ทำเหมือนว่าก่อนหน้านี้ไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้นจิ้นฝานมองรถม้าที่เขานั่งมาตอนเย็น สภาพดูไม่จืด ล้อหลุดออกหนึ่งข้าง ด้านข้างมีรอยดาบฟันเข้าไปลึกอยู่มาก ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าเขาไม่เอะใจขึ้นมาก่อน ยามนี้ไม่เป็นเขาก็เป็นคุณหนูรองที่ได้รับบาดเจ็บแทน ดีที่
๑๕แผนการของคนซื่อม้าสีดำตัวใหญ่ก้าวเดินเป็นจังหวะไม่ช้า และไม่เร็วเกินไป เดินผ่านม่านหมอกเย็นๆ ไปตามเส้นทางของถนนที่ทอดยาว สายลมที่พัดทำให้หมอกลอยคลุ้งกระจาย คนทั้งสองไม่อาจคาดเดาว่าเป็นหมอกที่เกิดจากอะไรอาจจะเกิดจากอากาศที่เย็นลง หรือไอร้อนระเหยของพื้นถนน มันอาจจะลอยมาจากการเผาฝืนแก้หนาวของชาวบ้านก็ได้ คนทั้งสองจมูกเย็นเกินกว่าจะได้กลิ่นควันเหล่านี้ อากาศเย็นๆ หมอกขาวๆ นั่งกอดกันบนหลังม้าคงจะอุ่นกายอุ่นใจไม่น้อยช่วงเวลาแห่งการสร้างสายใยความสัมพันธ์นี้ที่ได้ถักทอขึ้นมาอย่างเงียบๆ ได้เดินทางมาถึงหน้าจวนตระกูลจิ้นจิ้นฝานลงจากหลังม้า และไม่ลืมที่จะยื่นแขนขึ้นไปรับฮูหยินของเขาลงมาด้านล่าง จัดแจงจับเสื้อคลุมที่บิดเบี้ยวไปด้านข้างของนางให้เข้าที่เรียบร้อย“จมูกไม่หายแดงเสียที” เขากล่าวบ่นขึ้น หลุบตามองปลายจมูกของนาง “ก็อากาศมันหนาวนี่เจ้าคะ” ข้าเบี่ยงตาไปมองทางอื่น บอกตามตรงทำตัวไม่ถูกจริงๆ ก่อนหน้านี้ก็พึ่งถูกขโมยจูบ ตลอดทางพวกเราทั้งสองก็นั่งเงียบมาตลอดไม่มีการสนทนาใดๆ หลังจากเหตุการณ์นั้นอีกทั้งข้ายังใจง่ายยอมให้เขากอดเช่นนั้นโดยไม่บ่น โดยไม่ว่าเลยสักคำเดียว น่าโมโหตัวข้าเองยิ่งนั
“มีอันใดรึเจ้าคะ”“มี ลองแหงนหน้าขึ้นไปมองด้านบน” จิ้นฝามก้มหน้าลงตอบนาง“แหงนหน้าหรือ” ข้าเอ่ย แล้วทำตามที่เขาบอกมองภาพด้านบนนี้ มีริ้วสีขาวพร่างพราวลงมา ท่ามกลางพระจันทร์สีนวล นับว่าแปลกนัก วันใดที่หิมะตกไม่มีทางที่จะมองเห็นพระจันทร์ได้ มันช่างน่าอัศจรรย์มากยิ่งเงาดำเริ่มคืบคลานบดบังสายตาของข้า แทนที่ด้วยใบหน้าคุณชายจิ้น ไออุ่นสีขาวที่พ่นออกมาทางจมูก รดลงมาที่หน้าของข้า ความรู้สึกนี้เหมือนทุกสิ่งหยุดนิ่ง มีเพียงแค่พวกเราทั้งสองคนเท่านั้น ที่ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของกันและกันเมื่อหายใจเข้ารอบที่สามในขณะที่เราทั้งสองสบตากันนั้น ริมฝีปากของเขาก็ประทับลงมาอย่างนุ่มนวล และแผ่วเบามันรู้สึกอุ่นๆ ร้อนๆ ตรงริมฝีปากข้าเอง หนวดที่ขึ้นตอสีเขียวถูลงที่คาง และมือของเขาประคองที่หัวข้าเอาไว้เป็นการจูบที่แตะลงมาเท่านั้น และนิ่งค้าง พอๆ กับความรู้สึกที่ตกใจ และตกตะลึงกับสัมผัสนี้จิ้นฝานวางปากประทับลงอยู่นานหนึ่งอึดใจ แล้วดึงหน้ากลับมาเลียริมฝีปากด้วยเอง พลางขมวดคิ้วเข้าอย่างสงสัย“ทำไมปากท่านถึงหวาน”“ข้า... ข้าดื่มข้าวหมักนํ้าผึ้งมา” ข้าตอบพลางหายใจหอบ แต่ทว่ามือของคุณชายจิ้นยังประคองเอาไว้ที
อี๋เสี่ยวควนคั่วได้ยินล่ามแปลประโยคที่จิ้นฝานกล่าวก็ยิ่งขบขันเข้าไปใหญ่ แบบนี้ในเผ่าของเขาเรียกว่ากลัวภรรยา แต่ถ้าเสนาบดีจิ้นเอ่ยออกมาเช่นนี้เขาก็จะเชื่อว่าแค่เกรงใจนางเท่านั้นเมื่อคิดเช่นนั้นก็หันไปมองโต้วตู่จื่อที่นั่งอยู่ เห็นตัวเล็กบอบบางคงจะร้ายไม่น้อยตอนอยู่ที่บ้าน ถึงกับทำให้บุรุษที่ขึ้นชื่อเป็นพยัคฆ์คู่ฝ่ายขวาของแคว้นซิ่นหมอบลงได้งานเลี้ยงดำเนินไปจนจบลง จิ้นฝานสั่งการลูกน้องตัวเองสองสามประโยค จากนั้นถึงจะเดินไปรับฮูหยินน้อยที่ยืนรํ่าลาเหล่าฮูหยินทั้งสามคน ก่อนจะหมุนกายกลับมาหาเขาสีหน้าของนางเรียบเฉยไม่มีรอยยิ้มใดๆ ปรากฏให้เห็นมีเพียงคิ้วได้รูปที่กดตํ่าลงเหมือนไม่ชอบใจอะไรในตัวเขาขณะนี้“ฮูหยินน้อยมานี่มา” จิ้นฝานเอ่ยเรียกนาง ยื่นมือออกไปด้านหน้ารอให้นางจับ“…….” ข้ามองหน้าคุณชายจิ้น เหตุใดต้องให้สาวงามใช้ซาลาเปาคู่มานั่งถูไถได้หน้าตาเฉย เขามียางอายบ้างหรือไม่!ดูท่าโต้วตู่จื่อนี้จะดื้อเอาเรื่อง จิ้นฝานมองไป๋ซิงหนี่ว์อย่างอ่อนใจ และเดินเข้าไปใกล้ก้มหน้าลงกล่าวเสียงแผ่ว“ขากลับจะควบม้ากลับกัน แต่ว่าข้าขอเสื้อคลุมของท่านได้หรือไม่ เอาไว้จะหาซื้อตัวใหม่มาคืนให้”“ข้าไม่เข้าใจ..
“นํ้าข้าวหมักนํ้าผึ้งนี้ ได้ยินขันทีกล่าวว่าเผ่าอิงคาขนมา” ฮูหยินหลันกล่าว พลางยกขึ้นจิบรสชาติหวานปลายลิ้นของมันในแก้ว“รสชาติเป็นเช่นไรบ้างฮูหยินหลัน” ฮูหยินที่นั่งด้านทางขวาเอ่ยถาม“รสชาติดี กินง่ายเจ้าค่ะ” ฮูหยินหลันเอ่ยตอบ“นํ้าข้าวหมักนี้กินแล้วเมาหรือไม่” ถึงตาข้าเอ่ยถามบ้าง อยากจะลองกิน แต่กลัวจะเมาเหมือนครั้งที่แล้ว“ไม่เมาเจ้าค่ะ” ฮูหยินหลันหันไปตอบอย่างมั่นใจข้ามองสีหน้าของฮูหยินหลันอย่างชั่งใจอยู่มาก อะไรหมักๆ ไม่อยากกินเข้าปากเลย แต่กลิ่นมันหอมข้าวอ่อนๆ จะไม่ลองก็กระไรอยู่ ประเดี๋ยวจะเสียเที่ยวเอาได้ มิใช่ว่าจะหาดื่มของแปลกต่างถิ่นได้เช่นนี้ ว่าแล้วก็ค่อยๆ จิบตามที่คุณชายจิ้นบอกเอาไว้ละกันเสียงกลองแผ่วลง พวกนางรำของเผ่าอิงคาก็เข้าไปนั่งลงตามโต๊ะขุนนาง และบุรุษในงานเลี้ยง ข้ามองตามสะโพกงอนงาม ตามจังหวะการก้าวเท้าเดินไปด้วยของพวกนางแต่คิดไม่ถึงว่าจะมีสาวงามหนึ่งในนั้นดวงหน้าคมเข้ม เดินเข้าไปนั่งลงด้านข้างคุณชายจิ้นจากนั้นนางก็เอื้อมมือไปหยิบจอกสุราขนาดใหญ่รินลงไปให้เขา แล้วยื่นขึ้นไปป้อนถึงปาก ข้าหรี่ตาลงมองให้ชัดเจน อยากรู้ว่าเขาจะทำอย่างไรต่อจิ้นฝานหลุบตาลงมองจอกสุราส
“ฟางซายจือ เหลียงเหลง หวู่ต้าตั๋ว ดานตรง ซีจงจึ่ย ฮ่างซี” อี๋เสี่ยวควนคั่วตอบออกไป พร้อมกับชูจอกสุราสีทองให้จิ้นฝาน“ท่านอี๋เสี่ยวกล่าวว่า ดีมาก แต่ขาดการระบำ และสาวงาม แต่สุรานี้อร่อยถูกปากเขานัก” ล่ามภาษาได้แปลออกมาให้ท่านเสนาบดีจิ้นฟัง“บอกเขาว่าไม่นานเกินรอ” จิ้นฝานเอ่ยขึ้นต่อ“จางไจ่ บู่ลู่” ล่ามหันไปแปลให้อี๋เสี่ยวควนคั่วฟังอย่างรวดเร็วอี๋เสี่ยวควนคั่วที่ได้ยินก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ตบหน้าตักตัวเองไปหนึ่งที แล้วกล่าวออกมาเป็นภาษาถิ่นของแผ่นดินหยวนโปวที่เขาพอจะรู้มาบ้าง แต่ก็ไม่เก่งจนสนทนากันได้อย่างเข้าใจ และฉะฉาน“เยี่ยม เยี่ยม!”จิ้นฝานพยักหน้ารับอี๋เสี่ยวควนคั่ว หันไปมองกลุ่มคนพิเศษ ที่เขาจัดขึ้นมาเพื่อหาวิธียุติโรคระบาดชายแดน หนึ่งในนั้นก็มีเจิ้งหรินอี้ด้วยเช่นกัน กำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่อีกมุมหนึ่ง จากนั้นก็กวาดตามองฮูหยินน้อยของเขาว่ายามนี้นางอยู่ที่ไหนเขามองเห็นสาวงามเด่นสะดุดตา เพราะเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวที่ฟูฟ่อง กำลังยืนสนทนากับสตรีนางอื่นอีกสี่คน แล้วยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะน้อยๆ ออกมา“ยินดีด้วยนะเจ้าค่ะ ที่ได้เป็นฮูหยินขั้นหนึ่งแล้ว งานเลี้ยงในวังหลวงครั้งที่แล้วข้า