เรือนหงซิ่ว คือเรือนของสวีหลิงเยี่ยนฟ่านเจินเห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกวาดหวัง “องค์ชาย หม่อมฉันคิดว่าคุณหนูสวีน่าสนใจอยู่มากทีเดียว แม้จะถูกผู้อื่นตีตราว่าไร้ค่า แต่หม่อมฉันว่านางเป็นสตรีซ่อนคมผู้หนึ่ง ใบหน้าก็งดงาม ถูกผู้คนดูแคลนปานนั้น แต่กลับน่ารักสดใสมิเศร้าหมอง”ฟ่านเจินทำท่านึกขึ้นได้ก่อนตบมือฉาด “พอมองไปมองมาหม่อมฉันคิดว่านางมีส่วนเหมือนสตรีผู้นั้นอยู่นะเพคะ มิสู้มองหารักใหม่กับสตรีที่คล้ายคลึงคนเดิม เช่นนี้ จะ...”สาธยายยังไม่ทันจบ เจ้านายพลันตัดบทเสียงขรึม “ไม่มีใครแทนที่นางได้”‘นาง’ ในที่นี้ย่อมหมายถึงนางมารหลิ่งหลิน ฟ่านเจินได้ฟังพลันอยากร่ำไห้ นางห่วงใยองค์ชายสี่มาก “พระองค์ตัดใจจากนางเถิดเพคะ ทรงยึดติดเช่นนี้ หม่อมฉันปวดใจนัก ฮือ...”จ้าวหมิงอวี่ไม่ตอบรับเพียงทอดสายตามองเรือนเดิมท้ายที่สุดก็ตัดสินใจ “ฟ่านเจิ้ง ฟ่านเจิน” “พ่ะย่ะค่ะ”“เพคะ”“ข้าจะไปเรือนเฟิงซาน”เรือนเฟิงซานเป็นเรือนร้างอยู่ด้านหลังโรงซักผ้า ด้านในทำความสะอาดพร้อมเร้นกายพักผ่อนได้ตลอดเวลา แต่หากจะเข้าไปได้ต้องเป็นอาเป่า บ่าวลานตากผ้าเท่านั้นฟ่านเจิ้งนิ่วหน้า “ในตำหนักมีเรื่องวุ่นวาย ฝ่าบาทมีรับสั่งให้หยุ
รอไม่นาน เจียเย่ก็เข้ามา นางสวมชุดนางกำนัล หากมองผิวเผินย่อมกลมกลืนกับนางกำนัลคนอื่น“คารวะองค์ชายสี่ ไม่เจอกันนานเลยนะเพคะ”จ้าวหมิงอวี่พยักหน้า เขากับนางย่อมต้องเคยเจอกัน เพียงแต่ไม่เคยเจอตามลำพัง ทุกครั้งล้วนมีหลิ่งหลินอยู่ด้วย “ยินดีที่ได้เจออีกครั้ง เชิญนั่ง”“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เจียเย่เดินไปนั่งอย่างนอบน้อมตรงเก้าอี้ที่ฟ่านเจินยกมาให้จ้าวหมิงอวี่เดินไปนั่งเก้าอี้ของตนห่างจากเจียเย่ ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงมีนิสัยวางตัวเว้นระยะกับสตรีทุกคน ยกเว้นเพียงหลิ่งหลิน ทันใดก็ฉุกคิดขึ้นได้ เหมือนว่าตอนนี้จะมีเพิ่มอีกคน ...สวีหลิงเยี่ยนชายหนุ่มปัดความคิดนั้นตกไปอย่างไวก่อนถาม “ไฉนแม่นางเจียเย่มาถึงที่นี่ได้ มิใช่ต้องคอยติดตามหลิ่งหลินทุกฝีก้าวหรอกหรือ?”เจียเย่ย่อมตระเตรียมคำโกหกไว้แล้ว “ข้าได้รับคำสั่งจากเจ้าสำนักหลิ่งให้มาคอยปรนนิบัติดูแลองค์ชายสี่แทนตัวนางที่ไม่อาจปลีกตัวมาได้”รอยยิ้มดุจสายลมอ่อนโชยผุดพรายริมฝีปากบุรุษ จ้าวหมิงอวี่ยากเก็บงำประกายความพึงใจในแววตาหลิ่งหลินส่งเจียเย่มาดูแลเขาหรือ?ทว่าฟ่านเจินที่มีอคติต่อสตรีที่ทำไม่ดีกับเจ้านาย รีบเอ่ยแย้งอย่างหมั่นไส้ “ฮึ! ต่อหน้าใจร้ายอ
หลิ่งหลินชะเง้อคอชำเลืองมองเลยไหล่กว้างออกไปเห็นสหายร่วมเรียนยืนมองมาตาแทบถลนระคนอิจฉา ท่วงท่าคล้ายพรอดรักเช่นนี้ย่อมเรียกสายตาราวลูกไฟจากบรรดาศิษย์หญิงร่วมชั้น แน่นอน นางไม่ได้กลัวสายตาเหล่านั้นเลยสักเสี้ยว แต่เรื่องที่คุยต่างหากที่เป็นปัญหา!จ้าวหมิงอวี่ไม่รู้ความคิดนาง เพียงเค้นถามทีละคำ “เจ้า-กับ-หลิ่ง-หลิน” พูดไม่จบหญิงสาวใต้วงแขนกลับลื่นยิ่งกว่าปลาไหล นางยื่นหน้าทำท่ากระซิบบอก ทว่ากลับเป่าลมเข้าหู ฟู่ กระแสอุ่นร้อนหอมกรุ่นจากริมฝีปากเกิดขึ้นพร้อมมือนางที่เอื้อมขึ้นมาลูบไล้แผงอกของเขาให้อึ้งตะลึงนิ่งค้าง จากนั้นนางก็ย่อตัวหมุนลอดช่วงเอวของเขา วิ่งปรู๊ดหายวับไปเลย จ้าวหมิงอวี่ที่ขนลุกอยู่ ได้แต่ยืนแข็งทื่อ “...”มุมอับลับตาที่เงียบเชียบใกล้ประตูตำหนักหมิงเฟิ่ง ห่างไกลออกมาจากเรือนอี้เฉิงที่วุ่นวายสตรีผู้หนึ่งซึ่งเดิมทีแฝงกายมากับขบวนองค์ชายรอง บัดนี้กลับไม่ยอมติดตามไปยังตำหนักฉงหวน ยิ่งไม่คิดออกไปจากตำหนักหมิงเฟิ่งแห่งนี้ง่ายๆ...นางคือเจียเย่อดีตสมุนคนสนิทที่คิดคดทรยศของหลิ่งหลินย้อนกลับไปตอนนั้น หลังจากสลับวิญญาณสำเร็จ นางดีใจแทบคลั่ง จากนั้นก็สั่งสมุนฆ่าร่างเก่า แต่ท้ายท
ตื้นลึกไม่ควรก้าวล่วงแต่ก็อยากรู้อยู่ดี สงสัยว่าวันนี้จะเป็นศึกสายเลือดโดยมีอาจารย์ไป๋มู่เจ๋อเป็นเครื่องมือกลุ่มศิษย์ชายลอบคบคิดลึกล้ำในขณะที่ศิษย์หญิงเพียงมองวิเคราะห์ไป๋มู่เจ๋ออย่างห่วงใย เขายังคงรูปงาม ไม่มีตำหนิด่างพร้อย ค่อยยังชั่วจ้าวหมิงอวี่ไม่สนใจไป๋มู่เจ๋ออีก ความสนใจทั้งหมดถูกส่งไปทางสตรีบางคน นางกำลังทำตัวตื่นลนกลมกลืนกับศิษย์หญิงคนอื่นๆ ช่างเสแสร้งได้แนบเนียนไม่มีตกหล่นท่ามกลางความตื่นตระหนกของเหล่าศิษย์ชายหญิง ว่านลู่ชิงหันมาเห็นบุรุษหนุ่มสูงศักดิ์ที่กำลังเดินมาทางนี้พอดี นางรีบก้าวเท้าขึ้นหน้าเล็กน้อยเพื่อให้ตนเองโดดเด่นกว่าใคร จับปอยผมสำรวจตัวเองว่ายังงดงามหรือไม่? ก่อนโปรยยิ้มแล้วเอ่ยทักทายเสียงหวาน “คารวะองค์ชายสี่”เสียงนั้นทำเอาสตรีที่ยืนจับกลุ่มพูดคุยกันเรื่องศพต้องหันมาแย่งกันทักทายอย่างอ่อนหวานเช่นกัน“องค์ชายสี่เพคะ”“เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้น่ากลัวเหลือเกินเพคะ”“นั่นสิ คืนนี้หม่อมฉันจะนอนหลับหรือไม่?”พวกนางแย่งกันพูดยกใหญ่ ฟังเหมือนนกแตกรัง จ้าวหมิงอวี่มองเข้าไปในกลุ่ม เห็นสวีหลิงเยี่ยนก็เป็นเช่นนั้น ท่าทางนางคล้ายสาวน้อยอ่อนเดียงสาผู้น่าสงสาร ไม่เคยพบพาน
ในบรรดาโอรสของจักรพรรดิหากไม่นับว่าองค์ชายใหญ่ซึ่งในอดีตถือเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งในตำแหน่งรัชทายาทที่ยามนี้กลายเป็นคนพิการจึงถูกตัดสิทธิ์ไปและองค์ชายสามที่หายสาบสูญไม่รู้เป็นตาย จ้าวจื่อหวนที่เป็นโอรสแท้ ๆ ของหลี่เฟยและเป็นองค์ชายที่ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยย่อมได้รับเลือกเป็นรัชทายาท แต่เขากลับไม่ได้เป็นเสียที นั่นเป็นเพราะความโชคดีของจ้าวหมิงอวี่จ้าวหมิงอวี่คือตัวเลือกที่สูสีตีคู่กับจ้าวจื่อหวน แม้เขาจะไร้มารดา แต่กลับเป็นถึงโอรสที่เกิดจากพระสนมซึ่งเป็นรักแท้ของฮ่องเต้ มีอำนาจบ้านเดิมที่ยืนหยัดยิ่งใหญ่ ทั้งยังได้ซูหวงกุ้ยเฟยที่เป็นรองเพียงฮองเฮารับเลี้ยงอุ้มชู ตั้งแต่เด็กมีผู้คนรุมล้อมรักใคร่ ทั้งที่นิสัยเย่อหยิ่งเย็นชา หลายครายังแสดงออกต่อธารกำนัลอย่างยโสโอหัง จนกระทั่งขุนนางประท้วง ฮ่องเต้ทรงกริ้ว ในขณะที่จ้าวจื่อหวนที่เผยเพียงความเป็นสุภาพชนจนเหนื่อยแทบตาย ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางทั้งหลาย ทว่าฮ่องเต้กลับลังเลเพราะจ้าวหมิงอวี่มีความดีความชอบจากผลงานการศึกที่ยิ่งใหญ่สะสมไว้หลายปีการลอบทำร้ายกระทั่งลอบฆ่าจ้าวหมิงอวี่ไม่เคยง่าย ไม่เหมือนองค์ชายใหญ่กับองค์ชายสาม ขนาดยืมมือชาวยุท
จังหวะนั้น ขบวนของจ้าวจื่อหวนเดินเข้ามาพอดีคนสนิทของจ้าวจื่อหวนเดินขึ้นหน้าทันทีเมื่อเห็นศพ เขารีบหันไปทางผู้เป็นนายของตน สีหน้าลนลานเด่นชัด “ทูลองค์ชายรอง มีคนตายจริงๆพ่ะย่ะค่ะ”จ้าวจื่อหวนยากเก็บงำสีหน้า เขาตกใจนัก “น้องสี่ เกิดอะไรขึ้น? ไป๋มู่เจ๋อเล่า? เขาเป็นอะไรหรือไม่?”จ้าวหมิงอวี่เลิกคิ้วถาม “พี่รองไม่เปิดผ้าเสียหน่อย ดูว่าเป็นศพผู้ใด”“คงไม่ใช่ไป๋มู่เจ๋อกระมัง หาไม่ ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่” น้ำเสียงโกรธขึ้ง เผยอารมณ์แค้นเคืองชัดเจนขันทีเฒ่าหลี่กงกงเอ่ย “องค์ชายสี่ เกิดเรื่องวุ่นวายในตำหนักหมิงเฟิ่งเช่นนี้ กระหม่อมต้องรายงานต่อฝ่าบาทเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ”เห็นได้ชัดว่าขันทีหลี่เลือกฝ่ายใดจ้าวหมิงอวี่แค่นเสียงหยันในใจขณะเอ่ยเสียงเรียบ “นี่คือศพนักฆ่าที่ลอบเข้ามาหมายปลิดชีพไป๋มู่เจ๋อเมื่อคืน”“อ้อ...เช่นนั้นรึ?” จ้าวจื่อหวนให้รู้สึกเสียดายนัก มิใช่เสียดายนักฆ่าแต่นึกเสียดายที่ไม่ใช่ศพไป๋มู่เจ๋อ หาไม่ ย่อมเป็นเรื่องราวใหญ่โตเอาผิดได้อย่างที่ตั้งใจ เขาแค่นเสียงเอ่ยด้วยอารมณ์แค้นเคืองดุจเดิม“ไม่รู้ว่าน้องสี่ดูแลหละหลวมหรือจงใจกันแน่ ถึงขั้นปล่อยให้มีนักฆ่าเข้ามาทำร้ายคนสำคัญอย่างใต้เท้