รถตู้คันเล็กจอดอยู่ตรงลานหน้าทางเข้าระหว่างไร่ของขุนกับไร่เรือนกระจกกระเป๋าใบสุดท้ายถูกวางเรียบร้อยกล้องถูกเก็บแต่หัวใจของทุกคนกลับเหมือนไม่อยากปิดลงเลย“พี่ขุน...ถ้ามีคนจองเต็มแล้ว ช่วยบอกเราก่อนนะ เราจะกลับมาอีกแน่นอน”ชายหนุ่มในกลุ่มพูดพร้อมยื่นมือออกมาให้จับขุนยิ้มมือหยาบของเขาจับแน่นตอบกลับไป“กลับมาได้ตลอดเลยครับ ไม่ต้องรอใครชวนที่นี่จะมีที่ว่างให้เสมอ”หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเดือนกอดเธอแน่นกว่าที่ใครจะคิดว่าเพิ่งรู้จักกันไม่กี่วัน“ขอบคุณที่ทำให้เราได้เชื่ออีกครั้ง...ว่าความเรียบง่ายแบบนี้ยังมีอยู่จริง”เดือนยิ้มบาง ๆ แขนเล็ก ๆ กอดกลับแน่นไม่แพ้กันแม้ไม่พูดอะไรมาก น้ำตาในดวงตาก็เกือบจะล้น“กลับดี ๆ นะคะ เดี๋ยวพวกเราจะดูแลที่นี่ไว้ให้เหมือนเดิม...จนวันที่คุณอยากกลับมาอีกครั้ง”กลิ่นหอมของดอกหญ้าตอนบ่ายลอยคลุ้งลมเหนือพัดโชยจนปลายผ้าพันคอของใครบางคนสะบัดเบา ๆก่อนจะขึ้นรถทั้งกลุ่มหันมามองไร่อีกครั้งกล้องถูกหยิบขึ้นมาถ่ายภาพสุดท้าย ภาพของบ้านไม้เรียงกัน กับป้ายไม้เล็ก ๆ เขียนว่า“ไร่ในฝัน – บ้านที่หัวใจเลือกเอง”รถเคลื่อนออกช้า ๆขุนกับเดือนยืนมองอยู่จนพ้นทางดินมือของ
กองไฟยังคงลุกไหวกลางลานแสงสีส้มสาดส่องให้ใบหน้าทุกคนดูอ่อนโยนกว่าที่เคยกลุ่มแขกนั่งปะปนกับครอบครัวในไร่ ไม่มีใครมีที่นั่งเฉพาะ ไม่มีใครถูกแยกว่าเป็น ‘แขก’ หรือ ‘เจ้าของ’ อีกต่อไปเสียงหัวเราะของพอลดังขึ้นเบา ๆ เมื่อลินดาเล่าเรื่องตอนเขาเผาข้าวหลามไหม้สมัยยังเป็นวัยรุ่นเสียงหัวเราะของข้าวหอมกับเดือนประสานกันอย่างสดใส เมื่อน้องต้นฝันเอาข้าวหลามไปซ่อนไว้หลังต้นไม้เพราะไม่อยากแบ่งพ่อแขกสาวคนเดิมเอนหลังพิงกับท่อนไม้ใหญ่ เธอหลับตาฟังเสียงลมปะทะต้นลำไย แล้วยิ้มกับตัวเอง“ไม่รู้ทำไม...เหมือนเราอยู่กับเพื่อนที่รู้จักกันมานาน”ชายที่มาด้วยกันหันมายิ้ม“บางทีมันก็แค่…สถานที่ที่ทำให้เราวางเกราะ แล้วก็ยิ้มง่ายขึ้น”หนึ่งในเพื่อนที่มาด้วยกัน ชายหนุ่มที่เคยไม่ชอบเดินทางนัก ลุกขึ้นยื่นกระบอกข้าวหลามให้พี่เข้มแล้วพูดเสียงจริงใจ“ผมไม่เคยกินของแบบนี้กับคนที่ผมไม่รู้จัก...แล้วรู้สึกอบอุ่นขนาดนี้มาก่อนเลยครับ”พี่เข้มพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไรมาก แค่ยกมือแตะบ่าชายหนุ่มเบา ๆ ก่อนเดินไปเติมฟืนลินดากระซิบกับขุน“คืนนี้ไม่มีใครพูดถึงแอร์ ไม่มีใครพูดถึงไวไฟ ไม่มีใครอยากกลับห้องเลย”ขุนยิ้มนิด ๆ“เพราะมันมี
เสียงนกกระจอกแตะขอบหน้าต่างแสงแดดสีทองบางเฉียบค่อย ๆ ไหลเข้ามาตามช่องไม้เดือนขยับตัวช้า ๆ ใต้ผ้าห่มผืนบาง มือข้างหนึ่งยังวางแนบอยู่กับอกของขุนที่หลับตาแน่นิ่ง เสียงลมหายใจสม่ำเสมอบอกว่าเขายังไม่ตื่น และเมื่อคืน…เขาหลับสนิทจริง ๆเธอยิ้มบาง ๆ มองใบหน้าเหนื่อยล้าที่ตอนนี้ดูอ่อนโยนกว่าทุกครั้งเบามือที่สุด...เดือนขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงคว้าเสื้อผ้าผ้าฝ้ายชุดบางที่เตรียมไว้ แล้วหยิบผ้าคลุมไหล่มาใส่ก่อนจะเดินออกจากห้องไปในครัวเล็ก ๆ ข้างบ้านเตาถ่านจุดไฟไว้ตั้งแต่เมื่อคืน กำลังอุ่นพอเหมาะเดือนต้มน้ำร้อนสำหรับกาแฟข้าวหุงไว้ตั้งแต่ก่อนนอนก็ใกล้จะสุกกับข้าวเช้าง่าย ๆ อย่างไข่เจียวใบแมงลัก กับต้มจืดตำลึงใส่หมูสับก็อยู่บนเตาไฟอ่อน ๆ กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบ้านเธอจัดโต๊ะเล็ก ๆ ไว้ใต้ชายคา จุดที่ขุนชอบนั่งมองทุ่งตอนเช้ากาแฟถ้วยหนึ่งในแก้วดินเผาถ้วยข้าวอุ่น ๆกับรอยยิ้มจาง ๆ ที่ยังไม่หายจากริมฝีปากเดือนหันไปมองบ้านหลังอื่นที่อยู่เรียงกันเงียบ ๆแดดยามเช้าทอดลงบนพื้นไม้พอดีเหมือนวางไว้ในแผน“บ้านพี่...กำลังมีชีวิตแล้วนะ”เธอพูดเบา ๆ กับตัวเอง แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องเงียบ ๆขุนยังนอนอยู่ท่าเด
กลิ่นไม้สดยังลอยอวลในอากาศ แสงไฟจากหลอดไส้ดวงเล็กทาบเงาอ่อน ๆ บนฝาผนังไม้เรียบ ขุนยืนอยู่กลางห้อง นิ่งมองเปลญวนที่ผูกเสร็จ ฝ้าเพดานไม้ยังอุ่นจากแดดเมื่อกลางวัน ส่วนเตียงไม้อยู่ข้างหน้าต่าง เปิดรับลมเย็นที่ไหลเข้ามาจากไร่ฝั่งดอกไม้เสียงประตูห้องเปิดแผ่วเดือนเดินเข้ามาพร้อมผ้าห่มผืนใหม่ในมือใบหน้าเธอมีรอยยิ้มบาง ๆ แต่แววตากลับฉ่ำด้วยความรู้สึกที่มากกว่าความยินดี“อยากลองนอนดูไหมคะ ว่าคืนแรกในบ้านใหม่...มันฝันดีหรือเปล่า”ขุนเดินเข้ามาหยิบผ้าห่มจากมือเธอ วางลงปลายเตียง แล้วโน้มตัวกระซิบชิดหู“พี่จะทำให้มันฝัน...แล้วก็ไม่อยากตื่นเลย”ยังไม่ทันที่เดือนจะตอบ ร่างของเธอก็ถูกโอบเข้าหาอกอุ่น แขนแกร่งโอบแน่นจนเธอได้ยินเสียงหัวใจของเขาชัดเจน กลิ่นเหงื่ออ่อน ๆ ปนกลิ่นไม้จากเสื้อผ้าทำงานยังติดตัวเขาอยู่ กลิ่นที่ทำให้เธอรู้ว่า...นี่แหละ “ขุนของเธอ”ริมฝีปากของขุนกดลงบนต้นคอของเดือน ช้า...แนบแน่น และไล้ลากไปยังไหปลาร้าเสียงหายใจของเดือนเริ่มถี่ เธอยกมือจับไหล่เขาไว้แน่น เมื่อปลายนิ้วของขุนสอดผ่านชายเสื้อเข้าไปลูบไล้ช่วงเอวที่ไวต่อสัมผัส“ห้องนี้ยังไม่เคยมีใครนอน...” ขุนพูดเสียงแหบพร่า “ถ้าเสียงขอ
ช่วงเย็นแดดอ่อนคล้อย ฟ้าเริ่มแต่งสีทองแดงเรื่อ เสียงนกกลางไร่ลำไยร้องรับความเงียบสงบที่ไหลเอื่อยกลับเข้ามาอีกครั้ง แขกสองคนจากเมืองยืนอยู่ริมลานหน้าคาเฟ่ พร้อมกระเป๋าเล็ก ๆ ที่สะพายข้างไว้แล้วหญิงสาวหันไปมองเรือนกระจกอีกครั้ง ดอกไม้ยังไหวในลมเบา ๆ“ที่นี่...ไม่เหมือนที่ไหนเลยจริง ๆ”ชายหนุ่มยิ้มกว้าง หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพสุดท้ายของวัน แสงเย็นทอดผ่านหลังคาไม้ของโฮมสเตย์หลังแรกที่ยังไม่สมบูรณ์ดี แต่เต็มไปด้วยลมหายใจของคนที่ลงแรงใส่มันทุกวัน“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณมากจริง ๆ” เขาหันไปจับมือขุนแน่น ก่อนหันไปยกมือไหว้พี่เข้ม ข้าวหอม และเดือน“ไว้เราจะกลับมาแน่นอนค่ะ” หญิงสาวพูดอย่างมั่นใจ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มจริงใจที่ไม่มีบทสคริปต์ใดบังคับรถกระบะเคลื่อนตัวออกช้า ๆ ผ่านทางลูกรังที่ทอดยาวจนหายไปหลังแนวลำไยขุนยืนมองอยู่เงียบ ๆ เขาไม่ได้คิดอะไรมากนัก แค่รู้สึกอุ่น ๆ ในอก“บางที...ที่เราตั้งใจทั้งหมด อาจจะถึงใจใครบางคนจริง ๆ ก็ได้”คืนนั้นในเมืองใหญ่แสงนีออนบนหน้าจอของโทรศัพท์มือถือหลายพันเครื่องเพจท่องเที่ยวชื่อดัง “เดินไปช้า ๆ ในชนบท” ได้โพสต์ภาพชุดใหม่ภาพบ้านไม้เรียบง่าย ภาพทางเดินกรวด ภาพ
เสียงกรวดเบา ๆ ดังใต้ฝ่าเท้าของแขกหนุ่มสาวจากเมืองที่เคยมาดูล่วงหน้าเมื่อสองวันก่อน ทั้งคู่ถือกล้องถ่ายรูปคนละตัว เดินอย่างตื่นเต้นไปตามทางเดินที่โรยหินสีอ่อน ซึ่งทอดยาวจากโฮมสเตย์ไปยังเรือนกระจกดอกไม้หญิงสาวหยุดถ่ายภาพตรงป้ายไม้เล็ก ๆ ที่เขียนว่า“ทางเดินชมดอกไม้ เชิญตามใจ”เธอหันมายิ้มให้ขุนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ“แบบนี้แหละค่ะ ที่เราอยากให้เพื่อน ๆ มาเจอ... ความสงบที่เดินได้จริง”ขุนยิ้มรับ เพียงเท่านั้นจากนั้นเขาพาทั้งคู่เดินชมหลังบ้าน ไปยังมุมเปลญวนและม้านั่งใต้ต้นลำไย ก่อนจะแนะนำว่า“ถ้าเดินต่อไปอีกนิด จะถึงคาเฟ่ของพี่พอลกับพี่ลินดาครับ ดอกไม้เยอะมาก แล้วกาแฟก็หอมกว่าที่กรุงเทพฯอีก”ทั้งคู่หัวเราะด้วยความยินดี แล้วกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ ก่อนเดินตามทางดินไปยังคาเฟ่ในเวลาเกือบบ่ายแก่ ๆ รถกระบะของพี่เข้มก็ค่อย ๆ เลี้ยวเข้ามาจอดใต้ต้นลำไยใกล้ ๆ ลานบ้านหลังโฮมสเตย์ประตูเปิดออกข้าวหอมก้าวลงมาเป็นคนแรก ตามด้วยน้องต้นฝันที่กำลังจะครบสามขวบในอีกไม่กี่เดือน เด็กน้อยวิ่งดุ๊กดิ๊กลงมาพร้อมเสียงหัวเราะใส ๆ“ลุงขุน ลุงขุน~ นี่บ้านใหม่เหรอคะ!”ขุนหัวเราะเสียงทุ้ม รีบก้มลงอ้าแขนรับเด็กน้อยที่วิ่ง