ค่ำนี้คือคืนของ ‘งานเลี้ยงมอบรางวัลนักธุรกิจดีเด่นแห่งปี’ เป็นงานหรูที่เต็มไปด้วยคนดังระดับประเทศ และแขก VIP ที่มีกระเป๋าหนักพอจะซื้อประเทศได้ครึ่งหนึ่ง
ท่ามกลางกลิ่นไวน์ฝรั่งเศส ล็อบบี้โรงแรมห้าดาวที่สว่างไสวจนแทบมองเห็นรูขุมขนผู้คน —เสียงแชมเปญเปิดดัง ‘ป๊อบ’ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของเหล่าผู้บริหารระดับประเทศ
แต่ทั้งหมดนั่น...เงียบลงทันที
เมื่อเห็นชายหนุ่มเจ้าของความสูงกว่า 185 เซนติเมตร ก้าวเข้ามาในงาน
อลิสแตร์ ราเมียส
CEO แห่ง Ramius Group — ชุดสูทสีดำเข้ารูปตัดเย็บเฉียบเฉือนด้วยผ้าเกรดสูงสุดจากอังกฤษ
เส้นผมสีดำสนิทเซ็ตเรียบเนี้ยบรับกับกรอบหน้าคมคาย ปลายคิ้วเข้ม ดวงตาคมลึกที่เหมือนกลืนทุกอย่างให้จมหาย ริมฝีปากหยักตรงที่ดูสุขุม...แต่หากจ้องนานไป อาจเผลอจินตนาการว่ามันจะสัมผัสยังไงเวลาเขาจูบ
เขาหล่อจนแม้แต่ภรรยาท่านรัฐมนตรี ยังเหลือบมองโดยไม่รู้ตัว สูทสีดำสนิทของทอม ฟอร์ดที่สวมอยู่บนร่างสูงราวเทพเจ้าโรมันปิดหน้ากากเยือกเย็นเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
เสียงส้นสูงกระทบพื้นดังเบา ๆ ...ตามด้วยกลิ่นหอมเย้ายวนที่ลอยมาก่อนตัว
ข้างกายเขา —คือหญิงสาวในเดรสยาวผ้าซาตินสีมุกเนื้อเงาที่เคลื่อนไหวราวละอองน้ำ
ลลิล คหบดีวัฒน์ ใบหน้าแต่งแต้มด้วยโทนอบอุ่นแบบผู้หญิงหวานที่แฝงกลิ่นอันตราย ผมยาวถูกรวบขึ้นอย่างมีศิลป์ ทิ้งปอยข้างแก้มเล็กน้อยให้ใบหน้าเรียวดูยิ่งน่าหลง
แผ่นหลังขาวเนียนเปลือยให้เห็นจากเดรสที่เว้าหลังแนบลำตัว แถมยังผ่าข้างขึ้นสูงจนเห็นเรียวขาขาวเนียนเป็นประกาย
ทุกก้าวที่เดิน...แววตาของผู้ชายในงานแทบจะพร้อมใจกันหันตาม
บางคนถึงขั้นกระซิบกับเพื่อนข้าง ๆ ว่า
“ใครวะ สวยเหมือนหลุดมาจากแฟชั่นโชว์โซลปารีส”
อลิสเผลอมองนานเกินไป นานจนคิมหันต์ขยับข้างตัวเบา ๆ แล้วกระแอมเตือน
“…เชิญค่ะ ท่านประธาน”
ลลิลก้มศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะส่งยิ้มเหมือนจะเรียบร้อย แต่แววตานั่น...ร้อนเหมือนไฟ
อลิสปรายตามองอีกครั้ง ตั้งแต่เนินอกอวบอิ่มที่เกือบพ้นเดรสเกาะอกจนไปถึงเรียวขาขาว
เขาไม่พูดอะไร...แต่ในใจคือคำเดียวที่ดังขึ้น
“บ้าเอ๊ย...”
“ผู้หญิงคนนี้ไม่ควรถูกปล่อยให้อยู่ในสายตาคนอื่นเลยแม้แต่นาทีเดียว”
อลิสเห็น...และไม่ชอบเลยสักนิด
เขาเดินอ้อมมาข้างหลังเธอ แล้วเอื้อมมือแตะเบา ๆ ที่เอวเธอ
“ใครอนุญาตให้เธอสวยขนาดนี้?”
เสียงของเขานุ่ม แต่ลึก…ลึกจนคล้ายกับจะกักเธอไว้ทั้งตัว ลลิลสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อรู้สึกถึงฝ่ามืออุ่นที่แนบแผ่นหลังเปลือย
“ก็…ฉันแค่อยากให้สมกับตำแหน่งเลขานี่คะ”
ลลิลยักไหล่เบา ๆ แต่รอยยิ้มจากริมฝีปากอวบอิ่มกลับดูฉาบไปด้วยพิษที่แสนอันตราย
“มันไม่เหมือนเลขาเลย...” เขากระซิบ
“อ้าว แล้วเหมือนอะไรล่ะคะ?”
ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลง กระซิบประโยคที่ทำให้เธอต้องเม้มริมฝีปากแน่น
“ไว้อยู่กับฉันสองคน...แล้วเธอก็จะรู้เอง”
…
เสียงเพลงคลาสสิกผสมจังหวะแจ๊สลอยอ้อยอิ่งในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ บรรยากาศภายในโถงหรูของโรงแรม VelvetKey (เวลเว็ทคีย์) ทอประกายจากแชนเดอเลียร์เหนือศีรษะ แสงจากคริสตัลส่องแวววาวราวกับเพชรต้องแสงตะวันยามค่ำคืน
ลลิลเดินเคียงข้างอลิสแตร์ ผู้เป็นเหมือนเทพบุตรในชุดสูท และก็เหมือน...ซาตานในคราบเทพบุตรไม่ผิดเลย
“คืนนี้เงียบหน่อยนะครับ ไม่มีข่าวฉาว ไม่มีการลอบยิง ไม่มีแฟนเก่ามาเหวี่ยงกลางงาน—ผมเกือบจะผิดหวัง” ไทเลอร์ที่เดินขนาบหลังพึมพำเบา ๆ
อลิสปรายตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วหันมาทางลลิล ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้ ห่างจากแก้มเธอไม่ถึงคืบ
“ตั้งใจฟังให้ดี...คืนนี้คุณไม่ได้มางานเลี้ยงเพื่อยืนสวยเฉย ๆ”
“แล้วให้มายืนแบบไหนคะ? แบบเซ็กซี่? หรือแบบยั่ว ๆ?” ลลิลย่นคิ้ว ทำตาล้อเลียน
อลิสยิ้มมุมปาก ราวกับพอใจในคำตอบ
“ก็ทั้งคู่...ถ้าคุณถนัดแบบนั้น”
ลมหายใจเธอสะดุดวูบ เขายังพูดต่อ น้ำเสียงเรียบแต่แฝงคำสั่ง
“แต่สิ่งที่ผมต้องการจริง ๆ คือให้คุณสังเกต ‘ท่าที’ ของคู่ค้าแต่ละคนที่ผมจะแนะนำให้คุณรู้จัก ดูว่าใครพูดมากเกินไป ใครพูดน้อยไป ใครชอบจับแขน ใครชอบหลบตา…”
“…แล้วก็จำชื่อให้ได้ทั้งหมด ผมจะถามคุณทีหลัง”
“ห้ะ?!” ลลิลแทบสำลักความหรูหราของบรรยากาศ
“ฉันไม่ใช่สายลับนะคะ คุณอลิส”
“ก็คุณเป็นเลขาของผม”
เขาก้าวต่อไม่หันกลับ ทิ้งให้ลลิลหัวหมุนตามอยู่สองวินาที ก่อนจะรีบเดินจ้ำตามหลังชุดสูทสีกรมท่าที่พาเธอเข้าสู่ฝูงชนชั้นสูง
อลิสพาเธอไปทักทายกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหญ่จากฝรั่งเศส, นักลงทุนสายเทคโนโลยีจากเกาหลีใต้ และเจ้าสัวเจ้าของเหมืองทองคำจากดูไบ
เธอยิ้มหวาน จดจำชื่อ และพยายามสังเกตท่าทางตามที่เขาบอก
…แต่บางทีสิ่งที่ทำให้เธอเสียสมาธิที่สุดอาจไม่ใช่เหล่าคู่ค้า
แต่เป็น ‘เจ้านาย’ ที่ยืนข้าง ๆ นี่แหละ
เพราะเขาหล่อแบบไร้ช่องโหว่ ตั้งแต่ไรผมสีเข้มที่เซ็ตอย่างมีชั้นเชิง สูทเข้ารูปที่ขับให้ไหล่กว้างยิ่งขยาย ไปจนถึงเสียงทุ้มนุ่มลึก ที่แค่กระซิบชื่อเธอ เธอก็แทบลืมสังเกตคนอื่นหมดแล้ว
“...ลิน”
เขาเรียกชื่อเล่นของเธออย่างเจาะจง ในน้ำเสียงที่ใกล้กับคำว่า คำสั่งมากกว่าคำเรียกขาน
ลลิลสะดุ้งน้อย ๆ ก่อนรีบหันมาตอบ
“คะ?”
“คนเมื่อกี้ เขาชื่ออะไร”
“คุณ...” เธอหยุดคิด
“…คุณลุง...อะไรสักอย่าง”
“ผิด” อลิสตอบทันควัน
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อน! ก็คุณแนะนำเร็วขนาดนั้น ฉันจำไม่ทันหรอก!”
“คุณจะต้องจำให้ได้” เขาว่าพลางก้มกระซิบใกล้แก้ม
“หรือจะให้ผมลงโทษที่ความจำคุณสั้นดี?”
ลลิลหน้าแดงวาบ ไม่แน่ใจว่าสิ้นเสียงเขา เธอหัวร้อนเพราะเขา…หรือร้อนเพราะใจเธอเองที่เต้นแรง
อลิสเดินนำไปยังกลุ่มถัดไป โดยไม่หันมองกลับ เธอถอนหายใจออกแรง—รู้ตัวเลยว่า
‘คืนนี้ไม่ใช่งานเลี้ยงธรรมดา…แต่คือบททดสอบจากซาตานในร่างประธานอย่างแท้จริง’
...
ในขณะที่อลิสกำลังสนทนาอย่างราบรื่นกับคู่ค้าจากอังกฤษ—ชายวัยกลางคนที่ไว้หนวดเล็ก ๆ กับภรรยาสาวสวยที่ยิ้มเก่งจนแทบไม่หยุดพัก ลลิลก็อาศัยจังหวะนั้น..แวบหายออกมาจากกลุ่มเงียบ ๆ
เธอกระเถิบมาชิดกำแพงโค้งตรงมุมโถงจัดเลี้ยง หยิบแก้วไวน์ขาวจากถาดของบริกรแล้วกระดกเข้าปากครึ่งแก้วรวด
“…หืม รอดแล้วโว้ย” เธอพึมพำเบา ๆ กัดริมฝีปากอย่างหงุดหงิดแต่แอบขำตัวเอง
ตาเธอยังคงมองไปยังอลิส—ที่แม้จะอยู่ห่างไกล แต่ความสง่าก็ยังเปล่งประกายเหมือนพระเอกที่ก้าวออกมาจากปกนิตยสารระดับโลก
ชายคนนั้น…คือผู้ชายที่เธอหาว่า ‘หยิ่ง’ ตั้งแต่แรกเจอ
แต่ตอนนี้...เธอเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ‘หยิ่ง’ หรือ ‘ยั่ว’ กันแน่
เขาเหมือนคนที่ไม่มีวันหันมามองใคร...แต่ในขณะเดียวกัน เธอกลับรู้สึกเหมือนโดนเขามองตลอดเวลา
“ทำหน้าแบบนั้น ระวังจะโดนลากกลับไปกลางงานนะครับ”
เสียงทุ้ม ๆ ที่ดังขึ้นจากข้างหลัง ทำเอาลลิลสะดุ้งจนเกือบทำไวน์หก
“คะ—คิมหันต์?! คุณมาเงียบเกินไปแล้ว!” เธอหันมามองชายหนุ่มหน้าหวานในสูทเข้ารูป ที่ตอนนี้ยืนพิงเสาอย่างสบายใจ
แม้หน้าจะดูละมุนละไมราวกับหลุดจากโฆษณาสกินแคร์ แต่ดวงตาเขาคมกริบจนน่าขนลุก
“อย่าหลบสายตาผมสิครับ เลขาลิน...”
“ไม่ได้หลบนะ ฉันก็แค่พักหายใจ” เธอเบ้ปาก รู้ตัวดีว่าไม่มีทางเนียนผ่านชายคนนี้ได้ง่าย ๆ
คิมหันต์ยิ้มบาง ก่อนยกมือขึ้นกอดอก แล้วพูดเสียงเรียบ
“ถ้าคุณจำไม่ได้ว่าใครเป็นใครบ้าง...คุณอลิสจะไม่พอใจมากนะครับ”
“หึ” ลลิลยกยิ้มอย่างมั่นใจ
“งั้นมาสิ จะลองทดสอบความจำฉันเหรอ?”
“ถ้าอยากเล่น ก็ต้องเล่นให้สุดนะครับ” คิมหันต์ก้าวเข้ามาใกล้ ริมฝีปากคลี่ยิ้มไม่มาก แต่สายตาคมเหมือนจะอ่านทะลุเข้าไปในสมองของเธอ
“เริ่มเลยค่ะ” เธอยืดตัวขึ้นอย่างท้าทาย
“คู่ค้าจากฝรั่งเศส ชื่อ?”
“มาดามวาเลนติน่า กับสามีชื่อมิเชล กู๊ดรีย์”
“จากเกาหลีใต้?”
“CEO ซองมินโฮ จาก MinTech Group, ภรรยาเขาชื่อจีอึน—ใส่ชุดแดงเพลิงแต่ยิ้มแข็งมาก”
“ดูไบ?”
“ชีคฮาฟิซ อัลซารี กับน้องชายเขา...ที่ชอบมองขาฉันมากกว่าหน้าคุณอลิสอีก”
คิมหันต์หลุดหัวเราะ
“ความจำดี...พร้อมรายละเอียดพิเศษด้วย”
“ฉันไม่ได้แค่สวยนะคะคุณคิม ฉันฉลาดด้วย” เธอยิ้ม ยักคิ้วให้เขาอย่างกวน ๆ
คิมหันต์ยิ้มตอบ แต่ดวงตาคมยังนิ่งสงบ
“ฉลาด...ก็อย่าคิดว่าจะหลุดพ้นจากสายตาท่านประธานได้ง่าย ๆ นะครับ”
“ฉันก็ไม่ได้อยากหลุดนะ” เธอเผลอพูดออกไป รู้ตัวอีกทีก็ตอนคิมหันต์หัวเราะเบา ๆ แล้วผละออกไปจากมุมเสา
“งั้นผมจะไม่บอกเจ้านายนะครับ...ว่าคุณแอบหนีมากระดกไวน์อยู่ตรงนี้”
“อ้อ แล้วก็...เตรียมตัวให้พร้อมนะครับ” เสียงเขาดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมา
ลลิลที่ยกแก้วไวน์แนบริมฝีปาก มุมปากยังระบายยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่พลันแข็งค้าง เมื่อเสียงทุ้มนุ่มของเขาดังขึ้นทิ้งท้าย...แถมยังเป็นคำที่ฟังแล้วใจหายวาบกว่าไวน์หมดแก้วเสียอีก
“เพราะเจ้านายเดินตรงมานี่แล้ว”
“เชี่ยละ...” เธอสบถในลำคอแทบไม่ทัน ก่อนจะหมุนตัวกลับอย่างเร็ว
อลิสแตร์ ในสูทสีดำสนิทกำลังก้าวเท้าตรงมาหาเธอ สายตานิ่งเรียบ...แต่มีรังสีมาคุพวยพุ่งเหมือนหมอกควันจากปลายกระบอกปืน
“โอ๊ะ...ว่าไงคะ คุณอลิส” ลลิลรีบเก็บแก้วไวน์ ไหล่เกร็งราวกับกำลังสอบเข้าค่ายคอมมานโด
“คุณลิน...” เสียงเขาเรียก ขณะสายตากวาดมองตั้งแต่ปลายเท้าเธอไล่ขึ้นมาเรื่อย ๆ
เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกสแกนด้วยเลเซอร์ไฮเทคในหนังไซไฟ
“ขอโทษค่ะ ฉันแค่...พักชิมไวน์นิดหน่อย” เธอหลุบตาลงต่ำ พูดเสียงเบา
“ไวน์?” เขาเลิกคิ้ว หรี่ตามองเธอด้วยแววตาที่อ่านยากเหลือเกิน
“หรือกำลังซ้อมหลบหนี?”
“เอ่อ...ทั้งสองค่ะ” ลลิลตอบอย่างกล้าตาย ก่อนจะยิ้มกว้างกลบเกลื่อนแบบฉบับสาวป่วน
อลิสไม่ตอบ แต่เดินเข้ามาใกล้จนปลายรองเท้าของเขาแทบจะชนส้นสูงของเธอ ลมหายใจของเขาอุ่นร้อนนิด ๆ และแรงพอจะทำให้หัวใจเธอกระตุกเบา ๆ
“ไว้กลับถึงห้องแล้ว...เราค่อยเคลียร์เรื่องนี้นะครับ คุณลิน”
แค่เสียงเรียก ‘คุณลิน’ ก็ทำเอาเธอขาอ่อนแล้วหนึ่ง
แต่ก่อนที่อลิสจะได้พูดอะไรต่อ เสียงหวานแบบตั้งใจให้ดูแพงก็ดังขึ้นจากข้างหลังพวกเขา
“อลิสคะ~”
ลลิลแทบสะดุ้ง หันขวับไปตามเสียงพร้อมกันกับเขา
ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเดรสเมทัลลิกสีเงิน ผ่าหน้าผ่าหลังสูงจนเกือบถึงสะดือ ผมลอนใหญ่สวยหวีเป๊ะ หน้าเป๊ะ และสายตา—เป๊ะยิ่งกว่าช่างแต่งหน้าเวที Miss Universe
“ชลนที...” อลิสเอ่ยเสียงต่ำ สายตาเปลี่ยนจากเย็นชามาเป็นเยือกแข็งเพียงพริบตาเดียว
“ดีใจจังค่ะที่ยังจำชื่อทีได้” เธอยิ้มหวาน ทว่าในดวงตากลับเต็มไปด้วยความรุกเร้า
ลลิลหรี่ตาลง มองผู้หญิงตรงหน้าอย่างประเมินสถานการณ์ ในหัวเริ่มมีเสียงสัญญาณเตือนดังติ๊ดๆๆ แบบเดียวกับตอนเธอเคยกดระเบิดในเกมออนไลน์
“อ๊ะ...นี่หรือคะ? เลขาคนใหม่ที่ฮือฮากันในวงใน...” ชลนทีหันมาหาเธอ ยิ้มให้ แต่แววตานั้นคือ ‘ยิ้มแบบจะกินหัวเธออยู่แล้ว’
“ลลิล ค่ะ” ลลิลแนะนำตัวเองโดยไม่สะทกสะท้าน
“คุณคือ...?”
“ชลนทีค่ะ ทีเคยคบกับอลิส...ตอนเขายังไม่ได้เป็นประธานบริษัทเลย”
อลิสถอนหายใจทันที เหมือนกำลังฟังละครซ้ำรอบที่พันเก้า
“...และตอนนี้ เขาก็ยังไม่เป็น ‘ของใคร’ ใช่มั้ยคะ?” ชลนทีพูดต่อ มือยกขึ้นแตะแขนเขาอย่างอ่อยแบบไม่มีมารยาท
หืม...ยัยนี่...อ้อยกันขนาดนี้ ไม่ได้ดูหน้าบอสเลยสินะ ว่าเบื่อขนาดไหน
...เอาไงดี...ช่วยบอสเอาบุญละกัน
ลลิลยิ้มหวานให้แฟนเก่าของบอส
“คุณอลิสคะ...ถ้าต้องมีแฟนเก่ามาทวงคืนสถานะแบบนี้บ่อย ๆ คุณควรจะมีบัตรคิวแจกไว้เลยนะคะ จะได้ไม่แย่งกันหน้าลิฟต์”
อลิสกระแอมเบา ๆ เหมือนพยายามกลั้นหัวเราะ
ชลนทีหน้าแข็งไปชั่วครู่ ก่อนจะกลั้นยิ้มฝืน
“เด็กเดี๋ยวนี้...แสบจังเลยนะคะ”
“ไม่ใช่เด็กนะคะ...เป็นเลขา”
ลลิลยักคิ้วให้แบบฟาดหมัดตรง และในตอนนั้นเอง อลิสก็ก้าวเข้ามาแทรกกลางระหว่างสองสาว มือหนาเอื้อมโอบเอวลลิลเข้ามาแนบชิดตัวเขาอย่างจงใจ
“ชลนที—ขออนุญาตพาเลขาผมไปทำหน้าที่ต่อนะครับ” เขาหันไปพูดกับชลนทีแบบไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่นิด
“ส่วนเรื่องในอดีต...เก็บไว้เป็นความทรงจำดี ๆ ก็พอ อย่ารื้อขึ้นมาให้ลำบากใจ”
ชลนทีชะงักไปเสี้ยววินาที...แต่เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น ก่อนเธอจะยกยิ้มบาง ๆ ประหนึ่งไม่สะทกสะท้าน มือเรียวยกขึ้นเสยผมเบา ๆ อย่างคนที่ยังมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองเต็มร้อย
“งั้นไว้มีโอกาส...” ชลนทีพูดเสียงอ่อนหวานเบา ๆ แต่ดังพอให้ลลิลได้ยิน
“ฉันจะขอนัดทานข้าวกับคุณแล้วกันนะคะ—แบบส่วนตัว...ไม่เกี่ยวกับธุรกิจ”
จากนั้นเธอก็ปรายตามองลลิล ยิ้มแบบเย้ยนิด ๆ อย่างคนที่รู้ตัวว่าสวยและเคยได้มาก่อน ก่อนจะหมุนตัวอย่างเนี้ยบเฉียบ ส้นสูงกระทบพื้นหินอ่อนดังกึก ๆ อย่างมีจังหวะ เส้นผมลอนใหญ่พลิ้วตามแรงสะบัด…ราวกับซ้อมมาเพื่อฉากนี้โดยเฉพาะ
ลลิลมองตามหลังแล้วพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง
“สะดุดล้มทีเถอะ จะหัวเราะให้ฟันหักเลย...”
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังจากข้างตัว อลิสยืนกอดอก มองเธอด้วยแววตาเรียบสนิท แต่ริมฝีปากหยักยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
“คุณปากจัดกว่าที่ผมคิดนะ” เขาว่าเรียบ ๆ แต่แววตาเป็นประกายแวววาวเหมือนกำลังเพลินอยู่ลึก ๆ
“ก็...มีคุณเป็นแรงบันดาลใจไงคะ” ลลิลสวนทันควัน
อลิสไม่ตอบกลับทันที แต่กลับโน้มตัวลงเล็กน้อย —ใกล้พอให้เธอได้ยินเสียงทุ้มกระซิบแทบชิดริมฝีปาก
“แรงบันดาลใจหรอ…?”
เสียงเขาเย็น แต่ทิ้งท้ายเหมือนมีอะไรค้างอยู่ในลำคอ
“ถ้าปากคุณจัดได้ขนาดนี้...ผมก็เริ่มสงสัยแล้วสิ ว่ารสชาติมันจะเป็นยังไง”
ลลิลนิ่งค้าง—หน้าเห่อร้อนทั้งที่อยู่ในห้องแอร์ พูดไม่ออกทั้งคำด่าและคำโต้ อลิสที่ได้คำตอบเป็นความเงียบ ยิ่งยกยิ้มบางจนดูเหมือนมีชัย
จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่องทันที ราวกับประโยคเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น
“ไปกันเถอะ”
อลิสกลับมายืนตัวตรง พยักหน้าให้เธอเล็กน้อย
“ผมจะพาคุณไปแนะนำกับคู่ค้าคนถัดไป—นักลงทุนจากเกาหลีใต้ คนนี้หูไว ปากจัด แต่ชอบคนซื่อ”
เขาก้าวนำไปอย่างนิ่งขรึม โดยไม่หันกลับมามองเลยสักนิด
...ทิ้งไว้เพียงไหล่กว้างกับกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ยังไม่จางหาย และ...ใจของลลิลที่เต้นแรงแบบโคตรไม่ตั้งใจ
ตอน: ย้ายบ้านแล้ว แต่ยังย้ายบนเตียงไม่พอหลังจากงานแต่งงานสุดเรียบหรูริมทะเลอลิสแตร์กับลลิลไม่ได้จัดทริปฮันนีมูนอะไรหรูหราให้เวอร์วัง เพราะเขาเลือกที่จะทำสิ่งหนึ่ง…ที่เธอไม่ทันตั้งตัวเลยสักนิดเดียว“เอ่อ...นี่มันไม่ใช่คอนโดของเรานี่คะ?”ลลิลยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าตึก Penthouse ใจกลางลอนดอน ที่ปิดล้อมด้วยระบบรักษาความปลอดภัยระดับเดียวกับทำเนียบขาวอลิสแตร์แค่ปรายตามองเธอ แล้วพูดนิ่ง ๆ“นี่บ้านเรา”“ย้ายบ้านโดยที่ไม่ได้ถามลินเลยเหรอคะ?”เขาหันมามองเธอช้า ๆ ก่อนจะก้มลงมากระซิบข้างหู“ก็ในเมื่อ...ฉันอยากย้ายมาใช้ชีวิตกับเมียทุกตารางเมตรจะต้องถามทำไม?”ลลิลหน้าแดงซ่านทันที...และยังไม่ทันตั้งสติได้—เขาก็ช้อนตัวเธอขึ้นในอ้อมแขน แล้วพาเข้าห้องไปทั้งอย่างนั้น!—คืนนั้น ห้องนอนใหม่หรูหราระดับ President Suite ก็ได้กลายเป็นสนามรบรักขนาดย่อมอีกครั้ง“บะ…บอส เดี๋ยวก่อนค่ะ ลินยังไม่ได้จัดของเลย!”“ไม่เป็นไร เดี๋ยวจัด...ให้หมดทุกท่า”เขายิ้มร้ายก่อนจะกดร่างเธอลงบนเตียงขนาด King Size ที่เพิ่งปูใหม่เอี่ยม เสื้อคลุมไหมของเธอถูกปลดออกในชั่วพริบตา เนื้อตัวเปลือยเปล่าสะท้อนกับไฟในห้องที่หรี่ลงอย่างพอดิ
ณ มหาวิทยาลัย R.C.U. (Royal Commerce University) – คณะบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ (IB) ชั้นปีที่ 4แสงแดดยามสายลอดผ่านผ้าม่านบางของห้องสัมมนาขนาดกลาง โต๊ะไม้เรียงเป็นระเบียบสำหรับแขกรับเชิญพิเศษที่นั่งอยู่แถวหน้า...และหนึ่งในนั้นคือเขาอลิสแตร์ ราเมียสCEO หนุ่มลูกครึ่งไทย-อังกฤษแห่ง Ramius Group ผู้มาในฐานะกรรมการรับฟังหัวข้อเสนอทุนวิจัยร่วมต่างประเทศเขาสวมสูทสีน้ำเงินเข้มเข้ารูป ปลดกระดุมสูทตัวนอกอย่างเป็นกันเอง ข้างกายมีคิมหันต์ เลขาหนุ่มหน้าหวาน ยืนเงียบขรึมเหมือนเงาตามตัว — ในสายตาอาจดูเหมือนมาเพื่อตรวจงานปกติแต่...ไม่ใช่เลยเขาแค่ ‘เบื่อ’ และบังเอิญผ่านมาที่นี่...จนกระทั่งเสียงหนึ่งดึงความสนใจเขาทันที“ลลิล คหบดีวัฒน์ค่ะ — โปรเจกต์ที่ลินจะเสนอวันนี้ คือ ‘AI Ethics กับความเปราะบางของข้อมูลในโลกทุน’”เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งชัดเจน มั่นใจ น้ำเสียงไม่ได้หวานเลี่ยน แต่มีจังหวะราวกับแกรนด์เปียโนที่กลั่นจากสมองดวงตาของเขาเงยขึ้น…แล้วนิ่งค้างไปชั่วขณะสาวร่างเล็กผิวขาวจัด ผูกผมหางม้าต่ำเรียบร้อย สวมสูทนักศึกษาสีกรมแบบเรียบที่สุด แต่กลับทำให้เธอโดดเด่นเกินใคร โดยเฉพาะสัดส่วนที่โตเกินร่าง
หลังเหตุการณ์ลอบสังหารและการล่มสลายของกลุ่มไฮดราผ่านไปเพียงสองเดือน—ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าที่ลลิลจะตั้งตัวทันเธอแทบจะลืมความระห่ำของคืนวันนั้นไปหมดแล้ว...เพราะผู้ชายคนนั้น—บอสของเธอ—จัดการทุกอย่างได้รวดเร็วเกินคาดอลิสแตร์พาคุณหญิงทัชชญาไปสู่ขอลลิลถึงเรือนไม้สักของตระกูลคหบดีวัฒน์ จังหวัดเชียงใหม่และนั่นเป็นครั้งแรกที่คุณสุรพงศ์กับคุณหญิงอมรา—บิดามารดาของเธอ ได้พบกับผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่า ‘แม่สามีแห่งชาติ’ ของอังกฤษเซอร์ไพรส์ยิ่งกว่าการหมั้น ก็คือความจริงที่ว่า...คุณหญิงทัชชญา และคุณหญิงอมรา เคยเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนที่ลอนดอนเมื่อหลายสิบปีก่อน—เรื่องสู่ขอจึงกลายเป็นเพียงการระลึกถึงความสัมพันธ์เก่าก่อนอย่างเป็นทางการเท่านั้น“แม่จะถือว่านี่เป็นพรหมลิขิตของพวกหนูสองคนแล้วกันนะลูก”ประโยคนั้นจากแม่ของเธอ ทำให้ลลิลแทบจะหลบสายตาอลิสแตร์ทั้งงานแม้เรื่องหัวใจจะดูอบอุ่นราบรื่นแต่เรื่องโลกในเงามืด...กลับยังคงเป็นไฟที่ยังไม่มอดจากรายงานลับที่คิมหันต์เอามาเล่าให้เธอฟัง—ไวรัสที่เขาเสี่ยงชีวิตเข้าไปฝังในเซิร์ฟเวอร์หลักของไฮดรา ได้ทำลายทุกเครือข่าย ทุกข้อมูล ทุกเซลล์ของโครงการนั้นอย่า
📍Safehouse ริมทะเล – 00:17 น.คลื่นซัดชายฝั่งอย่างราบเรียบ เสียงกระทบทรายแผ่วเบาเหมือนกล่อมเมืองให้หลับใหล...แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นภายในอาคารหลังเก่า ทาสีดำด้านซ่อนตัวหลังแนวสนชายหาดในห้องประชุมชั้นล่างที่ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงแสงไฟนีออนดวงเดียวส่องลงบนโต๊ะโลหะรูปวงกลม เฮราในชุดรัดรูปสีดำสนิท นั่งไขว่ห้างอยู่หัวโต๊ะ ดวงตาสีเขียวอ่อนของเธอสะท้อนจอแผนที่ดิจิทัลเบื้องหน้าฝั่งตรงข้ามคือ ฮันส์ – มือสังหารเยอรมัน ผิวขาวซีดราวกับไม่เคยโดนแดด ผมหยักศกสีบลอนด์อ่อนกับรอยแผลเป็นจาง ๆ ที่ข้างแก้มยังเป็นลายเซ็นความตายของเขา“วิลล่าของเขา มีระบบเฉพาะป้องกันทุกทางเข้าออก…” เฮราเอ่ยเสียงเรียบ“แค่ขอให้เขาออกมาจากที่นั่นเมื่อไหร่ นั่นคือโอกาสของเรา”ฮันส์จุดบุหรี่เงียบ ๆ“อลิสแตร์ต้องตายก่อนที่ไฮดรา เฟสสองจะถูกเปิดเผย”เฮราวางแท็บเล็ตลงบนโต๊ะ ก่อนเลื่อนหน้าจอไปยังภาพของลลิล—หญิงสาวผิวขาวในเดรสยาวบนชายหาดดวงตาเธอเย็นเยียบขึ้นทันที“และเธอคนนี้...คือจุดอ่อนของเขา”ฮันส์กระตุกยิ้ม เหมือนเสือที่ได้กลิ่นเลือด“งั้นแผน A กำจัดอลิสแตร์ แผน B จับตัวผู้หญิงไว้เป็นตัวประกัน ...ไม่ว่าแผนไหน เราก็ชนะ”เฮ
📍หาดส่วนตัว – ภูเก็ต เวลา 10:38 น.คลื่นทะเลสาดซัดฝั่งอย่างเนิบช้า แสงแดดอุ่น ๆ ส่องกระทบเม็ดทรายระยิบระยับ เสียงนกทะเลแว่วเบา ๆ คลอไปกับเสียงหัวเราะของหญิงสาวคนหนึ่งที่เล่นน้ำอยู่ห่างจากฝั่งไม่ไกลนักอลิสแตร์ยืนอยู่ใต้ร่มไม้ริมชายหาด สวมแว่นกันแดดสีชาแบรนด์ดัง ใบหน้าเรียบขรึม ในมือถือแก้วน้ำมะพร้าวเย็น ๆ ที่เขายังไม่ได้แตะ...เพราะสายตาเขา จับจ้องอยู่ที่คน ๆ เดียวลลิลกำลังหัวเราะเบา ๆ ขณะเดินลุยน้ำทะเลที่ซัดสาดเป็นระลอกเล็ก ๆ รอบข้อเท้าบิกินี่สีแดงสดเข้ารูป โอบแนบผิวขาวผ่องตัดกับแสงแดด และผ้าซีทรูเนื้อบางสีขาวสะอาดที่ผูกไว้ลวก ๆ รอบเอว ถูกลมทะเลพัดปลิวไหวจนทำให้ใจเขาแทบหยุดเต้นไหล่เปลือยระยิบระยับด้วยหยดน้ำ ผิวที่กระทบแสงแดดสว่างขึ้นอีกระดับ จนไม่ว่าใครเดินผ่าน—ก็ต้องเหลียวมอง…และนั่นแหละ ปัญหาเขาขบกรามแน่น ไม่ดื่มแม้แต่น้ำมะพร้าวในมือ เพราะสมองเขามัวแต่คิดว่า—เธอกำลังโดนใครมองอยู่บ้าง?ไอ้ผ้าบาง ๆ นั่น มันกั้นอะไรได้บ้างวะ!!คนที่ควรเห็นเธอในสภาพนี้...ควรมีแค่เขามั้ยวะ?เขายื่นแก้วน้ำมะพร้าวให้บัตเลอร์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังศาลาไม้ หยิบเสื้อคลุมชายยาวเนื้อบางติดมืออ
ภายในห้องทำงานไม้เก่าแก่ของคฤหาสน์ริมหน้าผา กลิ่นกระดาษเก่าและควันบุหรี่กลิ่นคลาสสิคลอยแผ่วในอากาศ หน้าต่างเปิดออกสู่ทะเล เสียงคลื่นซัดโขดหินดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เหมือนเสียงลมหายใจของอดีตที่ยังไม่ยอมจางเซอร์ไคล์นั่งลงหลังโต๊ะไม้โอ๊คเก่า อลิสแตร์ยืนอยู่ตรงข้าม คิมหันต์ยืนพิงผนังเงียบ ๆ รอคอยความจริงที่กำลังจะได้รับรู้“ไม่คิดเลย…ว่าจะมีโอกาสได้เห็นหน้าลูกอีกครั้ง”เซอร์ไคล์พูดขึ้นในที่สุด เสียงแหบต่ำผ่านลำคอที่กร้านกรำด้วยเวลาอลิสแตร์ไม่ตอบ…เพียงสบตาเขานิ่งเซอร์ไคล์ยิ้มออกมาเล็กน้อย ดวงตาสีเทาอ่อนของเขาคล้ายกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง…ที่ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว“พ่อกับวินเซนต์เป็นเพื่อนกัน...ไม่สิ มากกว่าเพื่อนด้วยซ้ำ”“เราคือ ‘เงา’ ที่ทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน...ในนาม MI6”เสียงจุดไฟแช็กดังเบา ๆ ก่อนเขาจะจุดบุหรี่ แล้วพ่นควันบาง ๆ ขึ้นฟ้า ควันนั้นลอยตัดแสงไฟสีอุ่นในห้องราวกับฉากหนังเก่า“เราสองคนเริ่มจากภารกิจเล็ก ๆ ...ล้วงข้อมูลในเบลเกรด ไล่ล่าหัวหน้าขบวนการค้าอาวุธในเบอร์ลิน แต่เมื่อ ‘โครงข่ายไร้เงา’ โผล่ขึ้นมา MI6 ก็รู้...ว่าเราไม่ได้เจอแค่ศัตรูธรรมดาอีกต่อไป”เขาเงียบไปอึดใจหนึ่ง“ไฮดราโปรเจก